บทที่ 1266 คำอธิบายที่สายเกินไป
แต่ฉินซีนั้นรับรู้ได้ชัดเจนมาก
ไม่ใช่ว่าเธอไม่คิดถึงรสสัมผัสแนบเนื้ออย่างใกล้ชิดกับลู่เซิ่น แต่สถานการณ์เบื้องหน้ายังไม่ถูกอธิบายให้ชัดเจน ทั้งสองคนยังไม่เข้าใจกัน ถ้าหากว่าเกิดเรื่องแบบนั้น จะทำให้สถานการณ์ควบคุมไม่ได้มากยิ่งขึ้น
ดังนั้นคล้ายกับว่ามีเสียงแหลมสูงของนกหวีดดังขึ้นในสมองของฉินซี ทันใดนั้นเธอก็ได้สติตื่นขึ้นมาจากบรรยากาศคลุมเครือที่มาพร้อมกับจูบอันเร่าร้อน มือทั้งสองข้างฝืนยันแผงอกของลู่เซิ่นไว้ พลางดิ้นรนอย่างต้องการถอยหลัง
แต่การกระทำของเธอคล้ายกับทำให้ลู่เซิ่นตกใจตื่นจากฝันอันงดงาม ใบหน้าของเขามีร่องรอยแห่งความไม่ยินดีพาดผ่าน มือที่โอบอยู่รอบเอวของฉินซี ไม่เพียงแต่จะผ่อนแรง แต่กลับเพิ่มแรงกอดฉินซีเอาไว้ เหมือนกับต้องการให้ฉินซีจมไปในอ้อมกอด กลายเป็นเลือดเนื้อเดียวกันกับตัวเอง แบบนี้ทั้งสองคนจะได้ไม่ต้องแยกจากกันอีก
แต่การกระทำแบบนี้ของเขากลับทำให้ฉินซีต่อต้านหนักขึ้นกว่าเดิม
ความแนบชิดสนิทสนมของทั้งสองคนกลายเป็นสงครามที่ถูกทำลายลง ใครก็ไม่ยินยอมที่จะประนีประนอม
สุดท้ายแล้ว หลังจากที่บนริมฝีปากถูกฉินซีกัดจนได้แผลหนึ่ง ลู่เซิ่นก็ถอยก้าวหนึ่ง และปล่อยฉินซีในที่สุด
แต่สายตาของเขายังคงจ้องคงจับจ้องเธออยู่
“ลู่เซิ่น” ฉินซียื่นมือออกมาถูริมฝีปากของตัวเอง เหมือนกับต้องการลบสัมผัสอันแนบชิดเมื่อครู่นี้ทิ้งไป เพื่อให้ตัวเองมีสติเล็กน้อย “คุณยังไม่ได้อธิบายชัดเจนว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นอย่างไรกันแน่ให้ฉันฟัง”
ความปรารถนายังคงลุกโชนอยู่ในนัยน์ตาของลู่เซิ่น ดูแล้วคล้ายกับการฝืนให้ตัวเองสงบเยือกเย็นลงอย่างไม่เต็มใจ
แต่คำพูดที่เอ่ยออกมาอย่างใจกว้างนั้นทำให้ผู้คนตกตะลึง
“คุณอยากจะฟังอะไร ผมจะอธิบายให้คุณฟังทั้งหมด”
ไม่ใช่ว่าฉินซีจะไม่รู้สึกตะลึง
ก่อนจะมาที่นี่ เธอเคยจินตนาการไว้ว่า ถ้าหากตัวเองเรียกร้องคำอธิบายหนึ่งจากลู่เซิ่น เขาจะใช้ท่าทีแบบไหนมาเผชิญหน้ากับตัวเอง
ในจินตนาการของฉินซี แม้ว่าตัวเองจะสามารถพบเขาได้อย่างราบรื่น ก็ต้องลงทุนลงแรงอยู่บ้าง ถึงจะสามารถได้ยินความจริงทั้งหมดจากเขา
แต่ความใจกว้างของลู่เซิ่นนั้นล้วนอยู่นอกเหนือจากการคาดการณ์ของเธอทั้งหมด
นี่เป็นเพราะว่าอะไรก็ไม่ได้ทำ ดังนั้นจึงสามารถพูดจาได้อย่างมีเหตุมีผลและเต็มไปด้วยความมั่นใจ หรือว่าเป็นเพราะ……เตรียมการทั้งหมดไว้เรียบร้อยตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว ดังนั้นจึงไม่กลัวที่จะถูกตั้งคำถามกันนะ
ฉินซียังคงมีความสงสัยสุดท้ายอยู่ในใจ
แต่เธอก็ยังตัดสินใจที่จะเอ่ยพูดตั้งแต่แรกเริ่ม
“ที่ตอนนั้นฉันตัดสินใจจากไป เป็นเพราะการไปเมืองหนานของคุณในตอนบ่ายวันนั้น ในกล่องอีเมลของฉันได้รับอีเมลที่ไม่ระบุชื่อฉบับหนึ่ง ด้านในมีคลิปเสียงเสียงหนึ่ง ฟังดูแล้วเหมือนกับว่าคุณกับหลินยี่กำลังพูดคุยวางแผนว่าจัดงานแต่งงานอย่างไร” ฉินซีก็ไม่ได้ปิดบัง บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตัวเองออกมาหมดเปลือก “ตอนนี้ฉันก็สงสัยอยู่บ้าง ประจวบเหมาะกับที่สองสามวันนั้น ฉันกำลังจัดเตรียมงานนิทรรศการภาพถ่าย จึงถือโอกาสติดต่อถังย่า ให้เธอช่วยฉันตรวจสอบคลิปเสียงคลิปนั้นว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่”
สีหน้าของลู่เซิ่นก็จริงจังขึ้นตามคำอธิบายของฉินซี เขาถามต่อประโยคหนึ่งว่า “คลิปเสียงนั้นพูดว่าอะไร”
ฉินซีแทบจะไม่จำเป็นต้องพยายามย้อนคิดเลย คำพูดนั้นเหมือนถูกสลักเอาไว้ในใจของเธอ แค่อ้าปากก็ท่องออกมาได้อย่างคล่องแคล่วรอบหนึ่ง
ลู่เซิ่นฟังจบแล้ว สีหน้าก็ยิ่งไม่น่ามอง
“ตอนนั้นฉันให้ถังย่าช่วยฉันตรวจสอบคลิปเสียงคลิปนั้นว่าผ่านการตัดต่อเติมแต่งเข้าไปหรือไม่ แต่ผลคือไม่มี ช่วงเวลานั้น…….การแสดงออกของคุณแปลกไปอยู่บ้างจริงๆ ดังนั้นในใจของฉันจึงเก็บงำความสงสัยเอาไว้” ฉินซีเอ่ยต่อ
คิ้วของลู่เซิ่นขมวดเล็กน้อย
ถ้าหากว่าฉินซีไปตรวจสอบการตัดต่อของเสียงพูด อย่างนั้นคลิปเสียงนั้นไม่อาจจะมีปัญหาใดๆแน่นอน เพราะเป็นสิ่งที่ลู่เซิ่นพูดออกมาจากปากเองจริงๆ แต่ว่าไม่มีบริบทอื่นๆ เมื่อฟังเพียงแค่เสียงพูดท่อนนั้น ก็จะทำให้ความหมายเดิมของคำพูดนั้นห่างไกลจากเป้าหมายเดิมมากยิ่งขึ้น
คนที่พยายามใส่ร้ายตัวเองนั้น มีวิธีการที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ทั้งตรวจสอบไม่พบปัญหาใดๆ ทั้งยังสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่พวกเขาต้องการได้
แต่ลู่เซิ่นยังคงมีความสงสัยในปัญหาอีกข้อหนึ่ง
ถ้าหากว่าตัวเองจำไม่ผิดล่ะก็ คำพูดท่อนนั้น เขาพูดกับหลินยี่ที่บริษัทลู่ซื่อ
ภายในห้อง นอกจากตัวลู่เซิ่นแล้ว ก็มีเพียงแค่ลู่เหวยเท่านั้น
เขาเชื่อว่าลู่เหวยจะต้องไม่ทำเรื่องประเภทนี้ออกมาแน่ๆ และก็รู้ว่าอ้างอิงจากระดับความปลอดภัยของบ้านตระกูลลู่ ไม่สามารถมีหน่วยสอดแนมปะปนเข้ามาติดตั้งเครื่องดักฟังอะไรพวกนั้นอย่างแน่นอน
คลิปเสียงนั้น ไปอยู่ในกำมือได้อย่างไรกันแน่
แต่เมื่อเหลือบตาขึ้นมอง ก็เห็นว่าฉินซีกำลังรอคำอธิบายของตัวเองอยู่ ลู่เซิ่นทำได้เพียงแค่กดความสงสัยในใจของตัวเองลงไปก่อนชั่วคราว คิดไปคิดมาก็เอ่ยว่า “ถ้าพูดแบบนี้……คุณคงยากที่จะเชื่อ เสียงพูดนี้ไม่ได้ผ่านการตัดต่อเติมแต่งจริงๆ เป็นคำพูดเดิมที่ออกมาจากปากของผม แต่เจตนาที่แท้จริงที่ผมพูดคำพูดนี้ออกมา ก็แค่กำลังหยอกล้อหลินยี่เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าพิจารณาที่จะแต่งงานกับเวินจิ้งอย่างจริงจัง”
ในสายตาของฉินซีมีอะไรบางสิ่งพาดผ่านไป จากนั้นก็ดับลง
เธอหลุบตาลง ทำให้คนมองไม่ออกว่าผิดหวังหรือไม่ แต่ลู่เซิ่นสามารถรู้สึกได้ว่า สภาพจิตใจของเธอหม่นหมองเป็นอย่างมาก
“ผม…….” เขาคิดจะอ้าปากอธิบาย แต่เมื่อถึงตอนนี้ ก็พบว่าคำพูดเป็นเรื่องที่อ่อนแอไร้กำลังมากเพียงใด
เขาไม่มีคลิปเสียงดีๆที่สามารถใช้อธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้นกันแน่ และก็ไม่มีวิธีที่จะทำให้ฉินซีเชื่อตัวเองได้โดยสิ้นเชิง
วิธีการเพียงหนึ่งเดียว มีเพียงแค่ให้หลินยี่ที่มีฐานะเป็นพยานทางบุคคลมาอธิบายแทนตัวเอง
แต่ลู่เซิ่นก็รู้เช่นกันว่า สำหรับฉินซีนั้น ประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือในคำพูดของหลินยี่ ก็ไม่ได้สูงมาก
……..เดี๋ยวก่อน คลิปเสียงหรือ
ลู่เซิ่นคล้ายกลับว่ามีแสงหนึ่งพาดผ่านสมองไป คิดอะไรขึ้นมาได้ในทันที
ถ้าหากว่าในเหตุการณ์ไม่มีคนอื่นแล้ว อย่างนั้น…….สิ่งที่ฉินซีเรียกว่าองค์กรนั้น มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะดักฟังผ่านโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ใช้ฟังก์ชั่นบันทึกเสียง เพื่อให้ได้เนื้อหาในบทสนทนาของตัวเองกับหลินยี่
เมื่อเข้าใจในจุดนี้แล้ว ลู่เซิ่นก็วาดแผนการหนึ่งขึ้นในสมองด้วยความเร็วแสงว่า จะไล่ตามเบาะแส เพื่อจับกุมคนที่บุกรุกเข้าโทรศัพท์มือถือของตัวเองเหล่านั้นอย่างไร
แต่เขาก็แค่คิดวาดแผนการคร่าวๆแผนหนึ่ง และวางไว้อีกด้าน ไม่ได้ลงรายละเอียด
ถึงอย่างไร เบื้องหน้าก็ยังมีเรื่องสำคัญกว่าที่เขาจำเป็นต้องทำให้สำเร็จ
“ฉินซี” แววตาที่ลู่เซิ่นมองเธอจริงจังเป็นอย่างมาก “มีบางคำพูด เพียงแค่ฟังส่วนหนึ่งในนั้น ก็อาจจะเข้าใจผิดจากเป้าหมายเดิมไปคนละทาง ผมไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ถึงจะสามารถทำให้คุณเชื่อผมได้ แต่ผมจำเป็นต้องบอกกับคุณ ผมไม่เคยมีความคิดที่จะแต่งงานกับเวินจิ้งเลย”
สีหน้าของฉินซีนั้นทำให้คนมองไม่ออกว่า เธอเชื่อหรือไม่เชื่อกันแน่ เธอเพียงแค่ยิ้มบางๆ ทว่าแววตากลับไม่มีความอบอุ่นใดๆ
“แน่นอนว่าฉันรู้ว่า คลิปเสียงสามารถจะหลอกคนได้ อาจจะมีคนต้องการทำให้ฉันเข้าใจผิดจากเบื้องหลัง ดังนั้น วันนั้นตอนเช้า ฉันไปตรวจสอบที่บริษัทของถังย่า ยืนยันแล้วว่าคลิปเสียงไม่มีปัญหา และก็ไม่ได้เชื่อในทันที คุณอาจจะได้ฟังพ่อบ้านพูดแล้วสินะ ฉันเพิ่งจะกลับบ้าน ก็พบว่ารีสอร์ทชิงหยวนถูกคนบุกเข้ามา
แน่นอนว่าลู่เซิ่นรู้ และยังรู้อีกว่าผู้บุกรุกอาจจะทำอะไรบางอย่างกับคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ฉินซีรู้สึกผิดหวังกับตัวเองโดยสิ้นเชิง หลังจากที่ฉินซีได้ดู
แต่จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้ว่าฉินซีเห็นอะไรกันแน่
แต่เขามีลางสังหรณ์หนึ่งว่า เรื่องที่ฉินซีจะบอกตัวเองในเร็วๆนี้ น่าจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร