ฉินซีสะดุ้งตื่นทันที ภาพเสียงนกขับขาน ดอกไม้เบ่งบาน ได้หายไปในพริบตาเดียว
เวลานี้เธอกำลังยืนอยู่บนสนามรบที่รกร้าง รอบด้านมีหมอกควันลอยคละคลุ้งจากหมี วัชพืชป่าและกิ่งไม้ที่ถูกเผาจนแห้งดำเกรียม และทิ้งไว้บนพื้นดิน
ที่นี่ช่างรกร้างเงียบสงัด บรรยากาศรอบด้านเต็มไปด้วยความมืดมิด เกิดความรู้สึกบีบคั้นจนทำให้ฉินซีหายใจไม่ออก เธอไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆความฝันถึงได้เปลี่ยนไป
จู่ๆฉินซีก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อสักครู่นั้นเหมือนได้ยินเสียงของเหยาจ้าว
เขากำลังเตือนตัวเอง จะต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา อย่าได้ถูกสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าครอบงำดวงตา
ดังนั้น…..
เหยาจ้าวไม่ได้เปลี่ยนไป เขายังเป็นคนเดิมคนนั้น!
ฉินซีรู้สึกได้ถึงผลสรุปนี้ จึงรู้สึกดีใจมาก
เธอรู้ว่าเหยาจ้าวจะต้องไม่ถูกผู้สัตว์ประหลาดในองค์กรกลืนกินได้อย่างง่ายๆ
เขาเก่งกาจขนาดนี้ ตอนนั้นช่วยเหลือเธอต่างๆ ในใจของฉินซีรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้ ฉินซีจะไม่รู้ว่าทำไมเหยาจ้าวถึงต้องเสแสร้งเช่นนี้ แต่ขอเพียงแค่รู้ว่า เหยาจ้าวยังเป็นเหมือนคนปกติทั่วไปแค่นี้ก็พอใจแล้ว
บางทีเป็นไปได้ที่เหยาจ้าวก็อาจเป็นเหมือนเธอ ที่มีบางอย่างที่ไม่สามารถจะพูดออกมาได้
เมื่อรู้ว่ามีเหยาจ้าวคอยให้การช่วยเหลืออย่างลับๆ หัวใจของฉินซีที่บีบแน่นก็ค่อยๆผ่อนคลายลง
“ฉินซี คุณบอกผมสิว่าคุณเห็นอะไร”
และในเวลานี้ฉินซีก็ได้ยินเสียงของเหยาจ้าวกำลังชี้นำตัวเอง
“คุณไม่ต้องกลัวนะ แค่บอกกับผมในสิ่งที่คุณเห็นทั้งหมดก็พอ ผมรับรอง ว่าคุณความปลอดภัย จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
เหยาจ้าวตั้งใจพูดแนะนำให้กับฉินซี
ฉินซีได้ยินคำแนะนำจากเขา จึงได้เอ่ยปากพูดขึ้น : “ฉันเห็นสนามรบที่มีทหารสองกองทัพกำลังต่อสู้กัน มีคนตายเป็นจำนวนมาก รอบๆนั้นรกร้างไปหมด เสบียงของพวกเขาถูกเผาหมกไหม้ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยควันโขมง มีเลือดกระจายเจือปน ช่างหดหู่จนฉันแทบหายใจไม่ออก”
เธอบอกในสิ่งที่เธอเห็นทั้งหมดให้กับเขาเหยาจ้าว
ฉินซีรู้ว่าเธอไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก เพราะเหยาจ้าวจะหาวิธีช่วยเธอปิดบังเอง
ต่อไปเธอก็แค่ให้รอเหยาจ้าวแสดงความสามารถอย่างเงียบๆเท่านั้น
เมื่อเหยาจ้าวได้ยินเธอพูดเช่นนี้ ก็คิ้วขมวดขึ้น
เห็นได้ชัดว่าจ้านเซินรู้สึกมีบรรยากาศที่ผิดปกติบนตัวของเขา ในใจจึงเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้น
เขาแทบอยากจะถามเหยาจ้าวถึงสถานการณ์ของฉินซีในตอนนี้ว่าเป็นอย่างไร
แต่ว่า จ้านเซินก็ไม่สามารถทำได้
ครั้งก่อนเขาได้ขัดจังหวะการสะกดจิตของโจวซิงทำให้ฉินซีได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงจนถึงขั้นต้องนอนพักโรงพยาบาล จนถึงตอนนี้อาการก็ยังไม่หายดี
หากมีการเกิดขึ้นอีกครั้ง อาจจะเหมือนดังที่โจวซิงได้พูดไว้ ฉินซีจะหลับอยู่ในความฝันและจะไม่สามารถตื่นขึ้นมาอีก
เหยาจ้าวทำใจสงบนิ่งแล้วพูดขึ้น : “ฉินซี คุณทำได้ดีมาก ตอนนี้คุณสามารถหลับตาและนอนพักผ่อนได้แล้ว”
เขาตบที่ไหล่ของฉินซีเบาๆอย่างอ่อนโยน
ด้วยการกระทำของเหยาจ้าว ทำให้ฉินซีราวกับหนีออกมาจากความฝันสู่โลกในแห่งความเป็นจริง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสติของฉินซีจะกลับมา แต่ร่างกายของเธอก็อ่อนล้ามากหลังจากการถูกสะกดจิต
เธอหลับตาลงแล้วเข้าสู่ห้วงแห่งการหลับใหลไป
“ฉินซีเป็นอย่างไรบ้าง”
จ้านเซินลุกขึ้นทันใด หันไปทางเหยาจ้าวพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน
ความฝันของฉินซีเมื่อสักครู่นั้น เขาที่ฟังอยู่ข้างๆแล้วรู้สึกถึงความร้ายแรง ไม่รู้ว่าเหยาจ้าวจะคิดเห็นอย่างไร
เหยาจ้าวถอนหายใจ : “พวกเราออกไปพูดข้างนอกกันเถอะ”
เมื่อสิ้นประโยคลง เขาก็หมุนตัวแล้วเดินออกไปก่อน ที่แผ่นหลังนั้นดูเคร่งเครียดมาก
ในใจจ้านเซินดัง “ตึกๆ !” ความรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีก็ยิ่งทวีคูณ
เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเหยาจ้าวพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดเช่นนี้ หรือว่าฉินซีจะ…..
จ้านเซินคิดไปเองต่างๆนานาเสร็จ จึงได้รีบเดินตามเหยาจ้าวออกไป
ทั้งคู่ได้เดินมาถึงสุดระเบียงทางเดินอีกครั้ง
เหยาจ้าวรู้ว่าเขาแทบรอไม่ไหวที่จะรอฟังผลสรุป จึงไม่ได้ปิดบังต่อไปอีก : “สถานการณ์ของฉินซีตอนนี้ไม่ต่างไปจากที่ โจวซิงพูด มิหนำซ้ำยังร้ายแรงกว่าที่เขาเห็นอีก”
แค่เพียงประโยคเดียวก็ทำให้จิตใจของจ้านเซินถึงกับท้อหมดกำลังใจ
“คุณพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร”
จ้านเซินหรี่ตาอย่างน่ากลัว รับไม่ได้กับเรื่องจริงนี้
เหยาจ้าวรู้ว่าเขาร้อนรน : “เมื่อสักครู่ตอนที่ผมสะกดจิตอยู่นั้น ตั้งใจจะพาฉินซีไปในทางที่ดี แต่ในความฝันของเธอนั้นไม่เป็นไปตามที่ผมพูด”
เขาจ้องมองจ้านเซิน แล้วพูดอย่างมีหลักการ : “คุณรู้ความฝันเกิดจากจิตใต้สำนึกไหม”
เหยาจ้าวดูเหมือนแค่อยากจะถาม โดยที่ไม่ต้องการอยากได้คำตอบจากจ้านเซิน
เขาจึงรีบพูดต่อ : “ความฝันเกิดจากจิตใต้สำนึก ความหมายนั้นง่ายมาก ก็คือความฝันของคนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามความคิดของจิตใต้สำนึกของคนคนนั้น ถ้าหากตอนนี้คนคนนั้นอยู่ในสภาวะที่มีความสุข อย่างนั้นสิ่งที่ฝันถึงก็จะเป็นเรื่องที่ดี” ตรงกันข้าม ถ้าตอนนี้ตกอยู่ในสภาวะที่ลังเล วิตกกังวลไม่สบายใจ ก็จะทำให้เกิดฝันร้าย”
เหยาจ้าวค่อยๆอธิบายให้เขาในด้านทางจิตวิทยา แล้วทำการวิเคราะห์ถึงสิ่งที่ปรากฏในความฝันของฉินซีให้กับจ้านเซิน ให้เขาได้เข้าใจ
“อย่างแรก ในความฝันของฉินซีคือการปรากฏอยู่บนสนามรบ นี่ก็แปลว่าจิตใจของเธอกำลังวิตกกังวล อย่างที่สอง เธอเห็นทหารสองกองทัพโดยสวมใส่เสื้อผ้าที่แตกต่างกัน แล้วกำลังยืนประจันหน้ากัน นี่ก็สะท้อนให้เห็นว่าภายในจิตใจของเธอมีมารร้ายสองตัวกำลังต่อสู้กัน ตัวหนึ่งบอกให้เธอควรทำอย่างนี้ ส่วนอีกตัวหนึ่งบอกเธอว่า ทำแบบนี้มันไม่ถูก เธอจะทำแบบนี้ไม่ได้…..”
เมื่อเหยาจ้าวพูดมาถึงตรงนี้ก็ชะงักขึ้น แล้วสังเกตดูปฏิกิริยาของจ้านเซิน
เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อจ้านเซินได้ยินแบบนี้ สีหน้าของเขาก็มีการเปลี่ยนแปลง
ฝ่ามือใหญ่ที่วางตรงอยู่ข้างลำตัวได้ถูกกำแน่นขึ้น จนเห็นถึงเส้นเลือดที่แขนปูดออกมา
เพราะฉะนั้น ฉินซีกำลังลังเลว่าเธอควรจะถอนตัวจากองค์กรดีไหม
ถ้าอย่างนั้นมารร้ายสองตัวที่อยู่ในใจของเธอ ตัวใดกันที่เป็นฝ่ายชนะ
จ้านเซินอยากจะรู้มากว่าฉินซีตัดสินใจอย่างไร
เขามองไปทางเหยาจ้าว ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า : “คุณบอกผมหน่อยว่าสุดท้ายแล้วฝ่ายไหนเป็นฝ่ายชนะ”
จ้านเซินได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงของตัวเอง
เขาไม่รู้ว่าผลสรุปจะออกมาเหมือนที่ตัวเองรอคอยหรือเปล่า หรือว่าจะเป็นสิ่งที่ตัวเองนั้นไม่อยากจะได้ยิน
เผชิญหน้ากับคำถามของเขา เหยาจ้าวได้ส่ายหัวขึ้น : “ในความฝันของฉินซี ไม่มีข้อสรุปใดๆ หรือบางทีถ้าเธอคิดได้แล้ว ก็คงจะไม่ยุ่งเหยิงเหมือนในตอนนี้”
คำพูดของเขาที่จริงบ้างเท็จบ้าง กลับทำให้จ้านเซินเชื่อสนิทอย่างไม่ระแคะระคาย
“คุณพูดต่อสิ”
จ้านเซินเม้มปาก นัยน์ตาทอประกายด้วยแสงสลัว ๆ
“ฉินซียังฝันเห็นเลือดและจำนวนคนตายที่มากมาย นี่ก็แปลว่าเธอไม่ต้องการให้มีคนได้รับบาดเจ็บในสนามการต่อสู้ครั้งนี้เพราะเธอ เธอต้องการจะแก้ปัญหานี้ด้วยสันติวิธี และได้รับผลลัพธ์การจบลงที่ดี”
เหยาจ้าวได้วิเคราะห์ความฝันของเธอให้กับจ้านเซินอย่างละเอียด
เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วมองไปทางจ้านเซิน : “โดยรวมๆแล้ว ตอนนี้ฉินซีมีความวิตกกังวล ถึงแม้ภายนอกของเธอจะดูดีมาก คล้ายกับว่าอาการของเธอจะฟื้นตัวขึ้นในไม่ช้า แต่ว่าภายในจิตใจของเธอยังคงคอยกังวล”