บทที่ 856 ลืมไม่ลง
เวินจิ้งพยักหน้า“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเย็บแผล ฉันจะสั่งยาให้ มันจะหายได้เร็วขึ้น และไม่ทิ้งรอยแผลเป็น”
ฉินซีตอบรับ
ทั้งสองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย โดยไม่สนใจลู่เซิ่นที่อยู่ด้านหลังแม้แต่น้อย
หลังจากที่เวินจิ้งสั่งยาให้ ฉินซีก็พยักหน้า เพื่อเป็นการขอบคุณ แล้วดึงลู่เซิ่นเดินออกมา
เวินจิ้งมองไปที่ด้านหลังจองคนทั้งสองคน ที่ลากกันออกไป อย่างรู้สึกสับสนเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
หลังจากที่ฉินซีไปรับยาเรียบร้อยแล้ว ก็หันหน้ากลับมาหาลู่เซิ่น ซึ่งยังคงมีสีหน้าที่ไม่พอใจ
“ขอร้องเถอะค่ะ วิธีนี้ใบหน้าของฉันจะหายไวขึ้น คุณไม่พอใจอะไร?”
ฉินซียังคงไม่หยุด ที่จะโพล่งคำพูดออกมา
สีหน้าของลู่เซิ่นเปลี่ยนไป แล้วพูดด้วยเสียงต่ำว่า“ผมไม่ได้อารมณ์เสียเพราะเรื่องนี้”
ฉินซีมองเขา“งั้นเป็นเพราะอะไรคะ?รู้สึกหลังจากเข้าโรงพยาบาล โดยเฉพาะหลังจากที่ได้พบกับคุณหมอเวิน ก็เห็นได้ชัดว่าคุณอารมณ์เสีย เป็นไปได้ไหมว่า……คุณชอบคุณหมอเวิน?”
ลู่เซิ่นถลึงตา“คุณพูดเรื่องไร้สาระอะไรเนี่ย?”
ฉินซียักไหล่“ฉันก็แค่พูดออกไปลอยๆ”
เธอก้มหน้าลง เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับยาครบแล้ว แล้วจึงเดินออกจากตัวอาคารผู้ป่วยนอก พร้อมกับลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นเดินอยู่ข้างหน้า ฉินซีเลียนแบบตามเขาทุกย่างก้าวอยู่ข้างหลัง
ไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลวงตาของตัวเธอเองหรือเปล่า เธอรู้สึกว่าทางที่พวกเขากำลังออกไปในตอนนี้ มันเป็นทางอ้อมมากกว่าตอนที่พวกเขาเพิ่งเดินเข้ามา
ทิวทัศน์ของโรงพยาบาลนั้นสวยงามมาก ปกติแล้วเธอคงไม่รังเกียจที่จะมอง แต่ตอนนี้เธอสวมรองเท้าส้นสูงมากกว่าสิบเซนติเมตร เมื่อตอนที่เดินราวกับเต้นรำบนปลายมีด เธอไม่มีอารมณ์แม้กระทั่งจะชื่นชมวิวทิวทัศน์
กำลังคิดที่จะถามลู่เซิ่น ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ เขาก็หันหลังกลับมา
ฉินซีที่หยุดไม่ทัน และทั้งตัวก็พุ่งเข้าสู่อ้อมแขนของลู่เซิ่น
“ทำไมจู่ๆ คุณถึงหันหลังกลับมา?”ฉินซีพยายามที่จะลุกออกจากอ้อมแขนของเขา พร้อมกับไม่พอใจ
ลู่เซิ่นยื่นมือไปโอบเธอเอาไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง และถามที่ข้างหูของเธอว่า“คุณคิดว่าหมอเวินเป็นยังไงบ้าง?”
ฉินซีรู้สึกได้ว่า ลมหายใจของเขากำลังผ่านวูบอยู่ข้างหูของตัวเอง ปลายประสาทใต้ผิวหนังสั่นสะท้าน อย่างไม่สามารถควบคุมได้ หลังจากใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที สมองก็ได้รับรู้คำถามของเขา
กอดตัวเอง แต่ถามถึงผู้หญิงคนอื่น มันยังไงเหรอ?
ฉินซีไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ค่อยพอใจ และพยายามดิ้นรนเพื่อหนีออกจากอ้อมกอดของลู่เซิ่น“หมอเวินน่ารักดีค่ะ เมื่อตอนที่ฉันไปรับยา ได้ยินพวกเขาพูดว่า หมอเวินมาจากเมืองหนาน และมีจรรยาบรรณทางการแพทย์มากๆ”
“เป็นแบบนั้นเองเหรอ?”ลู่เซิ่นซักถาม
ฉินซีสับสน“ก็เป็นแบบนั้นสิ พวกเราเพิ่งจะแตะเนื้อต้องตัวกันนิดเดียว ยังจะรู้สึกอะไรได้อีก?”
“เดิมทีโรงพยาบาลแห่งนี้ มีความร่วมมือกับโรงพยาบาลหนานเฉิง มีการแบ่งปันทรัพยากรทางการแพทย์ และแพทย์ก็จะไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อหมุนเวียนกันสักสองสามวัน เมื่อก่อนหมอเวินก็เคยมาที่นี่”ลู่เซิ่นไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงอธิบายออกมา
ฉินซีไม่รู้ว่าทำไมถึงมองไปที่ลู่เซิ่น หลังจากนั้นสายตาก็เปล่งประกายขึ้น และก็เริ่มล้อเลียนเขา“ไหนคุณพูดว่าไม่ชอบคุณหมอเวิน เป็นเพราะเมื่อก่อนคุณมาที่นี่เพื่อรักษา แล้วพบเธอใช่ไหมคะ ลืมไม่ลงเหรอ?ฉันเพิ่งจะได้ยินจากคนในแผนกเภสัชกรรมว่า คุณขอให้ใครบางคนหาเบอร์ของหมอเวินเพื่อให้ฉัน เพียงแค่ต้องการใช้โอกาสนี้ เพื่อพบเธออีกครั้ง ใช่ไหมคะ?”
ลู่เซิ่นหยุดนิ่งไปชั่วขณะ“ถ้าผมชอบเวินจิ้งจริงๆ คุณจะไม่รังเกียจใช่ไหม?”
ฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย“พูดไม่ได้ว่ารังเกียจหรือเปล่า แต่คุณต้องเข้าใจนะ ว่าตอนนี้พวกเราแต่งงานกันแล้ว คุณอย่าทำให้ฉันลำบากใจไปมากกว่านี้ ถ้าคุณต้องการที่จะอยู่กับคนอื่น อย่างน้อยก็รอจนกว่าพวกเราจะหย่าร้างกัน”
เมื่อเธอพูดคำว่า“หย่าร้าง”สองคำนี้ สีหน้าของลู่เซิ่นก็มืดมนลง จนไม่สามารถมืดมนลงได้กว่านี้อีกแล้ว เขาจงใจมองไปที่ฉินซีในไม่กี่วินาที หลังจากนั้นก็หมุนตัวกลับ และเดินไปต่อ“ลืมไปซะเถอะ”
อารมณ์ของเขายากเดินจะอธิบาย ฉินซีเดินตามเขาไป ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
ขอร้องล่ะ เธอเป็นภรรยาน้อยของลู่เซิ่น ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะแต่งงานกันตามข้อตกลง แต่มันไม่สมเหตุสมผลเลย ที่ผู้หญิงที่ลู่เซิ่นชอบ ต้องมาถามความคิดเห็นของเธอเองด้วยใช่ไหม?ลู่เซิ่นไม่ว่าเขาจะชอบใครก็ตาม ทำไมเขาถึงต้องการให้คนอื่นไปช่วยตัดสินด้วย?
คำตอบที่เพิ่งจะตอบไป มีอะไรผิดอย่างงั้นเหรอ?
ฉินซีไม่รู้ว่าความอึดอัด ที่คลุมเครืออยู่ในใจของเธอ มาจากไหน แค่รู้สึกหงุดหงิดกับบุคลิกที่ไม่แน่นอนของลู่เซิ่น ดังนั้นจึงก้มหัวลง และบุ้ยริมฝีปาก ตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่ออารมณ์แปรปรวนของลู่เซิ่น
เมื่อทั้งสองคนออกไป บรรยากาศก็เหมือนจะสนิทสนมกลมเกลียว แต่เมื่อกลับมาแทบจะไม่มองหน้ากัน และเหมือนไม่รู้จักกัน
หลินหยังถอนหายใจให้กับทั้งสองคนในก้นบึ้งของหัวใจ แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันยากที่จะมีส่วนร่วมในเรื่องความรู้สึกระหว่างทั้งสองคน จึงทำได้เพียงแค่หันกลับไปและกำชับว่า“กลับบ้าน”
……
บ้านตระกูลฉิน
หลังจากที่หลี่เหวยและฉินหว่านพูดคุยกันเสร็จแล้ว ก็ลงไปชั้นล่างเพื่อไปที่ห้องครัว เพื่อสั่งทำเมนูของวันนี้ ฉินหว่านที่อยู่ในห้องคิดแล้วคิดอีก ก่อนจะตัดสินใจเดินออกมา เคาะประตูห้องหนังสือของฉินซึ่งเทียน
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียงของฉินซึ่งเทียน “เข้ามา”
ฉินหว่านผลักประตูเข้ามา ฉินซึ่งเทียนที่กำลังขมวดคิ้ว และมองไปที่คอมพิวเตอร์ที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเงยหน้าขึ้น และเห็นว่าฉินหว่านเข้ามา ก็ปิดหน้าจอแสดงผลทันที“หว่านหว่าน มีอะไรเหรอ?”
ฉินหว่านเห็นการกระทำของจิตใต้สำนึกทั้งหมด ในดวงตาของเขา และมีรอยยิ้มที่น่ารักปรากฏบนใบหน้า“หนูมาดูพ่อน่ะค่ะ”
ฉินซึ่งเทียนมองไปที่เธออย่างไม่เข้าใจ
ฉินหว่านเดินเข้าไปใกล้ๆ คิดสักพัก แล้วไปพิงที่ไหล่ของฉินซึ่งเทียน“พ่อคะ เมื่อตอนบ่ายหนูไม่ดีเอง หนูแค่อารมณ์เสีย เพราะกังวลมากไปหน่อย พ่ออย่าโกรธหนูเลยนะคะ มันไม่ดีต่อสุขภาพของพ่อ”
ฉินซึ่งเทียนถึงได้คลายคิ้วลง และตบที่หลังของเธอ“พ่อรู้ว่าหนูเป็นห่วงแม่ พ่อก็ไม่สบายใจ พ่อรู้ว่าหนูไม่ได้ตั้งใจที่จะอารมณ์เสีย หนูเป็นเด็กดี”
ฉินหว่านเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา“พ่อคะ พ่อก็เหนื่อยแล้วค่ะ”
ฉินซึ่งเทียนถอนหายใจยาวๆ ออกมา“โชคดีที่ยังมีหนูอยู่ ถ้าไม่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้ พ่อต้องถูกฉินซีทำให้โกรธจนตายไปแน่ๆ”
ฉินหว่านเอียงหัว ด้วยสีหน้าไร้เดียงสา“พี่สาวทำไมเหรอคะ?”
ฉินซึ่งเทียนมองไปที่เธอ เขาลืมการแสดงออกที่วิตกกังวล และอาการหดหู่ในตอนแรกไปหมดสิ้น ในตอนนี้ท่าทีว่านอนสอนง่ายของฉินหว่าน ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิง กับการปรากฏตัวของฉินซี และรู้สึกทอดถอนใจขึ้นมาในทันที เปิดปากอยากจะพูดถึงเหตุและผล แต่ในที่สุดก็ส่ายหัว แล้วพูดว่า“ไม่มีอะไร ถ้าพี่สาวรู้ใจได้เท่าครึ่งหนึ่งของหนู พ่อก็พอใจแล้ว”
“พี่สาวก็เก่งไม่ใช่เหรอคะ?”ฉินหว่านพูด“เธอได้เข้าไปเป็นคณะกรรมการแล้ว”
ฉินซึ่งเทียนหัวเราะอย่างเย้ยหยัน“กลัวก็แค่เธอเข้ามา และไม่คิดที่จะช่วยพ่อ แต่คิดที่จะทำยังไงเพื่อทำลายพ่อ”
ฉินหว่านส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่า“พ่อก็เป็นพ่อของเธอเหมือนกัน เขาจะลงมือทำแบบนั้นได้ยังไงคะ”
ฉินซึ่งเทียนกลับไม่พูดอะไรอีก เขาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วตบที่ไหล่ของฉินหว่าน“รีบๆ ลงไปดูว่าห้องครัวเตรียมของเสร็จเป็นยังไงบ้างแล้ว เตรียมตัวทานข้าวกันเถอะ”
นี่ถือว่าเป็นคำสั่งที่สละสลวยในการไล่แขกออกไป ฉินหว่านทำไมถึงจะฟังไม่ออก แต่เธอก็ยืนขึ้นอย่างเชื่อฟัง แล้วเดินออกไป
ก่อนจะปิดประตู เธอเหลือบมองเข้าไปด้านใน
ฉินซึ่งเทียนเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง แล้วขมวดคิ้วดูต่อ
ไม่รู้ว่ากำลังดูอะไรอยู่
ฉินหว่านอยากรู้อยากเห็นราวกับกรงเล็บแมว แต่ก็ปิดประตูลงอย่างเบามือ