โจวซิงเงยหน้าแล้วพูดขึ้น : “มีหมอเหยาอยู่ทั้งคน คุณจ้านยังต้องการผมอีกเหรอ”
คำถามของเขาค่อนข้างตรง และไม่กลัวว่าจะทำให้จ้านเซินโกรธ
จ้านเซินมองเขาด้วยสายตาดำขลับที่เปล่งประกายด้วยแสงสลัว : “ต้องการสิ”
เขายื่นมือไปแตะที่ไหล่ของโจวซิงเบาๆ : “ผมหวังว่าคุณกับหมอเหยาจะสามารถเรียนรู้จุดเด่นของกันและกัน ร่วมมือกันช่วยรักษาอาการของฉินซีให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น”
จ้านเซินพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ แต่กลับแฝงด้วยบรรยากาศของการกดดัน
โจวซิงรู้สึกถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็นนั้นกลิ้งเข้ามาหาเขา
เขายืนอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ แต่ร่างกายของเขามีการโค้งงอเล็กน้อย
แม้แต่โจวซิงเองก็ไม่ทันสังเกตเห็นจุดนี้ แต่ว่ากลับอยู่ในสายตาของบอดี้การ์ด
“โจวซิงต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหน ก็ต้านจ้านเซินไม่อยู่จริงๆ”
พวกเขาถอนหายใจเงียบๆอยู่ในใจ
“ได้”
เขารู้ว่าตอนนี้นอกจากทำการรับปากก็ไม่มีวิธีอื่น
…..
ในห้อง
ฉินซีตื่นขึ้นมา เธอเห็นในห้องนั้นว่างเปล่า บรรยากาศความเงียบสงัดได้เข้ามาปกคลุม
เมื่อเห็นในห้องไม่มีคน ฉินซีก็รู้สึกโล่งใจอย่างอธิบายไม่ถูก
ยังดีที่จ้านเซินไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงต้องเสแสร้งทำเป็นว่านอนสอนง่ายเพื่อตบตาเขา
เพียงแต่ไม่รู้ว่าจ้านเซินคิดจะทำอะไรต่อไป
ในขณะที่ฉินซีกำลังครุ่นคิดอยู่ จู่ๆหน้าประตูมีเสียงฝีเท้าก้าวเดินมาเป็นระยะๆ
เธอจึงรีบปิดตาลง เพราะคิดว่าเป็นจ้านเซิน
เหยาจ้าวผลักประตู แล้วเห็นเธอนอนตัวตรงอยู่บนเตียงด้วยร่างกายที่แน่นตึง
ใบหน้าที่เย็นชาเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มจางๆ เขาทำการล็อกประตู แล้วเดินมาที่ข้างเตียงของฉินซี จากนั้นพูดขึ้นเบาๆ : “ไม่ต้องแสร้งหลับแล้ว จ้านเซินไม่ได้มา”
แค่แววตาเดียว เหยาจ้าวก็สามารถมองออกว่าเธอนั้นกำลังเสแสร้ง และก็รู้ว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้
เขานึกถึงจ้านเซินที่เมื่อสักครู่เลื่อนเวลาการกลับองค์กรเพื่อเธอ และกลับมามองฉินซีตอนนี้ที่เอาแต่หลบหน้าจ้านเซิน ในใจจึงเกิดความสับสน
เมื่อได้ยินเสียงของเหยาจ้าว ฉินซีก็ลืมตาขึ้นทันใด
แล้วหันหน้าไปสบตากับรอยยิ้มของเหยาจ้าว ฉินซีที่กำลังวิตกกังวล จึงค่อยๆผ่อนคลายลง
ฉินซีค่อยๆลุกขึ้นนั่งตรง : “คุณมาแล้วเหรอ”
น้ำเสียงของเธออ่อนโยนและอารมณ์ของเธอก็เย็นลงมาก
“ผลสรุปของการทดลองเมื่อสักครู่…..”
ฉินซีหันไปมองเขา ไม่รู้ว่าจ้านเซินรู้สึกหรือเกิดความสงสัยหรือเปล่า
เหยาจ้าวรู้ว่าเธอกำลังกังวลอะไร : “คุณวางใจเถอะ ผมได้จัดการเรียบร้อยแล้ว”
เขาจะได้ช่วยฉินซีปกปิดไปอย่างสวยงาม และประสบผลสำเร็จที่ทำให้จ้านเซินล้มเลิกความคิดที่จะพาฉินซีกลับไปที่องค์กรในตอนนี้
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ฉินซีก็รู้สึกสบายใจขึ้น : “เหยาจ้าว ขอบคุณมากนะ”
อดีตของฉินซีเคยถูกญาติมิตรทำร้ายอย่างเจ็บปวดมาก่อน
แต่กลับได้พบกับลูกพี่ลูกน้องกลางทาง อีกทั้งยังเป็นญาติห่างๆ มาทำให้หัวใจของฉินซีอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง และให้ความรู้สึกถึงคำว่าครอบครัว
บางทีนี่อาจเป็นความหมายของคำว่าครอบครัว เมื่อเจอกับอุปสรรคปัญหาก็จะให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน คอยประคับประคองให้อีกฝ่ายนั้นผ่านความยากลำบากไปได้
เหยาจ้าวมองท่าทางที่สงบนิ่งของเธอ จึงถอนหายใจขึ้นในใจ : “ฉินซี คุณชอบลู่เซิ่นจริงๆหรือ”
เขารู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของลู่เซิ่น ต่อหน้าเขาฉินซีจึงไม่จำเป็นต้องปิดบัง
“ทำไมถึงถามแบบนี้”
ฉินซีรู้สึกว่าตัวเองนั้นได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนแล้ว
ความรู้สึกที่เขามีต่อลู่เซิ่นไม่เพียงแต่แค่ชอบ น่าจะเป็นการรักสุดหัวใจ
การปรากฏตัวของลู่เซิ่น ได้ช่วยฉินซีผู้เคยอ่อนแอหมดหนทางคนนั้นออกมาจากความมืดมิด
เป็นลู่เซิ่นที่ให้แสงสว่างหัวใจกับเธอ
การมีตัวตนอยู่ของลู่เซิ่นคือแรงผลักดันที่ทำให้ฉินซีมีชีวิตอยู่ต่อไป
เขาเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ร้อนแรงที่ห้อยโตงเตงอยู่บนนั้น ที่ค่อยส่งมอบความอบอุ่นให้กับฉินซี
เหยาจ้าวส่ายหน้า : “ไม่มีอะไร ก็แค่อยากถาม”
เขาย่อมสามารถเห็นถึงความคิดของฉินซีผ่านการสะกดจิต เดิมทีเขาก็อยากจะช่วยฉินซีหนีออกจากองค์กร สงเคราะห์เธอกับลู่เซิ่น
แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงของจ้านเซินในตอนนี้ ทำให้เหยาจ้าวลังเลเล็กน้อย
เหยาจ้าวรู้สึกว่า อันที่จริงจ้านเซินก็เป็นเพียงเครื่องมือสืบทอดที่ถูกปลูกฝังจากคนรุ่นเก่าในองค์กรเท่านั้น
จ้านเซินเป็นคนเก่งมากจริงๆ แต่ยี่สิบปีที่ผ่านมา เขากลับมีชีวิตที่แสนเศร้า
เขาไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่มีชีวิตสีสันในช่วงวัยเด็ก มีพ่อแม่ปู่ย่าพี่คอยให้ความรัก เอาอกเอาใจ และได้ในสิ่งที่เขาต้องการ
จ้านเซินตั้งแต่เล็กเขาก็เติบโตในสภาพแวดล้อมที่เย็นชา เขาไม่มีพ่อแม่ที่คอยให้กำลังใจ ไม่มีความรักจากพ่อแม่ มีเพียงแต่การฝึกฝนและการเรียนรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ในขณะที่เด็กคนอื่นกำลังกินลูกอม สวมใส่ผ้าอ้อม หัดพูดนั้น จ้านเซินกลับต้องมาฝึกเดิน ฝึกซ้อมอยู่ในสถานที่ที่โหดร้าย
ไม่มีคนคอยรักคอยเป็นห่วง เขาทำได้เพียงทำตัวให้แข็งแกร่งทีละนิดๆในที่แห่งนี้ ไม่อย่างนั้นเขาก็จะถูกตี ถูกอดอาหาร และก็ถูกทำโทษ
ลองจินตนาการดู เมื่อเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นกับเด็กที่อายุเพียงสามขวบนั้น มันช่างน่าเศร้าน่าเวทนามากแค่ไหน
นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมจ้านเซินไม่รู้จักวิธีในการรักใครสักคน ไม่รู้วิธีสารภาพความในใจให้กับคนคนนั้นได้รับรู้
เพราะว่ารอบๆตัวเขาไม่มีคนที่คอยให้คำปรึกษาสักคนเดียว
ทุกคนมีแต่บอกจ้านเซินว่า ไม่มีใครที่น่าเชื่อถือไว้วางใจได้สักคน มีเพียงความสัมพันธ์ทางผลประโยชน์และการกดขี่ ถึงจะผูกมัดไว้ได้
แต่เมื่อมีสิ่งที่ล่อตาล่อใจกว่า คนรอบข้างของคุณก็จะหักหลังและทรยศคุณ โดยไม่มีขอยกเว้นใดๆ
ความคิดนี้ได้ถูกฝังหยั่งลึกอยู่ในใจของจ้านเซิน
ดังนั้น จ้านเซินจึงไม่เคยได้พูดระบายกับใคร ปิดกั้นตัวเองไว้ ไม่ยอมให้ผู้อื่นเข้าใกล้ จะได้ไม่ถูกหักหลัง
และเพราะจ้านเซินไม่เคยถูกรัก ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าวิธีในการรักคนคนหนึ่ง
เมื่อก่อนเหยาจ้าวนั้นเกลียดชังจ้านเซินอย่างมาก
เขารู้สึกว่าจ้านเซินนั้นเหมือนกับหุ่นยนต์ที่ไร้ความรู้สึก เขานอกจากเป็นแต่กดขี่คนอื่น เขาแทบจะไม่มีความสามารถอย่างอื่นเลย ยังเทียบกับเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ
แต่เมื่อเหยาจ้าวอยู่องค์กรเป็นเวลานาน เขาก็ค่อยๆเข้าใจจ้านเซินมากขึ้น จนค่อยๆล้มเลิกความคิดนี้ ตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าจ้านเซินนั้นน่าสงสาร
ฉินซีไม่รู้ความคิดลึกๆที่อยู่ในใจของเหยาจ้าว
เธอหวนคิดไปถึงวันเวลาที่เธอเคยอยู่กับลู่เซิ่น รอยยิ้มที่อบอุ่นก็ปรากฏบนใบหน้าอันบอบบางของเธอ : “เหยาจ้าว ฉันรู้สึกว่าวันเวลาที่ฉันอยู่กับลู่เซิ่นนั้น เป็นช่วงเวลาที่ฉันมีความสุขมากที่สุดตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา”
ประโยคเดียวของฉินซี ก็ชัดเจนอยู่แล้ว
อดทนอดกลั้นมานานหลายปี ในที่สุดก็ใกล้จะถึงเวลาหลุดพ้นเสียที
มีเพียงเวลาที่อยู่ต่อหน้าลู่เซิ่นเท่านั้น ฉินซีถึงจะสามารถทำตัวเป็นหญิงสาวที่ไร้เดียงสาได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลใจเรื่องอื่น ทำในสิ่งที่ตัวเองมีความสุขก็พอ
ฉินซีรู้สึกโชคดีที่ตัวเองได้พบกับลู่เซิ่น
เขาเป็นคนที่ดึงเธอขึ้นมาจากหุบเหว จนเธอได้พบกับแสงสว่างอีกครั้ง ทำให้ตระหนักถึงความงามของโลกใบนี้ นั้นมีสีสันหลากหลาย จนทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่อยากจะเชยชมความเจริญรุ่งเรืองและความงดงามของมัน