วงแหวนปราณที่ลักษณะเหมือนหยากไย่ดูคล้ายรวงผึ้งในรัง มันปรากฏขึ้นปุบปับและโอบล้อมอารยธรรมวิญญาณโลกเอาไว้ทั้งหมด ไม่มีใครสามารถเข้ามาในอารยธรรมนี้หรือออกไปได้
วงแหวนปราณก่อตัวขึ้นรวดเร็วเกินไป กระสวยจำนวนหนึ่งที่ล่องลอยอยู่ในบริเวณเส้นเขตแดนของอารยธรรมขยับหลบไม่ทันจึงถูกทำลายไปในพริบตา อีกจำนวนหนึ่งติดอยู่ด้านนอกไม่สามารถเข้ามาได้
ผลก็คือเกิดความตื่นตระหนกแพร่กระจายไปทั่วฝ่ายปกครองของอารยธรรมวิญญาณโลก ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน แต่พวกเขารู้ดีว่าพลังเดียวที่สามารถปลุกให้ดารานิรันดร์ประดิษฐ์ปิดผนึกรอบอารยธรรมวิญญาณโลกได้ต้องมาจาก…อารยธรรมครามทองคำเท่านั้น
เป็นเหตุให้ฝ่ายปกครองยังคงรักษาท่าทีเอาไว้ได้ถึงแม้จะกังวลและหวาดกลัว ก่อนจะรีบไปขอคำอธิบายจากผู้ที่ประจำการอยู่ภายในดารานิรันดร์ประดิษฐ์ผ่านช่องทางพิเศษ ใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่เสียงหนึ่งซึ่งได้รับการขยายผ่านวงแหวนปราณของดารานิรันดร์ประดิษฐ์จะแผ่ไปทั่วอารยธรรมและสะท้อนก้องอยู่ในศีรษะของทุกคน
“ตามหาตัวคนๆ นี้ เมื่อหาพบ พยายามทุกวิถีทางเพื่อฆ่าเขาให้จงได้!”
การออกคำสั่งพร้อมปล่อยภาพของหวังเป่าเล่อทำให้อารยธรรมวิญญาณโลกเกิดโกลาหลยกใหญ่ การค้นหาอย่างจริงจังเริ่มต้นขึ้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกบีบให้ไล่ล่า ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งที่ส่งตรงจากอารยธรรมครามทองคำ
ขณะที่อารยธรรมวิญญาณโลกกำลังควานหาตัวหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังนั่งแช่อยู่ในบ่อน้ำหนึ่งบนดารานิรันดร์ประดิษฐ์ ในน้ำนั้นเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ สายหมอกลอยละล่องขึ้นมาจากบ่อน้ำวิญญาณ ก่อนจะไหลเข้ากายชายชราผ่านตา จมูก ปาก และหูของเขา
พลังปราณของผู้อาวุโสฟื้นคืนมาเต็มที่แล้ว แถมชายชรายังปลดเปลื้องคำสาปในกายออกไปจนหมดสิ้น แต่เพราะอาการบาดเจ็บรุนแรงที่ได้รับจากการต่อสู้บนดารานิรันดร์บวกกับความเกรงกลัวหวังเป่าเล่อ ชายชราจึงตัดสินใจจะฟื้นฟูอยู่บนดารานิรันดร์ประดิษฐ์ก่อน เขาจะฟื้นกำลังให้กลับมาจนบริบูรณ์แล้วค่อยออกไปไล่ล่าหวังเป่าเล่อ
แม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่ดารานิรันดร์ แต่ก็ยังอยู่ในความคุ้มครองของอารยธรรมครามทองคำ ผู้อาวุโสมั่นใจมากว่าจะสามารถสังหารหลงหนานจื่อได้หากอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ชายชราไม่กลัวว่าหลงหนานจื่อจะหนีไปได้แม้แต่น้อย เพราะทั้งดารานิรันดร์ประดิษฐ์และผนึกถูกหลอมขึ้นมาโดยปรมาจารย์ระดับดารานิรันดร์สามคนจากอารยธรรมครามทองคำ แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ทั่วไปก็ยากที่จะทำลายผนึกได้
ผู้อาวุโสฝ่ายขวายิ้มให้กับความคิดนั้น ชายชรามีวิธีการอื่นๆ ให้ใช้อีกเช่นกัน เขาไม่เคยติดต่อประมุขสำนักกลับไปเลยเพราะอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของอารยธรรมครามทองคำ แต่บัดนี้ ผู้อาวุโสสามารถติดต่อกับอารยธรรมครามทองคำได้ด้วยความเกื้อหนุนจากดารานิรันดร์ประดิษฐ์ ชายชราสามารถหยิบยืมมือผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากสำนักอื่นๆ เพื่อช่วยสังหารหลงหนานจื่อได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง
ทว่า…การทำเช่นนั้นก็เหมือนเปิดเผยความล้มเหลวของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไหนจะยังเป็นความเสื่อมเสียชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของผู้อาวุโสเองด้วย เป็นเหตุให้ผู้อาวุโสละทิ้งความคิดนั้นทันทีที่ปรากฏขึ้นมาในศีรษะ
เรามีเวลาเพียงพอ คงไม่ใช้เวลานานนัก ภายในสองสัปดาห์นี้ หลงหนานจื่อจะต้องพบจุดจบแน่!
ขณะที่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาพักฟื้นอยู่นั้น ด้านนอกดารานิรันดร์ประดิษฐ์และอารยธรรมวิญญาณโลก บนดาวเคราะห์ที่ใกล้ดารานิรันดร์ที่สุด ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในนคร มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ เขากำลังเงยหน้ามองดวงตะวันบนท้องฟ้า มีรอยยิ้มเยาะปรากฏอยู่บนใบหน้า
ชายหนุ่มผู้นั้นคือหวังเป่าเล่อ ตอนนี้เขาดูแตกต่างจากผู้ฝึกตนที่เป็นมนุษย์อย่างมาก แทนที่จะมีสองตา ชายหนุ่มกลับมีสามตา หูก็ใหญ่โต และแขนก็หนาใหญ่กว่าต้นขา หวังเป่าเล่อดูแข็งแรงเป็นอย่างยิ่ง
โฉมหน้าของชายหนุ่มตอนนี้คงจะดูประหลาดยิ่งหากอยู่ในสหพันธรัฐหรือในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่กลับธรรมดายิ่งในอารยธรรมวิญญาณโลกแห่งนี้ เพราะทุกคนต่างก็หน้าตาเช่นนี้ทั้งนั้น
ค่านิยมด้านความงามบนอารยธรรมแห่งนี้ยังแตกต่างจากสหพันธรัฐอีกด้วย ดูเหมือนว่าที่นี่จะให้ค่าความไม่เท่าเทียมกันเป็นมาตรวัดความสวยงาม สิ่งก่อสร้างก็ถูกสร้างขึ้นมาจากหินสีแตกต่างกัน หินเหล่านั้นแตกต่างกันทั้งขนาดและรูปลักษณ์ ทุกๆ สิ่งดูไม่เข้ากันอย่างประหลาด และตึกที่ไม่เข้ากันเหล่านี้ก็ประกอบขึ้นเป็นนคร
แม้จะไร้ซึ่งความเข้ากันหรือความสวยงาม นครหน้าตาประหลาดนั้นก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน คนเดินถนนเป็นสายย่ำไปบนถนนอันพลุกพล่านและเอะอะ อัตราส่วนผู้ฝึกตนต่อคนธรรมดาก็น่าตื่นตะลึงเช่นกัน จากคนสิบคน เก้าคนเป็นผู้ฝึกตน แต่ส่วนมากแล้วมีระดับปราณต่ำ หวังเป่าเล่อไม่พบผู้ที่อยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นแม้แต่คนเดียวหลังจากที่มองหามาเป็นเวลานาน
ที่นี่คืออารยธรรมวิญญาณโลกสินะ…หวังเป่าเล่อนั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมและจิบเครื่องดื่มพื้นเมืองชื่อดังไปด้วย ชายหนุ่มเงยหน้ามองดวงตะวันก่อนจะหรี่ตาลงช้าๆ
หวังเป่าเล่อมองไม่เห็นดวงตะวัน หากแต่เป็นทรงกลมสีม่วงขนาดยักษ์ทำจากโลหะ หากเขามองเข้าไปให้ลึกกว่านั้น ก็จะเห็นตัวอักขระนับไม่ถ้วนเรียงรายอยู่บนพื้นผิวของทรงกลม อักขระเหล่านั้นทับซ้อนกันอยู่ไปมาและส่องแสงเรืองรอง ปล่อยความร้อนและแสงสว่างให้กระจายไปทั่วทั้งอารยธรรม
หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นว่าตัวอักขระเหล่านั้นบางตัวก็เลือนหายไปและถูกแทนที่ด้วยตัวอักขระใหม่ ด้วยระดับปราณเดิมของเขา ชายหนุ่มคงไม่อาจบอกสาเหตุของปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ แต่ด้วยระดับปราณในตอนนี้ เขาสามารถบอกได้หลังจากที่เพ่งมองอยู่นาน
ช่างเป็นดารานิรันดร์ประดิษฐ์ที่มหัศจรรย์อะไรเช่นนี้…มันควบคุมทุกชีวิตบนอารยธรรมแห่งนี้ เมื่อตัวอักขระตัวหนึ่งจางหายไป ก็แปลว่ามีชีวิตหนึ่งในอารยธรรมนี้ที่จบสิ้นลง เมื่อตัวอักขระตัวใหม่ปรากฏ ก็แปลว่ามีชีวิตใหม่ถือกำเนิด! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก อำนาจของอารยธรรมครามทองคำทำให้ชายหนุ่มอดตื่นกลัวไม่ได้
ระหว่างการหลบหนี ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงผนึกทันทีที่มันถูกเปิดใช้ เขาต้องใช้พลังพิเศษของกายสารัตถะในการแปรสภาพเป็นร่างของประชาชนทั่วไปในอารยธรรมครามทองคำ หวังเป่าเล่อยังบอกเจ้าเยี่ยเหมิง ผู้ที่ซ่อนอยู่ภายในเรือบินรบเวทในกระเป๋าคลังเก็บของเขาอีกด้วย นางอธิบายถึงสถานการณ์ของอารยธรรมวิญญาณโลกให้เขาฟัง แต่ นางก็ไม่ได้ใส่ใจอารยธรรมนี้เท่าใดนักเมื่อครั้งอยู่ในอารยธรรมครามทองคำ ยิ่งไปกว่านั้น กลไกภายในของดารานิรันดร์ประดิษฐ์ยังเป็นความลับสุดยอด หญิงสาวไม่รู้เรื่องนี้มากนัก หวังเป่าเล่อต้องวิเคราะห์และตัดสินผลด้วยตนเอง
ตอนนี้เมื่อหวังเป่าเล่อเข้าใจสถานการณ์ ชายหนุ่มก็พอจะคาดเดาแผนของผู้อาวุโสฝ่ายขวาได้เลาๆ ส่งผลให้ตัวเขาเองไม่กังวลกับการที่อารยธรรมครามทองคำจะส่งผู้ฝึกตนฝีมือฉกาจมาไล่ล่าตนนัก เขารู้อีกด้วยว่าตัวเขาเองยังพอมีเวลาให้คิดแผนหลบหนีออกไป
นั่นเป็นเหตุว่าทำไมหวังเป่าเล่อจึงมาที่นี่ เขาตั้งใจจะมาเรียนรู้อารยธรรมนี้ให้มากขึ้นและมาดูดวงอาทิตย์ฝีมือมนุษย์ให้ชัดเจน ชายหนุ่มต้องการดูว่าดวงอาทิตย์นั้นมีจุดอ่อนหรือไม่ และนครนี้ก็อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด
ทว่าหวังเป่าเล่อก็ทำได้เพียงถอนใจอยู่ในอกหลังจากที่มองดูผู้คนอย่างถี่ถ้วน พร้อมกับตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ประดิษฐ์ดวงนี้ไปด้วย
ช่างเหลือเชื่อนัก…ดวงอาทิตย์ประดิษฐ์เหล่านี้เกินกว่าความสามารถในการหลอมของข้าไปมาก พลังธรรมชาติที่ซุกซ่อนอยู่ภายในจะต้องแข็งแกร่งมากแน่ๆ มันมีพลังพอที่จะทำให้ทุกคนในอารยธรรมวิญญาณโลกต้องตกเป็นทาสตลอดไปได้!
หวังเป่าเล่อถอนใจเบาๆ ขณะที่หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นั้น ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากนอกโรงเตี๊ยม
“มากินอะไรกันเสียหน่อยก่อนกลับสำนักเถิด” ตามมาตรฐานความงามในอารยธรรมนี้ กลุ่มห้าคนนี้เรียกได้ว่าหน้าตาดีมากๆ หลังจากที่เข้ามาในโรงเตี๊ยม พวกเขาก็เลือกนั่งโต๊ะใกล้ๆ หวังเป่าเล่อ ก่อนจะเริ่มพูดคุยกันอย่างออกรส
ทั้งห้าแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบเดียวกัน มีรูปพระจันทร์เสี้ยวสีม่วงปรากฏอยู่บนชายแขนเสื้อ จากในห้าคนนั้น สี่คนอยู่ในขั้นบำรุงชีพจรชั้นกลาง คนสุดท้ายซึ่งชายหนุ่มที่ดูค่อนข้างหยิ่งยโส อยู่ในขั้นบำรุงชีพจรชั้นสมบูรณ์
ลูกค้าคนอื่นๆ ในโรงเตี๊ยมดูจะมีปฏิกิริยากับการมาถึงของพวกเขา บ้างก็หลบตา บ้างก็เรียกเก็บเงินอย่างเร่งรีบ อาการนั้นทำให้หวังเป่าเล่อสนใจไม่น้อย ชายหนุ่มตัดสินใจแอบฟังบทสนทนาของผู้มาใหม่
“ศิษย์พี่ไถ่จง ท่านพิสูจน์ตัวเองได้อีกครั้งแล้ว แถมยังทำคุณประโยชน์ใหญ่หลวงให้สำนักโดยการทำผลงานได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับภารกิจนี้ ท่านจะต้องบรรลุขั้นปราณได้อีกแน่เมื่อกลับไปถึงสำนัก ท่านจะต้องเป็นที่หนึ่งในสำนักจันทรากล้วยไม้เป็นแน่!”
“ถูกต้องแล้ว ด้วยบรรณาการที่ท่านเตรียมมา ท่านจะต้องได้รับอำนาจการควบคุมระดับสองเมื่อกลับถึงสำนักและทำการบูชายัญให้ดวงอาทิตย์สีคราม พลังแฝงของท่านจะถูกปลดปล่อยออกมา และท่านก็จะบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นแน่นอน!”
“ฮะฮ่า แล้วจะได้เห็นกันว่าเจ้าหลัวเจ้ายังจะกล้าวางก้ามอยู่ไปมาอีกหรือไม่!”
ชายหนุ่มชื่อไถ่จงกระแอมหลังจากได้ยินสิ่งที่บรรดาศิษย์น้องพูด
“เอาละ การรับใช้สำนักเป็นหนึ่งในหน้าที่ของพวกเราในฐานะศิษย์ แต่หลัวเจ้า…ฮึ่ม เมื่อข้ากลับไปถึงสำนักเมื่อใด ข้าจะสั่งสอนมันให้รู้สำนึกที่มันกล้ามาล่วงเกินศิษย์น้องซิ่วเหยียน!” ชายหนุ่มนามไถ่จงพูดอย่างเยือกเย็น มีประกายความกระหายสะท้อนอยู่ในแววตาเมื่อเขาลอบกวาดสายตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เมื่อนั้นเองที่เขามองเห็นว่าสายตาของนางไม่ได้จับจ้องเขาอยู่แต่อย่างใด หากแต่อยู่ที่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างไม่ห่างออกไปนัก
“ศิษย์น้องซิ่วเหยียน เจ้ารู้จักคนคนนั้นหรือ” ไถ่จงเหลือบมองคนที่หญิงสาวกำลังมองอยู่ก่อนจะเอ่ยถาม มีประกายความหยามเหยียดสะท้อนอยู่ในแววตา เมื่อเขารู้ว่าคนคนนั้นอยู่ในขั้นบำรุงชีพจรเท่านั้น
“ไม่ แต่ศิษย์พี่ไถ่จง ท่านไม่รู้สึกหรือ…ว่ามีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับคนผู้นั้น ข้าอธิบายไม่ถูก แต่เหมือนว่าข้ามีความรู้สึกอันยากจะอธิบายนี้…”
ชายหนุ่มที่เตะตาพวกเขาแน่นอนว่าคือหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มชั่งใจอยู่ไม่น้อยหลังจากที่ได้ยินบทสนทนา แต่ตามที่พวกเขาพูดกัน ที่นี่ไม่มีใครจำเป็นต้องฝึกฝนเพื่อจะบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่น ไม่จำเป็นต้องหาวัตถุเวทมาสร้างเป็นแก่นในอีกด้วย อันที่จริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลืนโอสถด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่ต้องทำคือ…ทำการสังเวยต่อหน้าดวงอาทิตย์สีคราม!
ดวงอาทิตย์สีครามคือดวงอาทิตย์ที่มนุษย์สร้างขึ้น แปลว่าพวกเขาได้อำนาจควบคุมระดับสูงและระดับปราณขั้นสูงจากการสังเวยเพื่อบูชาดวงอาทิตย์สีครามอย่างนั้นหรือ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลง บทสรุปที่ชายหนุ่มได้มาในศีรษะทำให้เขาถึงกับทอดถอนใจ
ความเข้าใจที่ข้ามีเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ประดิษฐ์นี้ยังไม่สมบูรณ์ มันไม่เพียงกำหนดความเป็นความตายของผู้คนบนอารยธรรมวิญญาณโลกแห่งนี้เท่านั้น แต่ยังควบคุมระดับปราณได้ด้วย ระดับปราณของทุกคนบนอารยธรรมวิญญาณโลกไม่ใช่ของจริง แต่คือผลจากการปรับแต่งของดวงอาทิตย์ประดิษฐ์ ดวงอาทิตย์เป็นผู้กำหนดระดับปราณที่แต่ละคนมี หากดวงอาทิตย์ประดิษฐ์จางหายไป ทุกคนก็จะกลายเป็นคนธรรมดา!
นี่มันอารยธรรมทาสชัดๆ…หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก ความมุ่งมั่นส่องประกายอยู่ในแววตา ชายหนุ่มจะไม่ยอมให้สหพันธรัฐตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เป็นอันขาด!