ศพ – ตอนที่ 109 ใส่ยา

ตอนที่ 109 ใส่ยา

จู่ๆมู่หลงเหยียนก็เงียบไป ผมรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย

จึงถามว่า “ เธอเป็นอะไร ”

ผลลัพธ์เสียงของผมพึ่งเงียบลง มู่หลงเหยียนกลับหน้าแดง และพูดกับผมด้วยเสียงติดๆขัดๆ “ ไม่ ไม่มีอะไร ! กล่องยาของบ้านนายอยู่ไหน ฉันจะใส่ยาให้ ! ”

ใส่ยา เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็แทบตกตะลึงจนพูดไม่ออก

ใส่ยา คุณพระช่วยวันนี้ยัยมู่หลงเหยียนไปกินยาผิดมารึเปล่า

ทำไมถึงดีกับฉันขนาดนี้ แถมยังออกปากเองว่าจะใส่ยาให้ฉัน

ผมไม่อยากเชื่อ “ เธอ เธอจะใส่ยาให้ฉันจริงๆเหรอ ”

 

ผมสงสัย แต่เสียงพึ่งจางหาย ทันใดนั้นสีหน้าของมู่หลงเหยียนก็เปลี่ยนไป “ นายจะพูดมากทำไม ฉันถามว่ากล่องยาอยู่ที่ไหน ”

คุณพระ ยัยนี้เปลี่ยนหน้าเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้ากระดาษซะอีก และตอนนี้หน้าของยัยนี้ยังแย่ยิ่งกว่าเดิม

ผมจะกล้าชักช้าอยู่ได้ยังไง ไม่อย่างนั้นจะต้องเจอเรื่องลำบากอีกแน่ๆ

“ อยู่ตรงนั้น ในตู้เก็บของ ! ” หลังจากพูดจบ ผมก็จะเดินไปหยิบมาด้วยตัวเอง

ผมไม่กล้าให้มู่หลงเหยียนทำเอง แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาดีจริงๆ มู่หลงเหยียนแสดงสีหน้าเย็นชา “ นายจะทำอะไร นั่งลงเดี๋ยวนี้ ! ”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่หลงเหยียน หน้าของผมก็เริ่มแดงเล็กน้อย ผมนั่งลงไปกับพื้นพร้อมกับทำใบหน้าเขินๆ

และมู่หลงเหยี่ยนก็เดินไป หยิบกล่องยาเข้ามา

เมื่อเห็นผมยังเงียบอยู่ เธอเลยตะโกนใส่ผมว่า “ โดนยัยผีนั้นทำร้ายจนปัญญาอ่อนไปแล้วรึไง ถอดเสื้อออกซิ ”

“ อ่า ! ” ผมพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่

การที่มู่หลงเหยียนจะใส่ยาให้ผม ทำให้ผมไม่กล้าเชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริง เหมือนกับเธอกำลังแกล้งทำเป็นใจดีแต่มีเจตนาร้ายแอบแฝง

แต่ตอนนั้น ผมก็ถอดเสื้อโค้ทออก เผยให้เห็นรอยแผลสองสามรอยที่แผ่นหลัง

จากนั้นมู่หลงเหยียนก็ใส่ยาให้ผม และพูดไปพร้อมๆกัน “ ออกจากบ้านไปแค่แปบเดียวก็โดนคนอื่นทำร้ายจนโง่แล้ว ครั้งหน้าอย่าทำเป็นกล้าแบบนี้อีกนะ ”

 

ผมทำหน้าอึดอัดใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี

แต่ตอนที่มู่หลงเหยียนใส่ยาให้ผมเธอเบามือมาก และนุ่มนวลมาก

นอกจากแผลที่หลังแล้ว ยังมีที่แขนและที่หน้าอกของผม แล้วก็รอยช้ำอีกนิดหน่อย

ขณะนั้นมู่หลงเหยียนทำอย่างระวังมากๆ เธอใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ทำความสะอาดรอบๆบาดแผล จากนั้นก็ใส่ยาและพันแผลให้กับผม

เมื่อมองท่าทางที่เอาใจใส่ของมู่หลงเหยียน ผมก็ไม่รู้เป็นอะไร หัวใจกลับเต้นแรง ดูเหมือนจะหายใจเร็วกว่าเดิม

และยังรู้สึกเขินมากๆ แล้วก็เกร็งไปทั้งตัวอีกด้วย

 

เพราะขยับตัวบ้างเล็กน้อย มู่หลงเหยียนจึงดุผมอีกครั้ง บอกให้อยู่นิ่งๆ

หลังจากพันแผลเสร็จ มู่หลงเหยียนก็พูดกับผมว่า “ ยื่นมือซ้ายออกมา ! ”

“ จะทำอะไร ” ผมพูดด้วยความสงสัย

แต่มู่หลงเหยียนกลับไม่ยอมพูด เธอดึงมือซ้ายของผมออกไป ไม่ลังเลอะไรสักนิด เธออ้าปากและกัดลงที่ข้อมือของผมทันที

ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกว่ามีความเจ็บไหลแปลบขึ้นมา

“ โอ๊ย มู่หลงเหยียนเธอทำอะไร ! ” ผมพูดด้วยความรู้สึกเจ็บจนรับไม่ค่อยไหว

เสียงพึ่งเงียบลง มู่หลงเหยียนก็อ้าปาก

 

แต่เมื่อมองที่มือของผม ก็พบว่าตอนนี้ที่ข้อมือมีรอยฟันสองแถว

และเพียงชั่วพริบตา มันก็กลายเป็น “ ไฝดำ ” สองเม็ด

“ นี่ นี่มันคืออะไร ” ผมงงมาก ในเวลาเดียวกันก็ใช้มืออีกข้างถู จากนั้นก็พบว่าเวลาเพียงแค่แป๊บเดียวตรงที่ถูกกัดก็ไม่มีความรู้สึกเจ็บแล้ว

แต่ไม่ว่าจะถูไฝดำนั้นยังไง มันก็ไม่ออกไปเลยสักนิด

มู่หลงเหยียนเช็ดปาก “ ทำเครื่องหมายให้นาย ครั้งหน้าเวลาเจออันตราย แค่พูดชื่อฉันที่มือซ้าย ! แล้วตอนนั้นฉันก็จะรีบไปช่วยนายทันที ”

 

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ในใจของผมก็มีเสียงดัง “ กึก ”

ทำแบบนี้ก็ได้เหรอ ที่แท้ยัยมู่หลงเหยียนก็ทำเพื่อให้ฉันปลอดภัยเลยกัดฉันซินะ

ถ้าเป็นแบบนี้ งั้นก็โครตดีเลย

มู่หลงเหยียนร้ายกาจมาก คงไม่ต้องพูดแล้วละ

ตอนสู้กับเจ้าผีน้ำ เธอแค่สบัดมือง่ายๆ ผลลัพธ์ก็ออกมาแล้ว

แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร มู่หลงเหยียนก็ยกกล่องยาขึ้น เตรียมนำไปเก็บไว้ที่เดิม

แต่ตอนนั้นเอง โทรศัพท์ที่ผมวางเอาไว้บนโซฟาก็ดังขึ้น มีข้อความสั้นๆหนึ่งข้อความถูกส่งเข้ามา

ผมไม่ได้สนใจ แต่เมื่อหันไปมอง

 

ก็เห็นมันเขียนว่า กำลังนอนบนเตียงเตรียมหลับละนะ พอถึงบ้านแล้ว ก็พักผ่อนดีๆนะ !

หลังข้อความ ยังมีอีโมจิหน้าคนยิ้มอีกหนึ่งอัน

และคนที่ส่งมาไม่ใช่ใครอื่น เธอก็คือหยางเฉ่ว

ที่จริงมันก็ดูไม่มีอะไร เพราะเมื่อคืนพวกเราไปร่วมรบกันมา สุดท้ายถ้าไม่ใช่เพราะหยางเฉ่วใช้เส้นลวดยึดกับโครงเหล็กเอาไว้ ป่านนี้พวกเราคงตกลงมาตายแล้ว

นี่ก็แค่ข้อความสั้นๆที่เพื่อนส่งมา เพราะรู้สึกเป็นห่วงกันและกันเท่านั้น

แต่ปัญหาคือ มู่หลงเหยียนที่ยืนอยู่ข้างๆผม กลับเป็นยัยเจ้าอารมณ์ที่เคยลบเพื่อนผู้หญิงของผมจนหมด

เมื่อมู่หลงเหยียนเห็นข้อความนี้ ใบหน้า “ สาวหวาน ” ของมู่หลงเยียนเมื่อกี้ “ พรึบ ” กลับเปลี่ยนไปทันที

 

เมื่อหันไปมองอีกครั้ง ก็เห็นมู่หลงเหยียนจ้องผมอย่างเอาเป็นเอาตาย

ผมรู้สึกอึดอัดทันที “ เพื่อน แค่เพื่อนเท่านั้น ! ”

ผลลัพธ์มู่หลงเหยียนไม่พูดอะไร ทำตาเป็นสีขาวโพน โยนกล่องยาเอาไว้ที่โซฟาและพูดออกมาทันที “ ไปตายซะไอ้ห่วย ! ”

หลังจากพูดจบ เธอก็ไม่สนใจผมอีก แล้วหมุนตัวเดินตรงไปที่ป้ายวิญญาณ

จากนั้น ผมก็เห็นเธอกลายเป็นธาตุอากาศ หายตัวไปในทันที

เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนหายไป ในใจของผมก็รู้สึกผิดและไม่มีความสุขทันที !

แบบนี้ก็เรียกไอ้ห่วยงั้นเหรอ ผมและเฟิงเฉ่วหานไม่เห็นมีอะไรเลย แต่ข้อความสั้นๆแค่นี้ก็เรียกได้งั้นเหรอ

 

แต่เธอไปแล้ว ถึงจะอธิบายไปก็ไม่มีความหมายอะไร

เมื่อก้มมองไฝดำสองเม็ดที่ข้อมือของตัวเอง ผมก็ยังรู้สึกอบอุ่นหัวใจ

จากนั้น ผมก็ลุกขึ้นนำกล่องยาไปเก็บไว้ที่เดิม

ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ที่ไปออกกำลังกายตอนเช้าก็กลับมาถึง

เขาพึ่งเขามาในบ้าน ก็เห็นบนตัวของผมมีผ้าพันแผล จึงแสดงสีหน้าตกใจออกมา “ ติงฝาน แก แกเป็นอะไร ”

เมื่อเห็นอาจารย์ ผมก็หัวเราะแห้งๆ “ ไม่มีอะไร เมื่อคืนไปสู้กับผีผู้หญิงกับเฟิงเฉ่วหานมา ดันเกิดอะไรไม่คาดคิดนิดหน่อยน่ะ ! ”

 

“ ผีผู้หญิง เสี่ยวเฟิง เมื่อคืนพวกแกไปทำอะไรมา ” อาจารย์รีบถาม

ผมเองก็ไม่พูดจาไร้สาระ รีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

ในเวลาเดียวกันก็บอก เรื่องรู้สึกเสียใจกับจุดจบที่วิญญาณเจ้าเชี่ยนเชี่ยนแตกสลาย ความแค้นที่มีต่อปีศาจนั้น และถามว่าวิญญาณหมาที่เขาพากลับมาตัวนั้น ได้เบาะแสอะไรบ้างไหม

เมื่ออาจารย์ได้ยิน กลับถอนหายใจยาวๆ และตบบ่าของผม “ เสี่ยวฝาน แกทำดีที่สุดแล้ว บางเรื่อง พวกเราก็ไม่สามารถเปลี่ยนมันได้ ! แต่จงจำเอาไว้ เมื่อเข้ามาในสายนี้แล้ว เมื่อเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย จะต้องลงโทษแทนสวรรค์ ถึงแม้จะเป็นปีศาจที่ร้ายกาจขนาดไหน หรืออันตรายจนถึงชีวิตของพวกเรา แต่ก็ต้องทำตามหลักมโนธรรม ! แกทำได้ดีมาก ถึงผลลับจะออกมาไม่สวยงาม แต่แกก็ทำในสิ่งที่คนปราบสิ่งชั่วร้ายควรทำแล้ว ”

 

หลังจากได้ยินคำชมของอาจารย์ กำลังใจของผมก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังเชื่อในการตัดสินใจและการเลือกของตัวเองมากขึ้น

แต่ทันใดนั้นอาจารย์ก็เปลี่ยนมาพูดอีกเรื่อง เขาพูดกับผมอีกครั้ง “ เจ้าเดรัจฉานนั้น เป็นเหมือนกับที่แกพูด คืนนั้นที่ฉันพากลับมาก็เกิดเรื่องแปลกๆขึ้น วิญญาณของมันแตกสลายไปแล้ว!”

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ และไม่ถามอะไรอีก

ผมรู้ว่า ตอนนี้พวกเราได้สร้างความขัดแย้งกับองค์กรชั่วที่ลึกลับนั้นแล้ว

และสิ่งที่ใจของผมแน่วแน่ยิ่งกว่านั้นคือ ผมจะขุดคุ้ยความลับทั้งหมดที่พวกมันเก็บซ่อนไว้เอามาเปิดเผยให้หมด เพื่อแก้แค้นให้มู่หลงเหยียน และกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก

 

เมื่ออาจารย์เห็นสีหน้าที่อ่อนล้าของผม ก็พูดขึ้นมาทันที “ ชั่งเถอะ ไปนอนพักผ่อนซะ ! หลังจากแผลหายดีแล้ว อาจารย์จะสอนวิชาอื่นให้แก…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset