ถังย่ารู้สึกว่าสมองของตัวเองเหมือนโดนสนิมกิน ทุกๆเวลาวินาทีถูกยืดออกไปยาวนานมาก
เธอไม่กล้าแม้แต่จะชายตาลงมอง
เมื่อกี้ที่ปัดโดนคางของตัวเอง แท้ที่จริงแล้วเป็นขนตาของจ้านเซินตอนที่เขากะพริบตาใช่หรือไม่?
ท้ายที่สุด……จ้านเซินตื่นแล้วหรือยัง?
เขาจะคิดยังไงเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าตัวเองกำลังทำเรื่องอะไรแบบนี้ จะคิดยังไงนะ?
ถังย่ารู้ตัวว่าจะอธิบายไม่ถูก สถานการณ์อย่างนี้ สิ่งที่เธอกำลังทำไม่ใช่ข้ออ้างอะไรก็สามารถกลบเกลื่อนสิ่งที่ผ่านมาได้ มีแต่เพียงคำตอบเดียวที่สมเหตุสมผลคือ คนมองตาเดียวก็ทะลุปรุโปร่ง
จ้านเซินไม่ใช่คนโง่ เขาต้องเข้าใจแน่ๆ
ถังย่าถูกความขี้ขลาดครอบงำไปหมด น้อยมากที่เธอจะไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงอย่างนี้ ได้เพียงแต่ทำตัวเช่นเดียวกับนกกระจอกเทศ ก้มแต่ศีรษะ ไม่มองจ้านเซินเลย เขายืดตัวขึ้นอย่างช้าๆ หลับตาลง สุดท้ายก็ไม่กล้าที่จะดูแม้แต่ใบหน้าของจ้านเซิน
แต่แปลกมาก ในใจเธอตื่นตกใจที่โดนจับได้ มันยากที่จะเอ่ยปากออกมา รู้สึกเหมือนกับยกภูเขาออกจากอก
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
ถังย่าพูดกับตัวเองในใจ
ก็หมือนกับ——ดาบเล่มนั้นที่ห้อยอยู่บนท้องฟ้ามาตลอด สุดท้ายก็หล่นลงมา
ความรู้สึกที่เธอมีต่อจ้านเซินก็เป็นเช่นนี้ ทั้งกลัวว่าเขาจะรู้ ทั้งกลัวว่าเขาจะไม่รู้ตลอดไป
และในตอนนี้ สภาวะที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ จู่ๆได้ถูกทำลายลงด้วยฉากที่ไร้สาระแบบนี้
ถังย่าไม่รู้ว่าตัวเองควรจะดีใจหรือเสียใจดี
เธอไม่กล้าที่จะพูดก่อน กลัวว่าเมื่อกี้จะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา กลัวว่าจะเป็นเพียงแค่ความผิดพลาด คำพูดทำให้จ้านเซินตื่น โง่แล้วยังอวดฉลาดอีก
แต่จ้านเซินก็ไม่ได้พูดอะไร
ในห้องคนไข้เต็มไปด้วยความเงียบ ราวกับว่าเขายังไม่ได้ตื่นขึ้นมา
ความเงียบนี้กินเวลาไปนานมาก นานจนถังย่ารู้สึกว่าเมื่อกี้ตัวเองคงจะมีอาการประสาทหลอน อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเธอนั้นประหม่าเกินไป จนคิดว่าจ้านเซินตื่นขึ้นมาแล้ว
ด้วยความคิดนี้ ทำให้ถังย่าค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น เพราะอยากดูจ้านเซินสักแวบหนึ่ง
แต่บังเอิญตรงกับจังหวะที่จ้านเซินกำลังทอดสายตามา
ถังย่าตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
จ้านเซินไม่เคยมองเธอด้วยสายตาแบบนี้เลย
เธอรู้ดีว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร เธอคือมีดเล่มหนึ่งขององค์กร และเธอคือเครื่องมือที่จ้านเซินใช้ได้คล่องมือที่สุด
ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา สายตาของจ้านเซินที่มองเธอจะเหมือนการมองวัตถุ สายตาแบบนั้น ไม่ต่างจากตอนที่จ้านเซินเห็นรถสปอร์ตสมรรถนะดีหรือไม่ก็เป็นมีดคมๆเล่มหนึ่ง
แต่ตอนนี้ สายตาของจ้านเซินกลับแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าเขากำลังมองเธอด้วยสายตาที่มนุษย์ใช้มองกัน
ดูเหมือนว่า……เพิ่งจะพบว่าถังย่าก็เป็นบุคคลที่มีชีวิตจิตใจ มีความรักโลภโกรธหลง มีสัมผัสทั้งหก และหวั่นไหวเป็น
ในสายตาแบบนี้ จู่ๆถังย่าก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรดี อ้าปากเล็กน้อย แล้วก็งับปาก เหมือนแพ้ใจตัวเอง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาของจ้านเซิน เธอจึงไม่หลบอีกต่อไป
เธอคาดคะเนความเป็นไปได้ในใจไปต่างๆนานา มีตั้งหลายทางเลือกที่คิดไว้
ถ้าหากจ้านเซินจะถามว่าเธอกำลังทำอะไร คงเป็นแค่การลองเชิงอีกวิธีหนึ่ง แต่เธอจะต้องไม่ยอมรับแบบโง่ๆ จะต้องหาวิธีถ่วงเวลาสักหน่อย จนกว่าจะแน่ใจว่าจ้านเซินมีทัศนคติอย่างไร แล้วค่อยแสดงทัศนคติของตัวเองออกมา
ถ้าหากว่าจ้านเซินโกรธ งั้นเธอก็จะไม่จำเป็นต้องปกปิดอะไรอีกต่อไป ทำได้แค่บอกไปตรงๆ แล้วแบกรับผลที่จะตามมาทั้งหมด
เธอถึงขั้นคาดเดาไปถึงจ้านเซินจะใช้น้ำเสียงแบบไหนตอนเอ่ยปากออกมา ประโยคแรกจะพูดว่าอะไรนะ
ในตอนนี้ จ้านเซินเอ่ยปากออกมา
ถังย่าหลับตาลงสักครู่ พร้อมยอมรับตัวเองแต่ก็ยังไม่พร้อมที่จะสารภาพ
แต่ประโยคที่จ้านเซินเอ่ยปากออกมา กลับเป็นประโยคที่เธอคาดคิดไม่ถึงเลย
“ฉินซีอยู่ไหน?” เสียงของจ้านเซินมีความแหบเครือเล็กน้อย พูดจาช้ามาก แต่พูดชัดทุกคำ ถังย่าไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขาจึงถามอีกครั้งหนึ่ง
“ฉินซีล่ะ? “เธอยังไม่ได้พาตัวเธอกลับมาใช่มั๊ย?”
หลังจากที่ถังย่าตกตะลึงอยู่สักพัก จู่ๆก็รู้สึกโกรธขึ้นมาสุดขีด
เธอคิดคาดคะเนความน่าจะเป็นไปได้ต่างๆนานา เพื่อเตรียมความพร้อมที่จ้านเซินจับได้เรื่องความรู้สึกนึกคิดของเธอ สิ่งเดียวที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ——จ้านเซินไม่เคยคิดที่ถามเลย
เธอครุ่นคิดคำตอบมากมาย สิ่งเดียวที่คิดไม่ถึง จ้านเซินไม่ได้วางแผนที่ถามเลย
เหมือนการพบว่าถังย่าชอบเขา เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญ ไม่คุ้มค่าที่จะเปลืองน้ำลายถาม เพื่อค้นหาคำตอบ
การแสดงออกที่ไม่แยแสของเขาทำให้ถังย่าสามารถรู้ไปถึงความรู้สึกนึกคิดในจิตใจเขา
ก็แค่ชอบฉัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร อย่าให้มีอิทธิพลต่อความสามารถในการหาตัวฉินซีก็พอแล้ว
ถังย่านึกได้ดังนี้ จู่ๆก็อยากจะหัวเราะ
ความรู้สึกของเธอในหลายปีนี้มานี้ ได้ถูกปล่อยผ่านและหลุดลอยผ่านไป ไม่ควรค่าต่อการถาม เหมือนกับการเจาะฟองสบู่ โดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆเลย
ถังย่าเกือบจะไม่พอใจจ้านเซินแล้ว
ถึงแม้ว่าสติจะบอกเธอว่า ความชอบของเธอไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับจ้านเซิน ความรู้สึกไม่ใช่สิ่งที่เราทุ่มเทไปแล้วจะได้สิ่งตอบแทนกลับมา ดังนั้นไม่ว่าเธอจะรู้สึกลึกซึ้งสักแค่ไหน จ้านเซินก็ไม่ชอบเธอ ไม่ตอบสนองเธอ มันไม่ใช่ความผิดของเขา แม้ว่าเขาเองจะเลือกวิธีการที่เย็นชาในการจัดการ วิธีการนี้เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดในรักษาความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาให้เหมือนเดิมแบบที่เคยเป็นมา
แต่ในด้านของความรู้สึก เธอไม่สามารถทำใจยอมรับได้ ทั้งๆที่จ้านเซินรู้แล้วว่าเธอชอบ แต่กลับทำเป็นไม่แยแส
ถึงแม้จะเอ่ยปากถาม ก็ยังถามถึงเบาะแสของฉินซี
ในสายตาของถังย่า มันเหมือนเป็นการดูถูกเหยียดหยาม ยากที่จะทำใจยอมรับได้
ใจที่เจ็บปวดรวดร้าวทำให้ถังย่าขาดสติ ตาของเธอแดงขึ้นมาทันที เธอกำหมัดไว้แน่นพร้อมตะโกนออกไปโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งนั้นว่า:“ฉินซี?ในตอนนี้ฉินซีกับลู่เซิ่นกำลังมีความสุขกันอยู่ สองคนเดินจูงมือเที่ยวสวนสนุก แล้วเหลือไว้แค่หนังสือสงครามเล่มหนึ่งไว้ เธอไม่สนใจหรอกว่าคุณอยู่ที่ไหน ยังมีชีวิตอยู่มั๊ย”
ทั้งๆที่บนโลกใบนี้คนที่ห่วงใยคุณที่สุด ก็คือฉัน!
ทำไมคุณ……ไม่มองมาที่ฉันบ้างล่ะ!
หลังจากที่ถังย่าตะโกนพูดเป็นชุดนี้เสร็จ ใบหน้าของเธอแดงก่ำ คอของเธอแหบเครือเล็กน้อย
อากัปกิริยาของจ้านเซินในตอนนี้ได้เผยความแตกต่างบางอย่างออกมาเล็กน้อย เขาไม่ได้ตั้งใจฟังเนื้อหาที่ถังย่าพูดออกมาแม้แต่น้อย เขาเพียงแต่ประหลาดกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเธอ ผ่านไปหลายวินาที เขาเม้มปากแล้วพูดว่า: “เธอ……”
สักพักถังย่าก็รู้ว่าตัวเองมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แต่เธอก็ไม่สามารถสงบลงได้ทันที เธอก็ยังไม่หยุดพฤติกรรมดังกว่า พูดอย่างเสียงดังต่อไปว่า: “คุณไม่ไว้ใจฉันใช่มั๊ย?ดี คุณรอนะ ฉันจะเรียกพยานบุคคลมาให้คุณ”
พูดจบ แล้วก็ไม่ได้ดูสีหน้าของจ้านเซิน เธอมัวแต่หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วต่อสายไปหาคนที่เฝ้าจับตามองจูเซี่ยงเหวิน หลังจากที่กำชับให้พวกเขานำตัวขึ้นมาแล้ว เธอวางสายด้วยความโกรธ หันหน้าไปมองที่จ้านเซิน “รอคนนั้นขึ้นมาแล้วคุณก็จะรู้! ว่าฉินซีหลอกลวงทุกคนยังไง——”
“ถังย่า” จู่ๆจ้านเซินก็เอ่ยปากขัดจังหวะเธอ น้ำเสียงไม่ค่อยอ่อนโยน แต่ก็ยังสงบนิ่งมาก “ดื่มน้ำก่อนเถอะ”