บทที่ 47: ในที่สุดก็ใจอ่อนจนได้
มู่วี่สิงขมวดคิ้วเข้ม มองดูรังเบียร์กล่องใหญ่ที่ข้างๆ ที่พวกเธอสั่งมา
“กินเบียร์ไม่ได้” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แล้วแย่งเบียร์จากมือเวินจิ้ง
เวินจิ้งขมวดคิ้วขึ้นมาทันที จ้องไปที่เขาด้วยสายตาไม่พอใจชัดๆ แต่คงเพราะว่ากินเบียร์ไป สีหน้าแดงก่ำแต่เต็มไปด้วยความกรุ้มกริ่ม
มู่วี่สิงชะงักไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ใจอ่อนจนได้
“ฉันดื่มไปนิดเดียวเอง คุณไม่รู้หรอวันนี้ฉันแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว อีนางฉินเฟย กลับมาก็มาหาเรื่องเลย” เวินจิ้งพูดด้วยน้ำเสียงโมโห
แต่วันนี้ได้ตบหน้าเธอไปที ถือว่าสะใจเหลือเกิน
แต่นางนี่น่ารำคาญจริงๆ…
“จิ้งจิ้ง พวกเราจะทำให้ฉินเฟยได้ใจต่อไปไม่ได้แล้วหละ อาทิตย์หน้าเป็นงานแต่งของหล่อน พวกเราไปสร้างเรื่องกันดีกว่า!”
“สร้างเรื่องหรอ…ดีเลย จะให้หล่อนแต่งงานกับฉืออี้เหิงไม่ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้ามู่วี่สิงเข้มขรึม หันหน้าเวินจิ้งมาด้วยความขุ่นเคือง “หล่อนไม่แต่งกับฉืออี้เหิง คุณจะแต่ง?”
เวินจิ้งชะงัก รู้สึกสร่างขึ้นมา มองสีหน้าเคร่งเครียดของมู่วี่สิง หัวเราะด้วยท่าทางกวนๆ “หึๆ ฉันแต่งงานกับคุณแล้ว จะแต่งงานกับเขาได้ไงหละ”
“อื้ม อยากสร้างเรื่องยังไงในงานแต่งบอกผมสิ ผมจัดการเอง” มู่วี่สิง สูบลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเริ่มดื่มเบียร์กับพวกเธอ
ผู้ชายที่ดื่มไวน์พรีเมี่ยมมาตลอด รู้สึกว่ารสชาติของเบียร์….ก็ดีเหมือนกัน
แต่อาจจะเป็นเพราะที่เขากินนั้นเป็นแก้วที่เวินจิ้งเพิ่งกินเมื่อกี้
เวินจิ้งกระพริบตามองดูมู่วี่สิง หรือว่าเขาจะช่วยเธอ?
แต่เธอยังคิดแผนไม่ได้เลยนะ
แต่ถ้าไปสร้างเรื่องแบบประเจิดประจ้า ก็น่าจะอายเหมือนกันนะ
“อื้ม ฉันอยากให้ฉืออี้เหิงรู้ว่าฉินเฟยเป็นคนยังไงกันแน่ หล่อนเป็นนางสวะ!” เวินจิ้งพูดด้วยความโมโห
มู่วี่สิง โอบไหล่เธอไว้ ริมฝีปากบางเสยขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความหมายบางอย่าง
ตอนออกจากร้านชาบูเป็นช่วงเที่ยงคืนแล้ว เวินจิ้งดื่มค่อนข้างเยอะ เธอถูกมู่วี่สิงอุ้มเข้ารถ
พิงอยู่ในอกมู่วี่สิง เธอพรึมพรำ “ฉืออี้เหิง แกออกไปซะ!”
สายตาเขามองลงต่ำ ฝ่ามือแนบอยู่บนริมฝีปากหวานหยดของเวินจิ้ง แล้วพูดด้วยเสียงทุ้ม “ไม่ต้องคิดถึงเขาอีกแล้ว”
เวินจิ้งไม่ได้ยิน ร่างกายเข้าหาแหล่งอบอุ่นตามจิตใต้สำนึก ดังนั้นเธอทิ้งตัวลงบนตัวมู่วี่สิง
ท่าทางเย็นชาของเขาดูผ่อนลงไปไม่น้อย สายตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู แล้วจูบเข้าที่ปากเล็กๆ ของเธอ
เมื่อกลับไปที่คฤหาสน์แล้ว แม่บ้านเปิดประตูออก เห็นมู่วี่สิงที่เดินเข้าไปมีผื่นแดงเต็มไปหมด ทำให้เธอตกใจเป็นอย่างมาก
“คุณผู้ชายเป็นอะไรคะ?”
“ภูมิแพ้ขึ้นหนะ ให้หมอประจำบ้านมาหน่อยครับ” มู่วี่สิงพูดจบก็อุ้มเวินจิ้งที่หลับไปแล้วกลับไปที่ห้อง
อีกวันหนึ่ง เมื่อเวินจิ้งตื่นขึ้นมารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย แต่ที่ข้างๆ เธอกลับว่างเปล่า
มู่วี่สิงหละ?
เมื่อคืนเขาไม่นอนที่นี่หรอ?
เวินจิ้งขมวดคิ้ว แล้วลงไปที่ห้องรับแขก แต่ก็ไม่เห็นเงาของมู่วี่สิง
คนใช้ยกอาหารเช้าออกมา เวินจิ้งถึงถามแล้วเพิ่งรู้ว่ามู่วี่สิงเข้าโรงพยาบาล!
“เขาเป็นอะไรหรอ?”
“คุณผู้ชายอาหารเป็นพิษ เมื่อคืนอ้วกด้วยค่ะ…”
เวินจิ้ง เป็นห่วง อาหารเช้าก็ไม่กิน รีบไปที่โรงพยาบาลทันที
อาหารเป็นพิษ? เมื่อคืนมู่วี่สิงกินอะไรไปนะ…
นึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นเขานั่งอยู่ในร้านชาบู สีหน้าตอนเห็นพริกแลดูต่อต้านเป็นอย่างยิ่ง…
หรือว่าเขากินเผ็ดไม่ได้หรอ?
เวินจิ้งเคาะกระโหลกตัวเองแล้วรู้สึกผิดอย่างมากมาย
โทรหาแผนกบุคคลเพื่อลางาน รีบไปที่เวินจิ้งโรงพยาบาลทันที
แต่เมื่อมาถึงห้องผู้ป่วยที่อยู่ ผลักประตูมู่วี่สิงเข้าไปแล้วกลับเห็นว่าเย่กวนกวนอยู่ข้างๆ เขา
มู่วี่สิงยังไม่ตื่น สายตาเย่กวนกวนที่มองเขาแลดูเต็มไปด้วยความหลงไหล
เมื่อได้ยินเสียง เธอหันหลังไปมองเวินจิ้งด้วยสายตาเย็นชา
“แกมาทำอะไรที่นี่?” เย่กวนกวนเดินิกมาแล้วปิดประตู
“เขาเป็นสา…แฟนฉัน” เวินจิ้งเน้นคำ
“หึ งั้นทำไมแกถึงไม่รู้ว่าแฟนตัวเองแพ้พริกหละ?”