คงสภาพได้แค่หนึ่งนาที…ไม่น้อยไปหน่อยหรือ? ความคิดไคลน์สว่างวาบ โดยไม่มัวรีรอ มันเดินสองก้าวมาที่โต๊ะอ่านหนังสือ
ชายหนุ่มวาง ‘การเดินทางของกรอซาย’ ลงและนำศูนย์ ศูนย์แปด เขียนลงบนกระดาษขาว
“จอร์จที่สามจงใจใช้สุนทรพจน์เป็นเหยื่อล่อศัตรูที่ต้องการขัดขวางพิธีกรรม แต่หากทุกสิ่งดำเนินไปอย่างราบรื่น มันจะถือโอกาสนี้ดื่มโอสถพร้อมกับเผยไพ่ตายในการเถลิงบัลลังก์เทพของตน ถึงแม้อนาคตจะไม่แน่นอนและมากด้วยตัวแปร ส่งผลให้พิธีกรรมในคราวนี้ยังไม่ปลอดภัยเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การเตรียมตัวในปัจจุบันก็สมบูรณ์แบบและเหมาะสมเพียงพอแล้ว…”
“ทุกสิ่งพัฒนาไปอย่างสมเหตุสมผล”
หลังจากเขียนประโยคสุดท้าย ไคลน์เตรียมอ่านทวนเนื้อหาเพื่อตรวจสอบข้อผิดพลาด แต่ปากกาขนนกสีเข้มในมือกลับสลายไปอย่างเงียบเชียบประหนึ่งไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
และดูเหมือนว่าเนื้อหาสั้น ๆ ที่เขียนลงไปไม่กี่ประโยค จะดูดกลืนพลังงานของไคลน์ไปจนเกือบหมด ศีรษะชายหนุ่มวิงเวียนจนซวนเซสองสามก้าวและนั่งลงบนเก้าอี้
ไม่สมเหตุสมผลเลย…ทำไมอินซ์ แซงวิลล์ถึงเขียนได้โดยไม่เหนื่อย…คงเป็นเพราะเราฝืนใช้ศูนย์ ศูนย์แปด เขียนเรื่องราวโดยที่ไม่ยอมปล่อยให้มันเขียนเอง พลังวิญญาณจึงถูกดูดกลืนจากร่างกายเราโดยตรง…แต่กับอินซ์ แซงวิลล์ หมอนั่นคงเจรจาขอความร่วมมือ ส่งผลให้ไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณของตัวเองทั้งหมด…ไคลน์หลับตาสนิท เข้าฌานสักพักจนอาการเริ่มดีขึ้น
ภายใต้สถานการณ์ปรกติ ไคลน์ที่ไม่เคยสัมผัสกับศูนย์ ศูนย์แปด มาก่อน และเคยเห็นกับตาแค่ครั้งเดียว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะอัญเชิญสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ ชิ้นนี้ออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ แต่เมื่อครู่ มันได้รับพรโชคดีจากอสรพิษแห่งชะตา แถมยังมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ซึ่งถูกทิ้งไว้โดยมังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล ด้านในหนังสือเล่มนี้มีเมืองแห่งปาฏิหาริย์ เลฟซิด ซ่อนอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างมันกับศูนย์ ศูนย์แปดย่อมไม่ธรรมดาและหากไม่ถูกก่อกวนด้วยพลังระดับสูง พวกมันคงได้กลับมาอยู่ด้วยกันไปนานแล้ว
ในตอนแรกไคลน์ไม่มั่นใจว่าความสัมพันธ์เชิงโชคชะตาผ่านสื่อกลางเช่นนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จหรือไม่ มันแค่พยายามอย่างสุดความสามารถและลองทำทุกวิธีที่นึกออก และผลลัพธ์ก็เหนือความคาดหมาย
นั่นคือเหตุผลที่ไคลน์ไม่กล้าใช้ ‘การเดินทางของกรอซาย’ เป็นกระดาษสำหรับเขียนด้วยศูนย์ ศูนย์แปด ไม่แม้แต่จะนำมาวางใกล้กัน ด้วยเกรงว่าอาจเกิดปรากฏการณ์ที่ตนไม่สามารถรับมือ
ที่นี่คือเบ็คลันด์ซึ่งมีปริมาณประชากรหนาแน่มาก!
แต่พิจารณาตามหลักเหตุและผล เราคิดว่าไม่น่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น เนื่องจากศูนย์ ศูนย์แปดเป็นเพียงภาพฉายทางประวัติศาสตร์ เป็นของปลอม และ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ก็ถูกสร้างจากจินตนาการของมังกรจินตภาพ เรียกว่าเป็นของปลอมเช่นกัน เมื่อของปลอมมาเจอกัน มันก็ไม่น่าจะเกิดผลลัพธ์ใด เพราะปราศจากต้นกำเนิดความมหัศจรรย์อย่างตะกอนพลังทั้งคู่…ไว้ค่อยทดสอบเรื่องนี้วันหลังบนเกาะแนวปะการัง…ไคลน์ลูบหน้าผาก ยืนขึ้นและเดินกลับไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ ทบทวนเนื้อหาที่ตัวเองเขียนลงไป
มันไม่ได้เขียนโดยตรงว่า จอร์จที่สามเลื่อนลำดับล้มเหลวและตายคาที่ เพราะเชื่อว่าเทวทูตลำดับหนึ่ง ไม่น่าจะได้รับอิทธิพลที่รุนแรงระดับนั้นจากฝีมือของศูนย์ ศูนย์แปดปลอมจึงทำได้เพียงสร้างอิทธิพลทางอ้อมที่สมเหตุสมผล
ยิ่งไปกว่านั้น เบื้องหลังของจอร์จที่สามยังมีสมาคมแปรจิตและพี่ชายอามุนด์ การสร้างอิทธิพลที่ชัดเจนเกินไปจะทำให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น ไคลน์ต้องเลี่ยงความชัดเจนและลงมืออย่างรัดกุมแทน
หวังว่าจะได้ผลนะ…จ้องมองสักพัก ไคลน์พับกระดาษและยัดลงในกระเป๋าเสื้อ
จากนั้น มันสังเวย ‘การเดินทางของกรอซาย’ กลับเข้าสู่มิติหมอก
จัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์เริ่มทบทวนปัญหาถัดไปของตัวเอง นั่นคือ มันควรจะออกไปซื้อไอศกรีมให้ทารกตอนไหน?
ในกรุงเบ็คลันด์มีซาราธ และน่าจะมีอามุนด์ด้วยเช่นกัน การออกไปเตร็ดเตร่บ่อยครั้งอาจทำให้เดินสวนกันโดยบังเอิญ ซึ่งนั่นอันตรายมาก…ดึงไอศกรีมออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์? สิ่งนี้จะหายไปในสิบห้านาที…นอกจากอร่อยแล้ว ยังไม่อ้วนด้วย ของกินในฝันเลย…ไคลน์พึมพำ
ท้ายที่สุด มันตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกจากบ้าน เพราะไม่ว่ายังไงก็ต้องรักษาสัญญา!
…
เช้าวันเสาร์ ท้องฟ้าเป็นสีเทาหม่น มีหมอกหนา บรรยากาศทำให้ผู้คนรู้สึกหดหู่โดยไม่มีเหตุผล
นี่คือสภาพอากาศทั่วไปในฤดูหนาวจัดของกรุงเบ็คลันด์ แม้จะไม่มีหมอกควันหนาทึบและกลิ่นเหม็นเหมือนกับปีที่แล้ว แต่ในเชิงภูมิศาสตร์ สภาพอากาศเป็นเรื่องของสถานที่ตั้ง หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเผชิญฤดูกาลแบบเดิมตลอดทุกปี นอกจากนั้น ผู้คนเพิ่งตื่นตัวกับการรักษาสภาพแวดล้อม ไม่ใช่สิ่งที่จะประกาศชัยชนะได้ในหนึ่งถึงสองปี
เมลิสซ่าซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อขนสัตว์สีดำยาวคลุมเข่า กระโปรงยาว สวมหมวกที่มีตาข่ายคลุมหน้าสีดำ เร่งฝีเท้าเดินไปทางประตู
เบ็นสันหยิบหมวกทรงสูงพลางส่ายหน้าให้กับสิ่งที่เห็น
“เด็กผู้หญิงที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ ไม่ควรแต่งตัวให้ดูแก่และเชยขนาดนี้…เข้าใจไหม? เชยมาก!”
เมลิสซ่าชำเลืองพี่ชายด้วยหางตา ตอบเสียงเย็น
“ราคาขนมปังเพิ่มขึ้นอีก ศูนย์จุดสองห้า เพนนีต่อน้ำหนักหนึ่งปอนด์”
“ให้ตายสิ…” เบ็นสันถอนหายใจ
มันหยิบนาฬิกาพกสีเงินที่มีลวดลายใบองุ่นออกมาตรวจสอบ
“ไปกันเถอะ ระยะทางจากที่นี่ไปถึงจัตุรัสเทศบาลค่อนข้างไกล”
เมลิสซ่าอืมในลำคอ เดินตามพี่ชายออกไปที่ถนน
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณนายแดเนียล” หลังจากเดินออกไปไม่กี่ก้าว เบ็นสันที่เห็นเพื่อนบ้านเตรียมออกเดินทาง หันไปกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
มันเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี ปัจจุบันสร้างความสนิทสนมกับเพื่อนบ้านละแวกในใกล้เคียงครบหมดแล้ว
สตรีที่ถูกเรียกว่าคุณนายแดเนียลมีอายุราวสี่สิบ แต่งกายด้วยเดรสสีดำล้วน ใบหน้าที่ผอมเพรียวถูกคลุมด้วยตาข่ายสีดำที่ห้อยจากหมวก เมื่อได้ยินคำทักทาย เธอหันมาพยักหน้าให้และตอบกระชับ
“อรุณสวัสดิ์ สองพี่น้อง”
เธอไม่ทักทายจิปาถะตามมารยาท เพียงจากไปอย่างเย็นชา
เบ็นสันจ้องมองแผ่นหลังสตรีคนดังกล่าวสักพัก ความเร็วในการเดินลดลง จนกระทั่งรักษาระยะห่าง จึงหันไปพูดกับน้องสาว
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณนายแดเนียล? ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก ไม่ได้แวะไปหาเพื่อนบ้านสักพักใหญ่แล้ว”
เมลิสซ่าเม้มปาก
“ลาร์รี่ บุตรชายคนโตของคุณนายแดเนียล ได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิตในสมรภูมิเทือกเขาอมานด้า…ข่าวมาถึงเมื่อวาน”
“เด็กหนุ่มที่ตัวสูง ขี้อาย จิตใจดีและจริงใจคนนั้นน่ะหรือ? ครั้งก่อนที่กลับมาเยี่ยม เขาเพิ่งเล่าว่าถูกเลื่อนยศเป็นร้อยโท…” เบ็นสันเล่าด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เมลิสซ่าพยักหน้า
“ไม่คิดเลยว่าลาร์รี่คนนั้นจะด่วนจากไปไว…”
ชวนให้เธอนึกถึงเพื่อนร่วมชั้นที่ถูกระเบิดตายไปต่อหน้าต่อตาในวันเกิดเหตุ
สิ่งที่เกิดขึ้นแค่ไม่กี่วินาที กลับทำให้ใครบางคนพูดไม่ได้ หรืออ่านหนังสือไม่ได้ไปตลอดชีวิต
เบ็นสันเงียบงันสักพัก ถอนหายใจยาว
“ช่วงนี้ฉันกำลังยุ่งมาก งานส่วนใหญ่เป็นการจัดสรรเงินชดเชยให้เหยื่อ…รายชื่อส่วนหนึ่งที่อยู่ในมือฉันไม่มีลาร์รี่ ก็เลยไม่ทราบเรื่องนี้…ข้อมูลที่ถูกส่งมาค่อนข้างลงลึกในรายละเอียด…ผู้สูญเสียบางคนร่าเริง กระตือรือร้น บางคนมีอารมณ์ขัน บางคนเป็นลูกคนเดียวของบ้าน บางคนขยันหมั่นเพียรและเป็นผู้นำของกลุ่มทหารรอบตัว บางคนเพิ่งแต่งงานแต่ยังไม่มีลูก บางคนลูกยังเล็ก บางคนกำลังเตรียมของขวัญให้ลูกสาวและบางคนพกจดหมายรักไว้กับตัว คิดจะรอให้สงครามจบลงก่อนค่อยนำไปส่งไปรษณีย์…แต่ทุกคนตายหมด”
เมลิสซ่าและเบ็นสันเงียบไปนาน ไม่มีใครกล่าวคำใดออกมา
เมื่อใกล้ถึงทางแยก เมลิสซ่ามองไปที่ถนนข้างหน้าและกล่าวเสียงเรียบ
“นายคิดว่าวันนี้ฝ่าบาทจะกล่าวสุนทรพจน์แบบไหน?”
“อาจมาเกณฑ์คนไปรบเพิ่ม หรือไม่ก็ปลุกใจและชวนให้เชื่อว่าพวกเรากำลังคว้าชัยชนะ” เบ็นสันตอบโดยไม่มองหน้า
เมลิสซ่าเหลือบไปมองพี่ชาย
“ตอบแบบนี้ไม่สมเป็นนายเลย เบ็นสัน…ไม่ใช่ว่าต้องจิกกัดหรือล้อเลียนพวกเขาหรือ?”
“การล้อเลียนจะเกิดขึ้นหลังจากฟังสุนทรพจน์จบ เมื่อเข้าใจเนื้อหาและแก่นสารอย่างถ่องแท้ การล้อเล่นจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด…หลักพื้นฐานในการดำรงชีวิตก็คือ ไม่ควรแสดงความเห็นในสิ่งที่ไม่เข้าใจหรือยังไม่รู้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับลิงบาบูนขนหยิก” เบ็นสันยิ้ม
ขณะเดียวกัน มันเห็นเพื่อนบ้านอีกหนึ่งคน
อีกฝ่ายมีผมหงอกขาว ใบหน้ากว่าครึ่งถูกปกปิดด้วยผ้าพันคอ สวมเสื้อนอกตัวหนา ถือถุงผ้าในมือ เดินผ่านสองพี่น้องไปอย่างรวดเร็ว
“มิสเตอร์โทมัสแต่งตัวแปลกมาก…เขากำลังจะไปไหน?” เบ็นสันถามขณะหันไปมองแผ่นหลังอีกฝ่าย
เมลิสซ่าตอนเสียงแผ่ว
“คุณนายโทมัสป่วย ทำให้เงินเก็บของครอบครัวเหลือน้อย ประกอบกับการที่ราคาอาหารพุ่งสูงขึ้นโดยที่รายรับของมิสเตอร์โทมัสยังเท่าเดิม เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากไปต่อแถวรับบริจาคอาหารทุกสองสามวัน…เขาทำตัวเป็นสุภาพบุรุษมาตลอด คงไม่อยากให้ใครจำหน้าได้…นอกจากนั้น อาหารที่จุดบริการยังมีจำกัด ถ้าไปสายก็ไม่ได้กิน ต้องไปที่วิหาร โรงทำงาน หรือที่อื่นเพื่อขอเพิ่ม…ได้ยินว่าจะมีการแจกอาหารหลังจบสุนทรพจน์ของฝ่าบาทในวันนี้ บางทีเขาคงรีบไปที่นั่นให้ทัน”
เบ็นสันพยักหน้าเชื่องช้า
“คุณนายโทมัสป่วยเป็นอะไร? ฉันพอจะรู้จักหมอเก่ง ๆ อยู่บ้าง”
“โรควิตกกังวล” เมลิสซ่าเล่าในสิ่งที่ได้ยินมา “คุณนายโทมัสเป็นห่วงลูกชายคนสุดท้องที่เพิ่งถูกส่งไปแนวรบ”
“โทมัสจูเนียร์?” เบ็นสันขมวดคิ้ว
หลังจากฟังคำตอบจากน้องสาว มันเงียบไปพักใหญ่ราวกับกำลังใช้ความคิด
ผ่านไปสักพัก เมื่อเข้าใกล้จัตุรัสเทศบาล เบ็นสันมองตรงไปและหรี่เสียงพูด
“โทมัสจูเนียร์ตายแล้ว…”
“…” เมลิสซ่าไม่ตอบสนอง สีหน้าค่อนไปทางแข็งทื่อ
พวกมันเดินตรงไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางความเงียบ
ยิ่งตรงเข้าไปก็ยิ่งพบเจอผู้คนมากขึ้น บ้างแต่งกายด้วยชุดสุภาพ ถือไม้เท้าเหมือนกับสุภาพบุรุษ บ้างแต่งกายด้วยกระโปรงสีน้ำเงิน สีเขียว สีเหลือง หรือสีแดง บ้างแต่งกายด้วยเสื้อกันหนาว เสื้อคลุม และกางเกงขายาว บ้างแต่งกายในชุดสีดำโทนหม่น
พวกมันทยอยออกจากบ้านผ่านถนนที่อาศัย ดูคล้ายกับหยดน้ำที่ค่อย ๆ มารวมกลุ่มกันจนเป็นลำธารบริเวณทางแยก
กระแสน้ำยังคงไหลต่อไป ลำธารหลายสายได้ไหลเข้ามาบรรจบกันที่ทางเข้าจัตุรัสจนกลายเป็นแม่น้ำ
ยิ่งเวลาผ่านไป สายน้ำก็ยิ่งหลั่งไหลเข้ามาในจัตุรัสอย่างท่วมท้น
ท่ามกลางกระแสสายธารของผู้คน เมลิสซ่ารู้สึกลีบเล็กราวกับเป็นเพียงน้ำหนึ่งหยด
…………………………