ฉินซีรู้ดีกว่าใครๆว่าคนในองค์กรส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ไม่มีความเมตตาและไร้มนุษยธรรม เผื่อถังย่าโกรธจริงๆ เธอเองก็ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าสุดท้ายแล้วจูเซี่ยงเหวินจะมีจุดจบอย่างไร
แม้ว่าจูเซี่ยงเหวินคนนี้จะเป็นคนชอบหาเรื่องไปทั่ว เอาเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นมาดึงดูดความสนใจ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็โทษไม่ถึงตาย
ถ้าหากเป็นเพราะการกระทำของพวกเขา ทำให้จูเซี่ยงเหวินถึงแก่ความตาย ใจของฉินซีก็ไม่มีทางเป็นสุขได้
ติดไฟแดงพอดี ลู่เซิ่นจอดรถ เอื้อมมือข้างหนึ่งลูบไปที่ผมของฉินซี:“เธอวางใจได้ พวกเขาไม่ทำอะไรจูเซี่ยงเหวินหรอก”
ฉินซีมีความสงสับเล็กน้อย:“ทำไมเธอถึงได้มั่นใจนัก?”
ลู่เซิ่นยิ้ม:“สุดท้ายฉันให้เขาโพสต์เวยป๋อ ให้บอกว่าแอบถ่ายพวกเราแล้วโดนจับได้ ตอนนี้หวาดกลัวมาก ขอชาวเน็ตช่วยเป็นหูเป็นตาให้ด้วย ถ้าเขาไม่ได้ออนไลน์เป็นเวลานาน อย่าลืมแจ้งตำรวจ”
ฉินซีตกตะลึงเล็กน้อย :“นายทำเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาเหรอ ทำไมฉันถึงไม่เห็น?”
ลู่เซิ่นยิ้มอย่างกระหยิ่มใจ:“ตอนที่จะออกมาฉันบอกเขาเกี่ยวกับเคล็ดลับในการรักษาชีวิต เธอไม่ได้ยินแน่นอน”
ในที่สุดฉินซีก็รู้สึกโล่งใจขึ้น
ถึงแม้ว่าองค์กรจะทรงอำนาจ เมื่อเรื่องแดงถึงตำรวจหรือถูกประชาชนจับตามอง ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่กล้าโจมตีลงไม้ลงมือกับผู้ที่ต้องลงมือ แต่เห็นได้ชัดว่าจูเซี่ยงเหวินคนนี้ไม่ได้มีอะไรที่จะทำให้พวกเขาทุ่มเทอย่างนี้ เพราะถ้าลงไม้ลงมือทำอะไรบางอย่างกับจูเซี่ยงเหวิน ก็ยังต้องไปชี้แจงเหตุผลต่อสาธารณชน คนในองค์กรจะคิดพิจารณาก่อนลงมือ อย่างน้อยจูเซี่ยงเหวินก็จะไม่ตกอยู่ในอันตราย
สัญญาณไฟเขียวขึ้น ลู่เซิ่นเพ่งมองไปที่ฉินซี พลางเหยียบคันเร่ง พลางยิ้มแล้วพูดว่า:“ไม่ต้องมองฉันแบบนี้ ฉันกำลังขับรถอยู่ จูบไม่ถนัด”
……
ฉินซีเพิ่งมีปฏิกิริยาตอบรับ มองเขาอย่างโกรธเคืองๆ ถอนสายตาแล้วมองไปข้างหน้า
อยู่ในรถเหมือนกัน ฝั่งของถังย่ากลับไม่มีความหวานอ่อนโยนเต็มความรักอบอวลเต็มรถเหมือนทางนั้น แต่กลับรู้สึกเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้น
ใบหน้าเธอหม่นหมอง บูทูธในรถยนต์เชื่อมต่อกับโทรศัพท์ แต่เบอร์ที่เธอโทรไปนั้นไม่มีใครรับสายเลย
จูเซี่ยงเหวินไม่ดูก็สัมผัสได้ถึงความกดดันที่เล็ดลอดออกมาจากตัวถังย่า เขากลัวว่าตัวเองจะหาเรื่องเข้าตัวอีก แต่ไม่มีที่หลบซ่อนใดๆ ทำได้แค่เพียงลดบทบาทตำแหน่งของตนให้น้อยลง ถ้าทำได้คงฝังกลบหัวตัวเองไปแล้ว
ถังย่าสังเกตการกระทำและการเคลื่อนไหวของเขา แต่เธอก็ไม่ได้เห็นความผิดปกติแต่อย่างใด
ตอนที่เธอออกมานั้นสมองเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าจะต้องหาเบาะแสของลู่เซิ่นและฉินซีให้เจอ ตอนนี้เรื่องนี้มีข้อสรุปแล้ว เธอจึงเพิ่งนึกได้ว่าจ้านเซินยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล
เธอแค่เพียงอยากจะโทรศัพท์หาจูจื้อซินเพื่อถามถึงอาการของจ้านเซิน แต่โทรศัพท์ไปหลายครั้ง กลับไม่มีใครรับสายเลย
จู่ๆถังย่าก็มีลางสังหรณ์ร้ายอยู่ในใจ
ตอนเธอออกเร่งรีบมาก แต่ก็ยังสั่งไม่ให้จูจื้อซินไปไหนทั้งนั้น ให้คอยดูจ้านเซินอยู่ที่โรงพยาบาลให้ดี ดังนั้นเขาไม่น่าที่จะไม่สามารถรับสายโทรศัพท์ได้
เหลือความเป็นได้อีกอย่างหนึ่ง……ก็คือต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับจ้านเซิน จึงทำให้จูจื้อซินไม่ทันได้มีเวลารับสายโทรศัพท์
จะมีเรื่องอะไรกันนะ ที่ทำให้จูจื้อซินไม่มีเวลาแม้แต่จะรับสายโทรศัพท์
ถังย่าไม่กล้าคิดอะไรเลยเถิด ได้แค่คิดกังวลอยู่ในใจ เท้าเหยียบคันเร่งเร็วแรงขึ้น จูเซี่ยงเหวิน รู้สึกเพียงว่าตัวเองพร้อมบินไปสู่ท้องอากาศได้ทุกเมื่อ และสงสัยว่าชีวิตของตนนั้นคงจะตกอยู่ในอุ้งมือของผู้หญิงที่เลือดเย็นคนนี้
แต่โชคดีตรงที่ทักษะการขับรถของถังย่าอยู่ในขั้นยอดเยี่ยม จึงทำให้สองคนไม่ได้เป็นอันตรายใดๆ ใช้เวลาเร็วกว่าปกติครึ่งชั่วโมงก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว
ถังย่าเปิดประตูรถ กำลังจะเดินลงไป แต่จู่ๆก็กลับนึกได้ว่าจูเซี่ยงเหวินคนนี้ยังอยู่บนรถ เธอหันไปพูดกับเขา:“นายอยู่บนรถนี่แหละ ไม่ต้องไปไหน”
จูเซี่ยงเหวินนึกขึ้นในใจว่านี่เป็นความหวังเดียวที่จะมีโอกาสได้หลบหนี เขาหลับตาก้มศีรษะพร้อมตอบปากรับคำ
ตอนนี้ฉันรับปาก สักพักเธอไปแล้วฉันค่อยหนี เธอก็ควบคุมอะไรไม่ได้แล้ว
เขาพลางคิดในใจพลางควบคุมตัวเองให้มากที่สุด ไม่ต้องแสดงความรู้สึกนึกคิดออกมาทางใบหน้า แต่ถังย่ากลับมองความคิดของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ยิ้มแบบเยาะเย้ย หันหน้าออกไปพร้อมกวักมือ
ทันใดนั้นก็มีชายสวมชุดสีดำปรากฏที่ข้างนอกหน้าต่างรถ
จูเซี่ยงเหวินตกตะลึง
คนนี้โผล่มาจากไหนกันเนี่ย?ทำไมเขาถึงไม่เห็นความเคลื่อนไหวของคนนี้เลย?
แต่ตอนนี้ ถังย่าก็ไม่ได้สนใจความคิดของเขาเลย หันหน้าไปที่ชายชุดดำพร้อมพูดกำชับว่า:“จับตาดูเขาไว้”
ชายชุดดำคนนั้นพยักหน้าอย่างเงียบๆ ถังย่าก็ไม่ได้มองจูเซี่ยงเหวินอีก เธอผลักประตูออกแล้วเดินไปในโรงพยาบาล
จูเซี่ยงเหวินหันหน้าไป ก็สบสายตากับดวงตาที่เย็นชาของผู้ชายชุดดำคนนั้น อดไม่ได้ที่จะใจหวิว ยิ้มแหยะๆแล้วกลับเขาไปในรถ ในใจนึกเสียใจเป็นหลายร้อยครั้ง
……
……ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองรู้เท่าไม่ถึงการณ์ชั่วขณะ อยากถ่ายผู้ชายสองคนนั้นเพื่อดึงดูดความสนใจ ก็คงไม่ต้องมามีชะตากรรมแบบนี้ เพียงแต่เสียดาย ไม่มีใครสนใจความรู้สึกนึกคิดของเขาแล้ว
……
ถังย่าเดินฉับๆไปตามระเบียงทางเดินของโรงพยาบาล
ห้องของจ้านเซินอยู่บนชั้นแปด แม้แต่เวลารอลิฟต์ก็ไม่ยอมเสียไป เธอเปิดประตูทางออกฉุกเฉินแล้วปีนบันไดขึ้นไป
ตอนที่เธอออกมาจากบันไดชั้นแปด เธอแทบจะหายใจไม่ทัน
ภาพของระเบียงทางเดินยิ่งทำให้เธอรู้สึกกระวนกระวายใจ
ทั้งๆตอนที่เธอออกไปนั้น เพราะว่าจ้านเซินป่วย ระเบียงทางเดินเต็มไปด้วยคนในองค์กรมากมาย ทำให้ดูเหมือนจะมีเสียงดังเล็กน้อย แต่ตอนนี้……เหลือแค่ความว่างเปล่า คนสักคนก็ไม่มี
ทุกก้าวที่ถังย่าเดิน เสียงสะท้อนจากระเบียงทางเดินที่ว่างเปล่า ทำให้เธอมีความรู้สึกกังวลใจมากยิ่งขึ้น
มีใครอยู่มั๊ย?
คุณหมอล่ะ?
จูจื้อซินล่ะ?
การ์ดหน้าห้องล่ะ?
ถังย่าคาดเดาเรื่องราวในใจไปต่างๆนานา ไม่มีความคิดด้านบวกเลย มีแต่จุดจบและผลลัพธ์เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ
เขาเกือบจะเดินวิ่งเหยาะๆในตอนท้าย
ที่จริงแล้วเป็นเพียงแค่การเดินไม่กี่วินาที ถังย่ากลับรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยเดินทางที่ไกลแบบนี้มาก่อนเลย
และก็ไม่เคยรู้สึกว่าห้องของจ้านเซินจะไกลขนาดนั้น
ในที่สุดก็เดินถึงหน้าประตูห้องของจ้านเซิน แต่สถานการณ์กลับไม่ได้ทำให้เธอคลายความกังวลลง
ทั้งๆตอนที่เธอออกไปมีการ์ดเฝ้าอยู่สองคน ตอนนี้กลับไม่มีเลยสักคน ห้องผู้ป่วยก็เงียบเชียบ ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเคลื่อนไหวของใคร
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
ถังย่าไม่สนใจว่าตัวเองจะไร้มารยาทหรือไม่ เธอไม่ได้เคาะประตู ยื่นมือผลักประตูให้เปิดออก
——ในห้องของคนไข้ว่างเปล่า เตียงนอนจัดอย่างเป็นระเบียบ ผ้าปูที่นอนตึงเรียบไร้รอยยับ ผ้าห่มก็ถูกพับไว้เป็นอย่างดี ราวกับว่าไม่เคยมีผู้ใดพักอยู่ที่นี่เลย
ความกังใจของถังย่าแทบจะทำให้เธอขาดใจตาย เธอไม่สนใจอะไรมาก เธอหันหลังกลับแล้ววิ่งไปที่จุดพยาบาล เธอคว้าตัวพยาบาลที่ใกล้ที่สุดแล้วถามด้วยความดุดันว่า:“ผู้ป่วยห้อง8192ไปไหนแล้ว?ทำไมไม่มีใครอยู่เลยสักคน?”
พยาบาลตกใจกับน้ำเสียงเธอ น้ำเสียงสั่นเครือ:“ไป…ไปห้องคนไข้พิเศษแล้วค่ะ…”
ถังย่าขมวดคิ้ว:“ห้องคนไข้พิเศษ?ทำไม?”
…หรือเป็นเพราะว่าอาการป่วยของจ้านเซินทรุดลง?
แต่เธอเองเพิ่งจากไปไม่นาน จู่ๆทำไมอาการป่วยถึงได้ทรุดถึงขั้นนี้ได้
ถังย่าไม่อยากจะเชื่อ
เสียงพยาบาลแผ่วเบาลง:“ผู้ป่วย……มีแนวโน้มจะทำร้ายผู้อื่น”