[นิยายแปล] Keiken Zumi na Kimi to, Keiken Zerona Ore ga, Otsukiai Suru Hanashi. – ตอนที่ 16 จูบ

ผู้หญิงคนนี้คือผู้หญิงที่พยายามอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อเป้าหมายอย่างการเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน ตัวเธอเองก็คงจะรับไม่ได้กับความคิดที่ว่าเธอโดนผมเกลียดเข้าให้แล้วหลังจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้สินะ

นั่นคือสิ่งที่ผมเข้าใจและก็ค่อนข้างที่จะมั่นใจเลย

“อย่ากังวลไปเลยครับ ผมไม่ได้เกลียดเธอหรอกนะครับ”

เมื่อผมตอบกลับเธอ

คุโรเสะซังก็มองมาตรงนี้พักหนึ่งและดูเหมือนว่าเธอกำลังจะร้องไห้ออกมา

และเพราะแบบนั้นเธอจึงเบือนหน้าหนีผมโดยที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ

เธอหันหน้าไปทางด้านหน้าและก้มหน้าลง

“เอ๋……?”

ผมคงไม่ได้ตอบอะไรผิดไปใช่ไหมเนี่ย?

ยังไงก็เถอะ มันไม่มีอะไรที่ผมจะสามารถพูดต่อได้ไม่ว่าจะในทางไหน

คงได้แต่ปล่อยให้คุโรเสะซังเธออยู่เงียบๆของเธอไปสักพักก็แล้วกัน

บางทีพอเวลาผ่านไป ความกระอักกระอ่วนมันก็คงจะหายไปเอง

แล้วพวกเราก็จะสามารถหันมาพูดคุยโต้ตอบกันได้เฉกเช่นเพื่อนร่วมห้องทั่วๆไป

ผมก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นล่ะนะ

ผมเอาเอกสารที่ได้รับแจกจ่ายมาเข้าไปเก็บในกระเป๋าและเตรียมตัวกลับบ้าน

หลังจากที่ชีวิตในรั้วโรงเรียนได้ผ่านไปสองสามวัน

สิ่งที่ผมเข้าใจนั่นก็คือทุกคนนั้นไม่ได้สนใจเรื่องของชาวบ้านอย่างที่ผมคิด

โดยเฉพาะวันหนึ่ง

ตอนที่ชิราคาวะซังเธอเดินเตร่ไปตรงที่นั่งของผมในช่วงเวลาพักเบรก

“อรุณสวัสดิ์จ้า ริวโตะ!!”

“อะ-อรุณสวัสดิ์ครับผม”

เพราะเรื่องมันแดงออกมาหมดแล้วผมคิดว่ามันคงจะไม่เป็นอะไรหรอก

จนถึงป่านนี้ ผมก็ยังไม่เคยได้คุยกับเธอตอนที่อยู่ในโรงเรียนเลยสักครั้ง เพราะอย่างนั้นผมก็เลยกังวลเรื่องที่คนอื่นๆจะพากันจ้องมองมาที่ผมและทำให้ผมรู้สึกประหม่า

“ดูนี่สิ ดูนี่! เล็บของชั้น! เมื่อวานนี้ชั้นเป็นคนทำเองล่ะ!”

ผมมองไปที่เล็บที่ประกายแวววาวของชิราคาวะซัง ที่มันผิดกฏข้อบังคับของโรงเรียน

แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะใส่ใจกับสายตาจากบริเวณโดยรอบ

อย่างไรก็ตามปฏิกิริยาของทุกคนก็เบาบางกว่าที่คิด

แน่นอนว่ามีบางคนที่ส่งสายตาอยากรู้อยากเห็นมองมาทางนี้จากที่ไกลๆแต่ยังไงเพื่อนร่วมห้องของผมส่วนใหญ่ก็วุ่นวายกับการทำเรื่องของตัวเองกันทั้งนั้น

“…….ผมว่าก็สวยดีนะครับ”

ผมสงสัยว่าตัวผมเองกำลังกลัวอะไรอยู่เนี่ย? คนอื่นเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยสักหน่อยหนิ

“นี่! ตั้งใจดูให้ดีหน่อยสิ!”

ผมที่กำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ต่อหน้าเธอ ทำให้ชิราคาวะซังเธอยื่นมือออกมาอย่างยืนกราน

“อ๊ะ ครับ ขอโทษด้วยครับ”

ผมจึงตั้งใจมองดูอีกครั้ง

“น่ารักใช่ม้า? ว่ามะ?”

มือของชิราคาวะซังเรียวเหมือนกับมือของเด็กผู้หญิงส่วนนิ้วและเล็บของเธอก็ยาวสวย

ถ้าผมเป็นพวกเพลย์บอยตัวพ่อล่ะก็เวลาแบบนี้ผมก็คงจะจับมือเธอเอาได้อย่างช่ำชองแล้วก็พูดออกมาว่า ‘ใช่แล้วล่ะ มันน่ารักมากจริงๆ’ เรื่องการสกินชิพแตะเนื้อต้องตัวเนี่ยมันก็เป็นแค่เรื่องหมูๆเหมือนกัน

แต่ยังไงซะ ไม่ว่าจะคิดยังไงแบบนั้นมันไม่ใช่คาแรคเตอร์ของผมเลยสักนิด ผมไม่รู้สึกว่าตัวผมจะทำเรื่องแบบนั้นได้และก็ไม่รู้สึกว่าอยากจะทำอีกด้วย

“…….เป็นอะไรไปเหรอ? นายเกลียด…….เล็บแบบนี้งั้นเหรอ?”

เนื่องจากผมจ้องไปที่มือของชิราคาวะซังด้วยใบหน้าตึงๆเคร่งเครียดมากเกินไป

ใบหน้าของชิราคาวะซังก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าที่สงสัยเข้ามาแทน

“อ๊า ครับ! ผมคิดว่ามันก็ดูดีนะครับ เข้ากับเธอเลยล่ะครับ”

เมื่อผมรีบตอบกลับเธอ ชิราคาวะซังก็ยิ้มกว้างราวกับดอกไม้ที่เบ่งบาน

“ดีใจจัง!! ชั้นทำได้สวยเลยใช่ไหมล๊า!! สวยจนขนาดนิโคลยังเอ่ยปากชมเลยนะ”

ชิราคาวะซังเธอพูดออกมาอย่างภูมิอกภูมิใจ และเหมือนกับว่าเธอคงจะพอใจแล้ว

เธอก็เดินกลับไปยังกลุ่มพวกผู้หญิงหน้าตาดีเหมือนเดิม

ในเวลาเดียวกันเพื่อนร่วมห้องบางคนที่จ้องมองมาที่พวกเราก็เบนหน้าหันไปมองอย่างอื่นราวกับว่าพวกเขาหมดความสนใจไปแล้ว

เพราะงั้นเรื่องซุบซิบนินทาจากคนรอบข้างคงไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวอีกต่อไป

ถึงแม้ว่าไอ้ปัญหาเรื่องการสกินชิพแตะเนื้อต้องตัวผมเองก็ยังแก้ไขอะไรไม่ได้และมันก็ทิ้งความรู้สึกอันครุมเครือเอาไว้ภายในตัวของผมอีกด้วย

ความปรารถนาของผมที่จะคอยเอาใจใส่ทะนุถนอมชิราคาวะซังนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

นั่นเป็นเหตุผลที่ผมไม่ได้คิดเรื่องอุกอาจอย่างเช่น จู่ๆก็อยากจะมีอะไรกันกับเธอแบบนั้น ก็ไม่ใช่ว่า………….ผมไม่อยากทำหรอกนะ

มันก็แค่……..ถ้าเกิดว่าชิราคาวะซังเธอชอบผมกว่าเดิมแล้วล่ะก็

ผมก็ต้องการมีสัมผัสทางกายที่มันสอดคล้องกันกับเรื่องนั้นด้วยล่ะนะ……..

นั่นก็พูดแบบอ้อมโลกไปหน่อย แต่ยังไงๆซะ……………..

ให้พูดตรงๆเลยนะ ผมอยากจูบเธอ !!

แต่ผมไม่รู้จริงๆว่าผมควรจะทำยังไงดี!!!

ผมอยากรู้ว่าจะต้องใช้เทคนิคอะไรเพื่อให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น……ในละครแนวโรแมนติก

เวลาที่คนสองคนสบตากันอย่างกระทันหัน ริมฝีปากของพวกเขาก็จะเข้าไปประกบกันราวกับถูกดูดเข้าไป แต่ผมคิดว่าช่วงเวลานั้นมันคงจะไม่มาถึงถ้าหากว่าผมยังมัวเอาแต่รออยู่อย่างนี้น่ะ

ในหัวผมไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากเรื่องนี้ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา

เพราะงี้ผมถึงข่มตานอนไม่หลับในช่วงเวลากลางคืนและก็รู้สึกปวดทรมาณมาก

ผมไม่สามารถเขาไปเต๊าะชิราคาวะซังตรงๆด้วยความปรารถนาแบบนี้ได้หรอก

ก็ผมเคยพูดเอาไว้ว่า ‘ผมอยากจะดูแลทะนุถนอมชิราคาวะซัง’ ออกไปอย่างเท่เลยนี่นา

และผมก็ไม่อยากจะถูกเธอมองว่ามันเป็นเพียงแค่การเพ่งเล็งไปยังร่างกายของเธอเท่านั้นด้วย

สงสัยจังว่าพวกคู่รักบนโลกใบนี้ที่สามารถทำสกินชิพกันได้อย่างเป็นธรรมชาตินั้นเขาทำกันได้ยังไงกันนะ? อะไรคือสิ่งกระตุ้นสำหรับเรื่องนั้น? และด้วยวิธีไหน?

ผมว่าผมควรไปปรึกษากับใครดีในช่วงเวลาคับขันแบบนี้

แล้วพอมาลองคิดๆดู เจ้าพวกนั้นคงเป็นคนกลุ่มเดียวที่ผมจะสามารถไปปรึกษาได้ล่ะนะ

มันเป็นช่วงเวลาพักเที่ยง

ในตอนที่พวกเราสามเกลอกำลังกินมื้อเที่ยงด้วยกันตามปกติ

“คาชิ………..”

จู่ๆเจ้าอิจิก็วางตะเกียบลง

“เอ๊ะ? มีอะไรงั้นรึ?”

อิจิผู้ที่จะไม่ยอมปล่อยชามข้าวจนกว่าชามข้าวมันจะเกลี้ยงโบ๋เบ๋ไม่เหลืออะไรเลย

อิจิผู้ที่ชื่นชอบการกินข้าวมากกว่าสามมื้อต่อวัน

ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าอิจิคนนั้นจะขัดจังหวะการกินของเขาเอง ในตอนที่ข้าวในกล่องข้าวยังเหลือมากกว่าครึ่ง

ขณะที่ผมจ้องมองเขาด้วยความคิดเหล่านั้น เจ้าอิจิก็ก้มหัวลงทันทีทันใด

“ชั้นขอโทษ!! ที่ชั้นไม่เชื่อแกตั้งแต่แรกตอนที่แกบอกว่าแกกำลังคบกับชิราคาวะซังน่ะ!”

เขาพูดออกมาในตอนที่กำลังเคี้ยวข้าวอย่างเอร็ดอร่อยและไหล่ของเขาก็ทรุดลง

“ชั้นลำบากใจจริงๆที่ชั้นไม่ยอมเชื่อแก แต่พอชั้นได้เห็นแกกับชิราคาวะซังเมื่อวันก่อนแล้ว ชั้นก็รู้ว่าชั้นคงต้องเชื่อใจแกแล้ว ก็เราเป็น……..เพื่อนกันใช่ไหมล่ะ? และพวกแกเองก็คบกันจริงๆด้วย มันก็เป็นเรื่องที่เยี่ยมไปเลย ทั้งๆที่เดิมทีชั้นเป็นคนบังคับให้แกไปสารภาพกับเธอแท้ๆ”

“อิจิ………………”

เพราะงั้นสองสามวันหลังจากวันนั้น แกก็เอาแต่คิดถึงเรื่องนี้มาโดยตลอดเลยอย่างนั้นเหรอ

แล้วข้างๆผมเจ้านิชิก็เอามือกอดอกอยู่

“ส่วนชั้นไม่ขอโทษหรอกนะ”

เขาพูดจาเหมือนกับคุณพ่อแนวหัวแข็งและจ้องมองมาที่ผมอย่างรวดเร็ว

“ต่อให้พวกเราจะต้มยำทำแกงกับแกรุนแรงไปสักแค่ไหนก็ตาม แต่แกก็ยังได้จู๋จี๋กันกับชิราคาวะซังในช่วงวันหยุดอยู่ดีนี่หว่า จริงมะ? อย่างแกน่ะระเบิดไปซะได้ก็ดี!!”

“นิชิ……..”

แต่ถ้าผมได้ไปอยู่ในจุดเดียวกันกับเจ้านิชิล่ะก็ ผมก็พูดไม่ได้เหมือนกันว่าตัวเองจะไม่พูดอะไรที่แสดงความเกลียดชังแบบนั้นออกมา

ส่วนเจ้าอิจิน่ะหมอนี่มันเป็นคนดีมากเกินไป

ยังไงๆเจ้าอิจิจู่ๆก็พุ่งพรวดเข้ามาใกล้ๆผม

“แล้วแกได้ทำไปรึยัง? แน่นอนว่าแกก็ต้องงาบหล่อนไปแล้วใช่ม้า? นี่ๆบอกตรูหน่อยดิ”

“เอ๊ะ? อะไรของเอ็งวะเนี่ย?!”

ตาของแกมันแดงก่ำจนเห็นเส้นเลือดแล้วนะเว้ยยย

ไอ้ชั้นก็หลงคิดว่าแกเป็นคนดี ปั้ดโถ่ว!!

“ก็นะ เรื่องนั้น………”

ดังนั้นผมจึงบอกพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องปัญหาปัจจุบันของผม

“…..อย่างนี้นี่เอง ก็คือแกอยากจะจูบกับชิราคาวะซัง แต่ไม่รู้จะต้องทำยังไง ถ้าอย่างนั้นอย่างแรกเลย แกต้องเริ่มต้นด้วยการจับมือกันแล้วก็ต้องมีไอเดียอะไรสักอย่าง”

เจ้าอิจิพึมพัมอย่างเหนื่อยอ่อนและหมดแรง

“แล้วในบรรดาหลายต่อหลายคนเนี่ย………..ชั้นสงสัยว่าทำไมแกถึงได้เลือกมาหาพวกเราเพื่อขอคำปรึกษาวะ?…….”

เจ้านิชิดูเหมือนกับนักมวยที่พึ่งลงจากสังเวียนพร้อมกับหมดไฟ

“ขะ-ขอโทษจริงๆ ก็ชั้นไม่มีใครให้ปรึกษาได้อีกแล้วนี่นา………”

เมื่อผมรีบขอโทษขอโพยทั้งคู่ก็มองหน้ากันแล้วก็ถอนหายใจแล้วก็มองมาที่ผมด้วยใบหน้าที่มุ่งมั่น

“ช่วยไม่ได้ล่ะน้า………งั้นเรามาระดมสมองปั้นให้ไอ้เจ้าคาชิเป็นผู้ชายทั้งแท่งกันเถอะ!!”

“อืมๆ เรามาคิดแผนการที่ไม่ใช่แค่ได้จับมือกันกับชิราคาวะซังอย่างเดียว แต่เพื่อที่จะได้เชื่อมต่อกับหัวใจของเธอด้วยละกัน”

นี่พวกนาย……..

“ขอบคุณนะ!……..พวกนายช่วยชั้นไว้ได้จริงๆ!!”

เจ้าพวกนี้ก็ไม่ได้มีประสบการณ์อะไรมากไปกว่าผมเลย

และนี่ก็คือการรวมตัวของไอ้หนุ่มจิ้นสามหน่อที่ไม่ว่าจะเค้นสติปัญญาไปสักเท่าไหร่ก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย

“ แล้วอย่าง ‘นี่ๆรู้มะ? จริงๆแล้วผมน่ะ เป็นหมอดูลายมือล่ะ’ แบบนี้เป็นไง?”

“นั่นมันแค่การโกหกแบบหน้าด้านๆไม่ใช่รึยังไง? ถึงอย่างนั้นชั้นเองก็ไม่รู้ด้วยว่าเธอจะยอมเอามือมาให้ชั้นดูรึเปล่า”

“เอ็งจะพูดแบบนั้นทั้งๆที่ยังไม่ลองเลยไม่ได้นะเว้ยย”

“ก็ชั้นไม่อยากโกหกชิราคาวะซังนี่หว่า”

“เออๆ ถ้างั้นเอานี่เป็นไง ‘ไม่นะ มันหนาวสุดๆไปเลย……..มือของผมเย็นจนแข็งไปซะแล้ว’ ไงล่ะแบบนี้ใช้ได้ปะ?”

“อ้อมค้อมแบบนั้นมันน่ารำคาญจะตายชัก มันดูเหมือนแค่ทำให้ดูเป็นคนขี้หนาวแค่นั้นแหละ”

“ชิ ถ้าอย่างนั้นก็ ‘มาจับมือกันเถอะ’ ตรงๆไปเลยเป็นไง?”

“ก็ถ้าชั้นพูดแบบนั้นออกไปได้ล่ะก็ ชั้นก็คงไม่มาปรึกษาพวกแกหรอกนะ…….”

“นู่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่ดี เอ็งนี่แม่มเรื่องมากจริงวุ้ย!!”

หลังจากพูดคุยกันสักพัก พวกเราทุกคนก็พากันตันกันหมด

“เออ ช่างแม่มเถอะ! ไม่รู้แล้วโว้ย!”

เจ้านิชิเป็นคนแรกที่ประกาศยอมแพ้และเจ้าอิจิก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกับมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

“จริงชั้นก็ไม่ไหวแล้วว่ะ! มันก็ไม่ใช่ว่าชั้นเองก็จะเข้าไปจับมือผู้หญิงได้นะเว้ย!”

“ยังไงก็เถอะ ช่วยชั้นหน่อยเถอะนะ…….”

“ชั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ อย่างน้อยแกก็ช่วยเก็บเรื่องนี้ไปกังวลด้วยตัวแกเองทีเถอะ”

“ก่อนหน้านี้ชั้นพยายามทำเท่อยู่ล่ะนะ แต่ตลอดเวลาชั้นก็เกือบจะรู้สึกอิจฉาริษยาแก จนแทบจะฉี่ออกมาเป็นสายเลือดแล้วว่ะเพื่อนเอ๋ย”

ทั้งสองคนพูดด้วยท่าทางเหนื่อยๆและพยายามขยับที่นั่งให้ห่างออกจากผม

“ปล่อยให้ไอ้เรียจูมันอยู่คนเดียวของมันเหอะ แล้วเรามาดูคลิปใหม่ของ KEN กันดีกว่า”

และตอนนั้นเองที่ผมได้ยินคำพูดของเจ้านิชิ

“คลิปของ KEN งั้นเหรอ……..”

ผมรู้สึกเหมือนมีหลอดไฟมันกระพริบติดอยู่ในตัวของผม

“ใช่แล้ว KEN ไงล่ะ!”

ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ ผมก็คิดว่าผมทำแน่

“ขอบใจนะพวกนายทั้งคู่เลย”

ผมพูดขอบคุณทั้งสองคนที่กำลังงงงวยอยู่และลุกขึ้นจากที่นั่ง

ผมต้องการสถานที่เงียบสงบเพื่อรวบรวมความคิด

 

นี่พวกนาย……..

 

“ขอบคุณนะ!……..พวกนายช่วยชั้นไว้ได้จริงๆ!!”

 

เจ้าพวกนี้ก็ไม่ได้มีประสบการณ์อะไรมากไปกว่าผมเลย

และนี่ก็คือการรวมตัวของไอ้หนุ่มจิ้นสามหน่อที่ไม่ว่าจะเค้นสติปัญญาไปสักเท่าไหร่ก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย

 

“ แล้วอย่าง ‘นี่ๆรู้มะ? จริงๆแล้วผมน่ะ เป็นหมอดูลายมือล่ะ’ แบบนี้เป็นไง?”

“นั่นมันแค่การโกหกแบบหน้าด้านๆไม่ใช่รึยังไง? ถึงอย่างนั้นชั้นเองก็ไม่รู้ด้วยว่าเธอจะยอมเอามือมาให้ชั้นดูรึเปล่า”

“เอ็งจะพูดแบบนั้นทั้งๆที่ยังไม่ลองเลยไม่ได้นะเว้ยย”

“ก็ชั้นไม่อยากโกหกชิราคาวะซังนี่หว่า”

“เออๆ ถ้างั้นเอานี่เป็นไง ‘ไม่นะ มันหนาวสุดๆไปเลย……..มือของผมเย็นจนแข็งไปซะแล้ว’ ไงล่ะแบบนี้ใช้ได้ปะ?”

“อ้อมค้อมแบบนั้นมันน่ารำคาญจะตายชัก มันดูเหมือนแค่ทำให้ดูเป็นคนขี้หนาวแค่นั้นแหละ”

“ชิ ถ้าอย่างนั้นก็ ‘มาจับมือกันเถอะ’ ตรงๆไปเลยเป็นไง?”

“ก็ถ้าชั้นพูดแบบนั้นออกไปได้ล่ะก็ ชั้นก็คงไม่มาปรึกษาพวกแกหรอกนะ…….”

“นู่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่ดี เอ็งนี่แม่มเรื่องมากจริงวุ้ย!!”

 

หลังจากพูดคุยกันสักพัก พวกเราทุกคนก็พากันตันกันหมด

 

“เออ ช่างแม่มเถอะ! ไม่รู้แล้วโว้ย!”

 

เจ้านิชิเป็นคนแรกที่ประกาศยอมแพ้และเจ้าอิจิก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกับมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

“จริงชั้นก็ไม่ไหวแล้วว่ะ! มันก็ไม่ใช่ว่าชั้นเองก็จะเข้าไปจับมือผู้หญิงได้นะเว้ย!”

 “ยังไงก็เถอะ ช่วยชั้นหน่อยเถอะนะ…….”

“ชั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ อย่างน้อยแกก็ช่วยเก็บเรื่องนี้ไปกังวลด้วยตัวแกเองทีเถอะ”

“ก่อนหน้านี้ชั้นพยายามทำเท่อยู่ล่ะนะ แต่ตลอดเวลาชั้นก็เกือบจะรู้สึกอิจฉาริษยาแก จนแทบจะฉี่ออกมาเป็นสายเลือดแล้วว่ะเพื่อนเอ๋ย”

 

ทั้งสองคนพูดด้วยท่าทางเหนื่อยๆและพยายามขยับที่นั่งให้ห่างออกจากผม

 

“ปล่อยให้ไอ้เรียจูมันอยู่คนเดียวของมันเหอะ แล้วเรามาดูคลิปใหม่ของ KEN กันดีกว่า”

 

และตอนนั้นเองที่ผมได้ยินคำพูดของเจ้านิชิ

 

“คลิปของ KEN งั้นเหรอ……..”

 

ผมรู้สึกเหมือนมีหลอดไฟมันกระพริบติดอยู่ในตัวของผม

 

“ใช่แล้ว KEN ไงล่ะ!”

 

ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ ผมก็คิดว่าผมทำแน่

 

“ขอบใจนะพวกนายทั้งคู่เลย”

 

ผมพูดขอบคุณทั้งสองคนที่กำลังงงงวยอยู่และลุกขึ้นจากที่นั่ง

ผมต้องการสถานที่เงียบสงบเพื่อรวบรวมความคิด

Recommended Series

Comment

Options

not work with dark mode
Reset