“ต้องเพิ่มระบบการรักษาให้เธอ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของฉินซี เธออาจจะสามารถพาตัวเองเข้าไปสู่ทางตัน แล้วขังตายตัวเองอยู่ในนั้น”
เหยาจ้าวตั้งใจพูดให้เรื่องดูรุนแรง เพื่อให้จ้านเซินรู้สึกเห็นใจฉินซี
อันที่จริงเหยาจ้าวนั้นดูออก
การปฏิบัติต่อฉินซีของจ้านเซินตอนนี้มีความแตกต่าง เห็นได้จากอาการปฏิกิริยาซึ่งได้เปลี่ยนไปมาก
เห็นได้ชัดว่าเขาเริ่มใส่ใจความรู้สึกของฉินซี เพื่อเธอแล้ว ยอมลดศักดิ์ศรีลงไปไม่น้อย
แต่ว่าเหยาจ้าวก็ไม่ได้พูดโกหกทั้งหมด
สถานการณ์ของฉินซีอยู่ในขั้นรุนแรงจริงๆ เพียงแต่ว่าเธอมีความสุขุมมากกว่าคนปกติ เธอรู้วิธีที่จะยับยั้งอารมณ์ของตัวเอง ซึ่งนี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่ร้ายเช่นกัน
เมื่อคนคนหนึ่งยับยั้งตัวเองอยู่ในระดับหนึ่งแล้ว และไม่ได้รับการระบาย ผลที่ได้อาจจะตรงกันข้าม
ก็เหมือนกับเด็กที่ดื้อรั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่และคุณครูจะแสร้งทำเป็นน่ารักน่าเอ็นดู แต่พอลับหลังกลับมืดมนจนทำให้คนรู้สึกกลัว
นิสัยของฉินซีเป็นอย่างไร จ้านเซินย่อมรู้ดีกว่าเหยาจ้าว
ความจริงก็เหมือนอย่างที่เหยาจ้าวพูดไม่มีผิด ในช่วงนี้ฉินซีมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก มากจนทำให้จ้านเซินรู้สึกผิดปกติ
ตอนนี้ดูแล้วสาเหตุที่ทำให้ฉินซีมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ ก็คืออาการป่วยของเธอที่แย่ลง
จ้านเซินที่เดิมทีต้องการอยากจะพาตัวฉินซีกลับองค์กร แต่หลังจากที่ฟังคำวินิจฉัยของเหยาจ้าวแล้ว เขาก็เกิดความลังเลขึ้นในทันใด ไม่รู้ว่าควรจะพาฉินซีออกไปตอนนี้ดีหรือไม่
หนึ่งปีที่ฉินซีที่อยู่ข้างนอก เห็นได้อย่างชัดเจนว่าฉินซีมีความสุขมากกว่าตอนอยู่ในองค์กร
นี่ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงคำพูดของถังย่าในตอนนั้น ถ้าต้องการให้ฉินซีดีขึ้น และฟื้นตัวเร็ว ก็อย่าพันธนาการเธอ จงปล่อยเธอออกไปเดินเล่น
จ้านเซินจึงได้ปล่อยให้เธออิสระ แต่ว่าตอนนี้เขาต้องทนเห็นความสัมพันธ์ระหว่างฉินซีกับลู่เซิ่นนับวันยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้น จนเขาเริ่มรู้สึกทุกข์ใจ
เขากังวลว่าฉินซีจะออกไปจากองค์กร และไม่มีวันหวนกลับมาอีก
เพราะฉะนั้น จ้านเซินจึงได้เรียกเหยาจ้าวมาอย่างเร่งด่วน เพื่อต้องการให้เขาช่วยส่งฉินซีกลับไปที่องค์กร
เขามั่นใจในฝีมือของเหยาจ้าว ขอเพียงมีเขาอยู่ ฉินซีจะต้องปลอดภัย
แต่เหยาจ้าวกลับบอกว่าอาการของฉินซีนั้นค่อนข้างรุนแรง จะต้องได้รับการรักษาให้โดยเร็วที่สุด
ฉินซีเกลียดองค์กรอย่างกับอะไรดี จ้านเซินเห็นกับตา
ถ้าหากผลีผลาม ขืนพาเธอกลับไป เกรงว่าอาการของเธอก็จะยิ่งเลวร้ายลง
จ้านเซินไม่อยากเห็นฉินซีเหมือนเมื่อหนึ่งปีก่อน ที่มีชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน
แต่นี่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะยอมให้ฉินซีอยู่กับลู่เซิ่น
ฉินซีสามารถอยู่ที่นี่ต่อได้ชั่วคราว แต่ว่าเธอจะต้องอยู่ภายใต้สายตาของเขา จะไม่สามารถพบเจอกับคนที่ทำให้จิตใจของเธอหวั่นไหวได้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จิตใจของจ้านเซินถึงได้สงบลง
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางเหยาจ้าวอย่างตึงเครียด : “ผมเข้าใจแล้ว หมอเหยา อย่างนั้นคุณก็ดำเนินการรักษาฉินซีให้ดีๆ ผมหวังว่าภายในหนึ่งอาทิตย์จะเห็นประสิทธิผล”
จ้านเซินออกคำสั่งกับเขาอย่างเคยชิน
เหยาจ้าวพยักหน้า : “ได้ ผมจะพยายามให้ถึงที่สุด”
เขารู้ดีว่าที่จ้านเซินพูดเช่นนี้ ถือเป็นการถอยให้แล้ว
ไม่อย่างนั้น ตอนนี้จ้านเซินก็คงให้เขาเก็บข้าวของ แล้วพาฉินซีกลับไปที่องค์กรภายใต้การคุ้มครองของบอดี้การ์ดแล้ว
“อืม แล้วฉินซีจะตื่นขึ้นมาตอนไหน”
จ้านเซินมองเธอที่นอนหลับใหลอยู่ข้างในผ่านกระจก น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน
ในจุดนี้ แม้แต่จ้านเซินเองก็ไม่ได้สังเกตเห็น
การเปลี่ยนแปลงของจ้านเซินนี้เหยาจ้าวไม่รู้จะบรรยายได้อย่างไร
หรือบางทีอาจชอบฉินซีขึ้นแล้วจริงๆ เพียงแต่ใช้ผิดวิธี
ถ้าหากเป็นฉินซีคนก่อน บางทีอาจจะหวั่นไหวกับการเปลี่ยนแปลงของจ้านเซิน
แต่ว่าฉินซีตอนนี้ มีลู่เซิ่นอยู่เคียงข้าง
เธอรักลู่เซิ่น เธอตัดสินใจที่จะถอนตัวออกจากองค์กรตั้งแต่แรกแล้ว และจะหนีไปให้ไกลๆ ไม่มีวันที่จะหวนกลับมาอีก
เมื่อสมัยเป็นเด็กฉินซีกับลู่เซิ่นมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก ฉินซีชอบออดอ้อนออเซาะเขา และก็ชื่นชมเขามาก
แต่นั่นก็เป็นเพียงเรื่องอดีต และอดีตก็มักจะผ่านไปแล้วก็ผ่านไป
ฉินซีกำลังเดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆ มุ่งไปสู่ชีวิตใหม่อย่างไม่หยุดหย่อน
มีเพียงจ้านเซินที่ยังหยุดอยู่ที่เดิม แล้วขังตัวเองไว้ในสถานที่ของตัวเอง แล้วคอยเฝ้าอยู่อย่างนั้น คอยปกป้องกฎขององค์กร จนพันธนาการจิตวิญญาณของตัวเอง
เขาเริ่มหวนกลับไปคิดถึงฉินซีคนนั้น คนที่คอยออดอ้อนออเซาะ
เหยาจ้าวรู้สึกว่า จ้านเซินคือคนที่ควรได้รับการรักษาสุขภาพจิตมากที่สุด
เขาคือคนที่มีความผิดปกติทางจิตมากที่สุดในองค์กร แต่เพราะร่างกายที่กำยำ จึงได้กดปัญหาทางจิตนี้ไว้ ดังนั้นสิ่งที่เห็นจากภายนอก จึงไม่มีความแตกต่างจากคนปกติทั่วไป
อีกทั้งยังได้รับการชื่นชม มีความสามารถที่โดดเด่น และเป็นผู้นำที่ดีมากคนหนึ่ง
“การสะกดจิตครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ได้ส่งผลกระทบหรือทำให้ร่างกายของเธอได้รับบาดเจ็บขั้นรุนแรง เพียงแต่แค่สูญเสียพลังทางจิตเล็กน้อยเท่านั้น อีกไม่นานก็คงจะฟื้นตื่นขึ้นมา คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
เหยาจ้าวรู้ว่าเขากำลังเป็นห่วง จึงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ จ้านเซินก็พยักหน้า
เขาไม่มีการพูดใดๆขึ้นอีก เพียงแค่หมุนตัวผลักประตูห้องผู้ป่วย
จ้านเซินเดินไปที่ข้างเตียงของฉินซี แล้วย้ายเก้าอี้วางลงบนพื้นเบาๆ
เขานั่งอยู่ตรงหน้าของฉินซี แล้วเอื้อมมือไปกุมเธอไว้
จ้านเซินไม่พูดไม่จา แต่ว่าแววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความสงสาร
ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้เหยาจ้าวรู้สึกทุกข์ใจ
เขาไม่รู้ว่าจะประเมินความรู้สึกที่จ้านเซินมีต่อฉินซีอย่างไร พูดได้แค่เพียงว่าพวกเขาทั้งคู่นั้นโดดเด่นมาก เหมาะสมกันมาก เพียงแต่ไม่มีวาสนาต่อกัน
….
อีกฝั่ง
โจวซิงกำลังเดินโกรธฟึดฟัดอยู่ในโรงพยาบาล
เมื่อสักครู่เขาได้คุยสนทนาทางโทรศัพท์กับลู่เซิ่น ลู่เซิ่นให้เขาตรวจเช็คอย่างละเอียด ว่าจ้านเซินได้วางบอดี้การ์ดรอบๆตัวฉินซีที่โรงพยาบาลไว้กี่คน
โจวซิงตอนนี้จึงแกล้งทะเลาะกับจ้านเซิน แล้วก็ออกกลอุบายเพื่อที่จะออกไป ด้วยการโขกกับกำแพงไปทั่ว
เขาดูจากภายนอกเหมือนว่าอยากจะออกไปมาก แต่ความจริงแล้วแค่อยากจะออกไปดูว่ามีการวางบอดี้การ์ดไว้กี่คน และวางไว้ตรงไหนบ้าง
“คุณแน่ใจนะว่าไม่ให้ผมออกไป”
โจวซิง โขกกำแพงอีกครั้ง และพูดด้วยความโมโห
เขาโกรธจนกำหมัดแน่น แววตาประกายด้วยเปลวไฟที่ลุกโชน
จ้านเซินที่กำลังอยู่ในห้องผู้ป่วยของฉินซี
“ปังๆๆ!”
จู่ๆก็มีเสียงดังลอยมาจากนอกประตู
จ้านเซินคิ้วเข้มขมวดขึ้น ปล่อยมือแล้วเดินตรงไปที่ประตู
เขาค่อยๆปิดประตู เกรงจะส่งเสียงรบกวนจนฉินซีตื่น
จ้านเซินไม่ได้สังเกตเห็นว่าตอนที่เขากำลังปิดประตูอย่างสนิทนั้น ฉินซีที่นอนปิดตาอยู่บนเตียง มีการแอบลืมตาขึ้น
นัยน์ตาทอประกายด้วยแสงสีเหลือง ดวงตาไม่มีอาการง่วงนอนแม้แต่น้อย
เธอมองไปที่ประตูอยู่สักพัก โดยไม่ไหวติง
จากนั้น สายตาของฉินซีก็มองลงที่มือของตัวเอง ที่ยังเหลือไว้ซึ่งกลิ่นอายและอุณหภูมิของจ้านเซิน
นึกถึงท่าทางของจ้านเซินที่นั่งอยู่เงียบๆข้างกายตัวเอง ฉินซีเกิดความสับสนในใจ เกิดความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้
ทันใดนั้น เธอก็ยิ่งไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากบอกจ้านเซินอย่างไรถึงเรื่องที่ต้องการจะจากไป