24สีน้ำเงินและแดง
—-
ณ ห้องในอัญมณี ที่ราวกับฝันแห่งความเป็นจริง
ผมอยู่กับรุ่นที่หนึ่ง และรุ่นที่สามที่มาร่วมฟังเพียงอย่างเดียว
“จะคุยกับข้าเรื่องอาเรียใช่มั้ยครับ? ”
[ใช่ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าคิดยังไงกับความกระวนกระวายของอาเรียจังน่ะ? ]
ผมเข้าใจ ด้วยการมีนักผจญภัยชั้นยอดเป็นเป้าหมาย ทำให้เธอรีบร้อนแบบนั้น
เธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยานที่ต่างจากผมที่ต้องเพียงการเติบโตเร็วๆ
แต่ แล้วหลังจากนั้นล่ะ? ผมก็ยังคิดไม่ตกอยู่
“…เธอมองแคบเกินไป แล้วก็ควรจะใจเย็นกว่านี้ครับ”
เอาตามตรง ผมไม่คิดว่าเธอจะเป็นกำลังต่อสู้ที่ดีขนาดนั้น
การที่เธอมาเติมเต็มปาร์ตี้ ก็ช่วยให้ผมรู้สึกโล่งใจที่มีคนให้พึ่งพามากขึ้น
และนิสัยของเธอ ก็ไม่ได้ทำให้ผมหรือโนแวมเดือดร้อนด้วย
[ข้าฝากเจ้าแก้ปัญหาเรื่องนั้นได้รึเปล่า? ]
“…เอ๋? ก็ได้นะครับ? “
ผมกอดอก
เธอก็คือเพื่องพ้องคนนึง ใช่ว่าผมจะขัดข้องอะไรนี่นะ
และถ้ามันไม่ยากจนเกินไป ตัวผมเองก็อยากแก้เรื่องนี้อยู่แล้วด้วย แต่รุ่นที่สามกลับมองมาทางผมพร้อมกับส่ายหัว
ส่วนรุ่นที่หนึ่งก็ดีใจที่ผมยอม
[ตอบได้ดี! ถ้าคนที่คล้ายคุณอลิซยังกังวลอยู่แบบนี้ ข้าก็สงบใจไม่ลงสักที]
แต่ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงต้องรีบร้อนขนาดนั้น
ในช่วงที่เรายังมีคุณเซลฟี่เป็นที่ปรึกษาอยู่ ก็ควรจะเรียนรู้และพัฒนาไปตามคำชี้นำของเธอสิ
ถ้าอาเรียรีบร้อนเกินไปจนบาดเจ็บขึ้นมาก็เปล่าประโยชน์กันพอดี
ช่วงเวลาที่มีคนคอยสอนเราแบบนี้มันมีเหลือไม่เยอะหรอกนะ
‘หรือเราควรจะขยายเวลาจ้างเธอต่อดีนะ’
[ดี ทีนี้เรื่องก็เร็วขึ้นเยอะ ไรเอล เจ้าไปสู้กับหนูอาเรียและให้เธอใช้อัญมณีซะ แน่นอน…ว่าเจ้าห้ามใช้สกิลนะ]
“…หะ? ”
คำขอของรุ่นที่หนึ่งจบลง ด้วยที่ผมต้องไปสู้กับอาเรียเฉย
.
.
.
หลังจากที่ไรเอลออกไปแล้ว
[คุณแน่ใจนะ? ]
รุ่นที่สามพูดขึ้น ขณะมองรุ่นที่หนึ่งที่นั่งอยู่บนโต๊ะ
ถึงจะเข้าใจจุดประสงค์ที่ให้ไรเอลไปท้าสู้กับอาเรีย แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะสำเร็จไปได้ด้วยดี
[…เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น]
รุ่นที่สามพยักหน้า
[ใช่เลย]
[เฮ้ย ลังเลสักหน่อยสิฟ่ะ! ข้าเป็นปู่ของเอ็งนะโว้ย!? ]
รุ่นที่สามเมินคำว่าของรุ่นที่หนึ่งไป และยิ้มออกมา
ถึงนิสัยจะต่างกันมาก แต่รุ่นที่สามก็คือหลานของเขา เทียบกับบรรพบุรุษคนอื่นๆ แล้ว เขาคุยด้วยได้ง่ายกว่า
[ข้ามันคิดได้แต่วิธีแบบนี้นั่นแหละ ถ้าเจ้าคิดวิธีที่เจ๋งๆ กว่านี้ได้ก็ตามสะดวกเถอะ]
รุ่นที่สามหยุดยิ้ม และสาธยายวิธีการอื่นที่เขาคิดได้
[ข้าคิดว่า หนูอาเรีย…ควรสร้างความมั่นใจให้ตัวเองอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า
เธอสามารถใช้อัญมณีที่ตัวเองมีอยู่ล่ามอนสเตอร์ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวคนรอบข้างและไรเอลก็จะยอมรับเธอเอง
ถึงตัวไรเอลเองจะเก่งเกินมาตรฐานจนสังเกตไม่ออก และไม่ได้เอาใจเธอมากนัก แต่เรื่องแบบนี้ข้าคิดว่าฝากให้หนูโนแวมเป็นคนจัดการก็ยังได้เลย]
ใช่ว่าทุกคนจะเปลี่ยนแปลงกันได้ในทันที
รุ่นที่สามมองในระยะยาว และเลือกที่จะค่อยๆ ปรับความสัมพันธ์ของทั้งสามคนในปาร์ตี้ให้ดีขึ้น
ก่อนหน้านี้บรรพบุรุษคนอื่นๆ ก็มีความเห็นคล้ายกัน
รุ่นที่สองที่ไม่พอใจกับวิธีของเขา แสดงความเห็นที่ชัดเจนออกมา
[ตามนั้น การที่พวกเขาค่อยๆ เพิ่มความสัมพันธ์เป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่าเยอะ]
ซึ่งรุ่นที่สามก็เข้าใจว่าวิธีการที่ให้พวกเขามาต่อสู้กันนั้น จะเป็นการเติมเต็มส่วนที่ขาดให้กับทั้งคู่
ต่อทั้งอาเรียที่ยังขาดความสามารถ….
และสำหรับไรเอลที่ขาดแรงจูงใจในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง…
รุ่นที่หนึ่งคงต้องการให้พวกเขาเข้าใจถึงเรื่องที่ตัวเองผิดพลาดไป
ซึ่งแน่นอนว่าบรรพบุรุษทุกคนก็เฝ้ารอถึงสิ่งที่ไรเอลอยากจะทำเหมือนรุ่นที่หนึ่งเช่นกัน
กลับมาที่ปัจจุบัน รุ่นที่สามที่เอาแต่เฝ้ามองบทสนาทนามาตลอด เห็นรุ่นที่หนึ่งดูไม่พอใจจึงถามขึ้น
[คุณเกลียดวิธีนี้รึเปล่าครับ? ]
[อะไรกันนักกันหนาฟะ แต่พอข้ามาคิดดูดีๆ แล้ว บางทีวิธีการของพวกเจ้าอาจจะสำเร็จง่ายกว่านั่นแหละ]
รุ่นที่หนึ่งเป็นคนตรงไปตรงมา
และถึงจะมีด้านที่อ่อนไหวอยู่บ้าง แต่ก็ต้องอย่าลืมว่าเขาคือคนที่เคยนำกองกำลัง
บุกป่าฝ่าดงมอนสเตอร์ไปตั้งถิ่นฐานในดินแดนใหม่ตั้งแต่นับหนึ่งด้วยตัวเองภายในรวดเดียว
เป็นคนปกติถ้าเจอกับเรื่องยากลำบากแบบนั้นคงจะยอมแพ้ตั้งแต่แรก หรือไม่ก็กลับไปเตรียมความพร้อมใหม่ไปแล้ว
[แต่วิธีการของพวกเจ้ามันสวยหรูเกินไป เพราะสุดท้าย…พวกเขาทั้งสองก็จะเอาแต่พึ่งพาคนอื่น ]
[การพึ่งพาคนอื่นในเรื่องที่ตัวเองไม่ถนัดมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อย อีกอย่าง แรงจูงใจที่ไรเอลขาดก็แค่นิดเดียวเอง]
รุ่นที่หนึ่งจ้องมองรุ่นที่สามผู้ที่มักจะทำตัวชิวๆ เสมอ
[พอเจ้าเป็นคนพูดแล้ว มันไม่มีน้ำหนักเอาซะเลยนะ]
[ข้าก็ว่างั้นล่ะ~]
พวกเขายิ้มให้กัน แต่รุ่นที่หนึ่งก็กลับมาจริงจังอีกครั้ง
ถ้าเขาเป็นคนโง่เหมือนที่คนอื่นมองกันจริง กองกำลังบุกเบิกที่เขาเคยนำคงไม่รอดคมเขี้ยวมอนสเตอร์ไปก่อตั้งดินแดนใหม่ได้หรอก
ด้วยสัญชาตญาณ และเซ้นส์อันสุดยอดของเขา ทำให้เขาเป็นหนึ่งในคนที่รุ่นที่สามรับมือได้อย่างยากลำบาก
และบางครั้ง การติดสินใจด้วยความรู้สึกก็จำเป็น
[ถึงพวกเขาสู้กันแล้วจะไม่มีอะไรเปลี่ยน ข้าก็จะพอใจกับผลลัพธ์นั้น ถ้าเธอเป็นทายาทของคุณอลิซจริง เธอก็คงไม่เสียใจมากนัก]
[…และตามที่พวกเจ้ายืนกราน ไรเอลก็ไม่น่าจะไม่แพ้เธอหรอก ]
ระยะห่างของความสามารถของทั้งคู่มันมากเกินไป
ถึงอาเรียจะเป็นบุตรีขุนนาง ใช้เวทมนต์ได้ และด้วยท่วงท่าการจับหอกของเธอที่บ่งบอกว่าถูกฝึกมาให้เป็นนักรบก็ตาม
แต่พอเทียบกับไรเอล มันน้อยเกินไป
แม้กับไรเอลที่ยังไม่ได้เติบโตเลยสักครั้ง มันก็ยังน้อยเกินไป
ถึงทั้งคู่จะยังขาดความรู้ที่จำเป็นในการเป็นนักผจญภัยเหมือนกัน แต่กับอาเรียแล้ว เธอยังไม่เข้าใจตัวเอง
ที่เธอทำได้ก็แค่ดิ้นรนไปอย่างมุทะลุและเปล่าประโยชน์เท่านั้น
[ไว้พวกเขาทั้งสองฟาดหมัดกันเสร็จ ก็ฝากให้หนูโนแวมเป็นคนใช้เวทรักษาให้ มันเป็นวิธีที่เหมาะกับคนอย่างข้าดีนะ ว่ามั้ย? ]
[การแลกหมัดกระชับมิตรเรอะ? ไม่สิ น่าจะเป็นหมัดแห่งความรักมากกว่านะ? แต่ตอนนี้ไรเอลยังไม่ยอมหรอก]
รุ่นที่สามรู้สึกว่าเรื่องมันน่าสนุกดี
สำหรับเขาแล้ว ภาพของไรเอลเหวอตอนที่โนแวมอนุญาตให้มีฮาเร็มได้มันน่าสนใจมาก
[เรื่องนั้นก็ด้วยที่ข้าอยากให้มันรู้ดำรู้แดงกันไป เจ้าไรเอลมันไม่มองหนูอาเรียเลย ข้าอยากให้มันเอาใจใส่เธอบ้าง
ทั้งๆ ที่มันรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดจากการถูกเมินดีอยู่แล้วแท้ๆ แต่ไอ้เด็กเวรนั่นก็ยัง…]
รุ่นที่หนึ่งถอนหายใจ
รุ่นที่สามรู้สึกว่าเขาคงเห็นภาพตัวเองซ้อนทับกับไรเอล
[…คุณแน่ใจนะว่าไม่ได้พูดถึงตัวเองน่ะ? ]
รุ่นที่หนึ่งหันควับ แต่เขาก็ส่ายหัวและถอนหายใจอีกครั้ง
[ก็คงใช่ล่ะ]
บรรพบุรษทั้งสองคนที่เหลืออยู่จงอยู่ในความคิดของตัวเองไปสักพัก…
.
.
.
รุ่งเช้า
หลังมื้ออาหาร ผมขอให้ไรเอลไปตามคุณเซลฟี่มาที่บ้าน
และบอกกับอาเรียว่ามีเรื่องจะคุยด้วย
‘ตามที่รุ่นที่หนึ่งขอมา เราต้องสู้กัน’
ถึงผมจะไม่รู้จุดประสงค์ของเขา แต่ก็คิดว่ามันเป็นไอเดียที่ไม่เลว
เพราะมันจะทำให้อาเรียรู้ถึงความสามารถของตัวเอง อะไรทำนองนั้นล่ะ
พวกเราเดินไปที่สวน และผมก็หันหน้าไปทางเธอ
“เธอเอาอัญมณีประจำตระกูลมารึเปล่า? ”
เธอพยักหน้าและชูสร้อยคอที่ฝังอัญมณีไว้ออกมาจากคอเสื้อ
“แน่นอน เพื่อไม่ให้มันหายไปอีกฉันเลยสวมมันไว้ตลอด แล้ว? วันนี้พวกเราจะออกไปล่ามอนสเตอร์กันนี่? ทำไมนายถึงเรียกเซลฟี่มาที่นี่ล่ะ? “
ตามคาด เพราะความกระวนกระวาย เธอจึงต้องการไปเตรียมตัวและออกล่ามอนสเตอร์แล้ว
ที่จริง ผมอยากให้พวกเราได้ใช้เวลาพักสักนิด เพื่อสงบใจและออกล่าอย่างเป็นระบบมากกว่า
พวกเราที่ไม่ได้ขาดเงินอะไร การได้แผลจากความประมาทมันไม่ใช่เรื่องเลย
“…ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว และสวนก็กว้างพอ ทำไมเราไม่มาสู้กันสักหน่อยล่ะ? “
เธองง
“ทำไมล่ะ? ถ้านายไม่ชอบฉันก็พูดออกมาสิ! “
ถึงจะไม่แน่ใจ แต่เธอน่าจะคิดว่าผมเกลียดเธอล่ะ
ไม่เห็นจะจำได้เลยว่าปฎิบัติไม่ดีกับเธอไว้น่ะ ไหงพูดแบบนั้นมาได้
“ไม่ใช่เรื่องนั้น ก็ในเมื่อเธอมีอัญมณีและน่าจะรู้วิธีใช้มันดีใช่มั้ย? ทำไมเธอไม่ลองทดสอบมันหน่อยล่ะ? “
พอผมพูดเรื่องอัญมณีเธอก็แข็งทื่อไป
เธอคงนึกถึงหัวหน้ากองโจรที่ใช้สกิลมากจนเกินควร จนกล้ามเนื้อฉีกขาดและเลือดไหลออกจากทวารทั้ง 7
ภาพใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยเลือดมันไม่ดีต่อสายตาเอาซะเลย
การใช้สกิลเกิดขนาด…
ผลสะท้อนของมันยากจะหยั่งถึง เพราะการใช้สกิลที่ไม่ใช่ของตัวเองมันสร้างภาระต่อร่างกายค่อนข้างมาก
หลังจากที่ได้ลองใช้สกิลของบรรพบุรุษ ผมก็เข้าใจทันที
เพราะแม้สกิลที่ตกทอดลงมาตามสายเลือดก็ยังยากจะควบคุม
ถ้าไม่ควบคุมมันให้ดี ผมก็จะจบลงด้วยการทำลายตัวเองเหมือนหัวหน้ากองโจร
“เธอกลัวงั้นเหรอ? ”
“ม-ไม่ได้กลัวสักหน่อย! ถ้าฉันใช้อัญมณีก็จะบาดเจ็บน่ะสิ มันใช่เรื่องมั้ยล่ะ! “
พอมองเธอที่แสร้งทำเป็นไม่กลัวแบบนั้น ผมก็เผลอคิดขึ้นมาว่า ‘ถ้าเป็นเราที่บาดเจ็บแทน เธอก็จะไม่สนใจสินะ‘
ผมคาดเดาความแข็งแกร่งของเธอ ถ้าตามที่คิดไว้ แม้จะใช้สกิลช่วยเธอก็จะยังแข็งแกร่งไม่เท่าหัวหน้ากองโจรอยู่ดี
ไม่ใช่เพราะเธอเป็นผู้หญิง แต่เป็นประสบการณ์ที่เธอขาดไปมาก
การที่ได้เรียนเวทมนต์และวิชาหอกแค่ทางทฤษฎี มันไม่ช่วยให้เธอใกล้เคียงกับหัวหน้ากองโจรได้เลย
“ถ้าเธอกังวลเรื่องนั้น ไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวโนแวมจะรักษาให้เอง และถ้ามันอันตรายเมื่อไหร่พวกเราจะหยุดสู้ทันที”
อาจเพราะน้ำเสียงที่ดูรำคาญของผม ทำให้อาเรียฉุนขึ้นมา
“อะไรน่ะ? นี่นายคิดว่าฉันไม่มีค่าพอเป็นคู่ต่อสู้กับนายหรือไง? ฉันรู้ว่านายแข็งแกร่ง แต่อย่ามาตัดสินคนอื่นกันแบบนี้นะ! “
อาเรียที่เริ่มมีไฟ ผมจึง
“ถ้างั้นก็สู้สิ? พอโนแวมกับคุณเซลฟี่มาถึงเราจะสู้กันทันที ข้าจะใช้ดาบไม้ก็ได้นะ ”
“ใช้ดาบเซเบอร์ของนายไปเถอะ! ฉันจะได้ใช้สกิลได้เต็มที่หน่อย! “
ผมประหลาดใจเล็กน้อย
“โฮ่ จริงหรือ? ”
เธอจ้องมาที่ปฎิกิริยาตอบกลับของผมด้วยความไม่พอใจ ทำไมถึงหน้าบึ้งขนาดนั้นกันล่ะ
ผมก็แค่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเองนะ
“ดูถูกฉันไปเถอะ เดี๋ยวนายจะเจ็บตัวแน่! ”
อาเรียหันหลังเดินไปเพื่อเว้นระยะห่างจากผม และถอนหายใจ
ถึงผมจะยอมต่อสู้ตามคำขอของรุ่นที่หนึ่ง แต่มันจะไม่เป็นไรจริงเหรอ
ผมรู้สึกว่ามันไม่ควรทำกับปาร์ตี้เดียวกันแบบนี้เลย
เมื่อไม่มีคนอยู่ใกล้ๆ แล้ว รุ่นที่สามก็พูดขึ้นด้วยเสียงเอือมระอา
[ไรเอล นี่เจ้าได้เห็นหน้าตัวเองในกระจกบ้างรึเปล่าน่ะ? ]
“คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ? ข้าก็ล้างหน้าทุกเช้าอยู่แล้ว “
[เจ้าก็รู้ว่าที่เจ้าทำมันเป็นการดูถูกคนอื่น หัวเจ้าตอนนี้มีปัญหาแน่ๆ ]
ผมที่เอียงคองง
รุ่นที่สี่หงุดหงิดและพูดเสียงต่ำ
[การดูถูกเธอก็เรื่องหนึ่ง แต่ข้าเริ่มกังวลแล้วสิ เจ้านี่มันหึวทึบจริงๆ หรือทั้งหมดนั่นเจ้าจงใจทำรึเปล่า? ]
ผมไม่เข้าใจว่ารุ่นที่สามและสี่พยายามจะบอกอะไรกับผมกันแน่
เพื่อให้อาเรียรู้ความสามารถของตัวเอง และได้คุ้นเคยกับการใช้สกิล พวกเราเลยต้องมาสู้กันไม่ใช่หรือไง?
รุ่นที่หกที่ปกติจะเงียบๆ ก็อุปทานออกมา
[เจ้าไม่รู้ตัวเลย? ไรเอล นี่เจ้า…]
รุ่นที่เจ็ดก็บีบคั้นผมเช่นกัน
[เจ้าหยาบคายเกินไปแล้ว ไรเอล เจ้าต้องไตร่ตรองตัวเองบ้างนะ ]
แม้แต่รุ่นที่หกและเจ็ดที่ปกติจะเข้าข้างผม ก็ยังบอกว่าผมเป็นฝ่ายผิด
ขณะที่ผมพยายามนึกว่าตัวเองพลาดอะไรไป รุ่นที่ห้าก็พูดขึ้น
[ถ้าเจ้ายังไม่รู้ตัวอีก มันก็จบแล้วล่ะ บางเรื่องพวกเราก็ช่วยเจ้าที่ยังเด็กไม่ได้หรอก
เอาเถอะ ตอนนี้มันถึงเวลาที่เจ้าต้องไปเตรียมตัวแล้ว อย่าลืมล่ะ ว่าห้ามใช้เวทมนต์กับสกิล]
ผมไม่ได้มีความคิดแบบนั้นเลยนะ
“ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ ข้าไม่ได้ต้องการทำร้ายจิตใจเธอเลยนะ”
[…ไม่ได้จะทำร้ายจิตใจเธองั้นหรือ? เหอะ ยิ่งใหญ่เสียงจริงนะ เจ้าน่ะ]
รุ่นที่ห้าเอือมระอาง
ผมเดินเข้ามาในบ้านเพื่อเตรียมตัว ผมพาดดาบสองเล่มรวมอันสำรองไว้ที่เอว
เพราะโนแวมออกไปตามคุณเซลฟี่ ทำให้ไม่มีใครอยู่ในบ้านเลย
ในเวลาเช่นนี้ ผมเริ่มนึกถึงช่วงเวลาอันอ้างว้างของตัวเองในคฤหาสน์ตระกูลวอลท์
“เงียบจริงๆ เมือนตอนนั้นเลย”
ผมมองไปรอบๆ ที่ปกติจะมีโนแวมคอยทำงานบ้านอยู่ และอาเรียที่คอยช่วยเธอ
มันเป็นภาพที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ แต่ราวกับมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาในชีวิตของผม
ถึงหลังจากที่อาเรียเข้ามาอยู่ด้วยมันจะช่างวุ่นวายเหลือเกินก็เถอะ
‘อย่างที่คิด ฮาเร็มน่ะไม่เอาหรอก แถมมันไม่น่าจะมีอะไรดีด้วย’
มันก็แค่ความคาดหวังจากคนอื่น และคำขอของรุ่นที่หนึ่งที่ทำให้ผมยอมรับเธอเข้ามา
แต่มันอาจจะเป็นเรื่องผิดล่ะ
ตั้งแต่แรกผมไม่ได้สนใจเธอ และไม่เคยคิดว่าตัวเองคิดยังไงกับเธอด้วย
ขณะที่เหม่อมองไปเรื่อย ผมก็ได้ยินเสียง
คุณเซลฟี่กับโนแวมได้มาถึงแล้ว
.
.
.
ผมออกไปหาอาเรียที่สวน
เธอน่าจะเหงื่อออกเล็กน้อยจากการวอร์ม และคงเพราะความมุ่งมั่นที่ทำให้เธอจ้องผมเขม็ง
ในลานกว้างจากการเวียนที่คืนของเจ้าเมือง
อาเรีย เด็กสาวที่ห้อยอัญมณีสีแดง ยืนประจันหน้ากับผม
ในขณะพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นสว่างดีเลย
‘น่าจะจบก่อนเที่ยงนะ? ‘
ผมตั้งใจที่จะจบการต่อสู้กับอาเรียให้ได้ก่อนเที่ยงวัน
“ใจเย็นเหลือเกินนะ”
เหมือนเธอจะพูดออกมาเพื่อยั่วยุผมที่กำลังเหม่อ เธอดูโกรธมาก
โนแวมกับคุณอาเรียมองด้วยความเอือมระอา
ถึงเมื่อวานพวกเธอจะเอือมระอากับอาเรีย แต่คราวนี้พวกเธอกลับเอือมระอากับผมแทน
พวกเธอดูต้องการจะบอกอะไรกับผมนะ
“ข้าอยากให้เจ้าบอกก่อนล่วงหน้าสักวันนะถ้าจะเปลี่ยนกำหนดการน่ะ เพราะข้าก็มีกำหนดการของตัวเองเหมือนกัน
ถึงข้าจะตามใจลูกค้าก็เถอะ มันคงไม่สูญเปล่าหรอกนะ ไรเอล แล้วไหงเจ้าดูไม่ตั้งใจเอาซะเลยล่ะ? ”
คุณเซลฟี่มองที่ผมอย่างสงสัย โนแวมก็เช่นกัน
“ท่านไรเอลมีสมาธิด้วยค่ะ ถ้าท่านเอาแต่ดูถูกคุณอาเรีย จะบาดเจ็บหนักเอาได้นะคะ”
ผมพยักหน้าให้โนแวมที่กำลังเป็นห่วง และชักดาบออกมาตั้งท่า
อาเรียก็กระชับหอกตั้งท่าของเธอเช่นกัน ถึงจะดูใช้แรงอย่างสูญเปล่ามากไป เพราะอารมณ์ฉุนเฉียวของเธอก็เถอะ
“ฉันจะเอาจริงเลยนะ”
ผมพยักหน้าให้กับคำพูดที่ดูซีเรียสของเธอ
“ระวังอย่าให้บาดเจ็บล่ะ”
ในตอนนั้นเอง
อาเรียก็กระโจนเข้ามาพุ่งหอกรัวๆ เพื่อแทงผม
เป็นสกิลที่หัวหน้ากองโจรเคยใช้
ผมเบี่ยงตัวหลบ และใช้ดาบเซเบอร์ในมือปัดป้องการโจมตีของเธอ และเมื่อเธอกำลังเสียสมดุลล้มลง ผมก็กระโดดถอยห่างออกมา
เธอใช้มือข้างหนึ่งค้ำพื้นดินและเงยหน้าขึ้นมามองด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เธอกัดฟันกรอดและจ้องผมเขม็งกว่าเดิม
“ทำไมนายไม่โจมตีฉันล่ะ? ”
เธอลุกขึ้นมายืนตั้งท่าใหม่ ส่วนผมกลับสับสน
“เอ๋? ก็…เพราะมันจะจบเร็วเกินไปน่ะสิ…”
พอผมตอบกลับไปตามตรง ใบหน้าของอาเรียก็บิดเบี้ยวมากกว่าเดิม
เห็นแบบนั้น ผมก็เริ่มเจ็บปวดขึ้นมา
‘อะไรกัน? ’
อาเรียกวาดหอกสร้างคมคลื่นมาทางผม มันไม่ได้รุนแรงเท่ากับที่หัวหน้ากองโจรเคยใช้ ผมหลบมัน
พอเธอเหวี่ยงหอกเสร็จ อาเรียก็ดูหายใจลำบาก
เธอดูจะหมดแรงจากการฝืนใช้สกิล ทั้งๆ ที่ยังมีเทคนิคและพลังไม่พอจะใช้มันอย่างต่อเนื่อง
ถึงอย่างนั้น ด้วยเหงื่อที่ท่วมตัวและลมหายใจที่ขาดช่วง…เธอก็ยังโจมตีมาที่ผมต่อไป
“ยังหรอก! ”
เธอแทงหอกส่องแสงเลือนลางออกมาอย่างธรรมดา ผมรับมันด้วยดาบแต่กลับรู้สึกว่ามันต่างจากปกติ
อัมพาต…
นี่ก็น่าจะเป็นสกิลเช่นกัน พอผมหลบการโจมตีต่อไปอีกสองครั้งของเธอได้
เธอก็ดูจะรู้ตัวแล้วว่าผมอ่านการเคลื่อนไหวของเธอออก
ผมคาดเดาถึงทักษะที่เหลืออยู่ มันเป็นสกิลที่ใช้ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อที่ผมยังไม่รู้สึกว่าเธอได้ใช้มันเลย หรือเธอยังไม่ได้ใช้มันกันนะ
ผมพุ่งเข้าสวนหอกที่เธอแทงมา หลบมัน และคว้าด้ามหอกด้วยมือซ้าย
“ฮึ่ย! ”
เธอพยายามดิ้นรนให้ผมปล่อยมือ แต่พอผมจะบอกว่าการต่อสู้มันจบลงแล้ว ผมกลับเอ่ยออกไปไม่ได้
‘ทำไมกัน…’
เธอดึงหอกออกไปและถอยห่างจากผม
“ท่าทางนั่นมันอะไรกัน…ถ้าชั้นมันอ่อนแอนัก ก็เลิกยุ่งชั้นสักทีสิ! ”
เธอหายใจติดขัด และน้ำตาไหลอาบแก้มด้วยใบหน้าที่สิ้นหวัง
พอเห็นแบบนั้น ผมก็เข้าใจถึงเรื่องที่บรรพบุรุษพยายามจะบอกมาตลอด
‘สิ่งที่เราทำกับเธอ…มันไม่ต่างกับที่เซเลสทำกับเราเลย’
ผมเข้าใจถึงความเจ็บปวดในใจตัวเอง
เข้าใจเจตนาของรุ่นที่หนึ่ง และบรรพบุรุษคนอื่นๆ
เข้าใจถึงสายตาของโนแวมกับคุณซลฟี่ที่มองมาทางผม
ผมหยักหน้าให้กับเธอ
“เข้าใจแล้ว ที่ผ่านมาข้าไม่เคยมองไปที่เธอเลยสินะ”
ผมเห็นภาพเด็กสาวน้ำตานองที่ถือหอกอย่างสิ้นหวังตรงหน้า ซ้อนทับกับภาพของตัวเองในตอนนั้น
—
หายนานอีกแล้วครับ