บทที่ 5 ต่อกร
หนิงเมิ่งเหยาไม่พอใจกับคำพูดเหล่านั้นจึงวางจอบลง แล้วมองหยางซิ่วเอ๋อร์ด้วยแววตาเย็นชา
“ข้าต้องมานั่งจ้ำจี้จำไชสอนเจ้า ทั้งๆ ที่ตัวข้าเองก็มีสิ่งที่จะต้องทำเช่นกันอย่างนั้นหรือ เจ้าถามคำถามมามากมาย แล้วไม่รู้ว่าจดจำหรือเรียนรู้อะไรได้บ้างเล่า เจ้าคิดว่าตนเองมีความสามารถในด้านนี้จริงๆ หรือ”
จะกล่าวโทษหญิงสาวว่าพูดจาเสียดแทงใจดำเช่นนั้นก็ไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายเป็นคนล้ำเส้นก่อนจนนางรู้สึกอึดอัดใจ
สีหน้าของหยางซิ่วเอ๋อร์ซีดเผือดในทันใด พลันชี้หน้าหนิงเมิ่งเหยาด้วยนิ้วมืออันสั่นเทา “ข้าแค่อยากจะเรียนรู้จากเจ้าเพื่อจะได้หารายได้เสริมก็เท่านั้น ใยต้องพูดจารุนแรงกับข้าเช่นนั้นด้วยเล่า”
“การเรียนรู้นั้นมีขอบเขตความเหมาะสมของมัน หากเจ้าไม่มารบกวนกิจวัตรประจำวันของข้าแล้วไซร้ ข้าจะไปสอนท่านเอง แต่ตอนนี้ข้าจะไม่ไปช่วยสอนท่านอีกแล้ว” หนิงเมิ่งเหยาไม่ได้รู้สึกผิดกับอีกฝ่าย หนำซ้ำยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
หยางซิ่งเอ๋อร์พินิจดูหญิงสาวแบบศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะคว้าตะกร้าของตนวิ่งจากไปพร้อมทั้งเอามือปิดหน้าปิดตา หนิงเมิ่งเหยาได้ยินเสียงนางร้องคร่ำครวญ
หญิงสาวมองดูแผ่นหลังของอีกฝ่ายจนกระทั่งหายลับตา ดวงตาคู่นั้นยังคงเย็นชาขณะวางจอบลง ก่อนจะหยิบถังไม้ไปยังลำธารเพื่อตักน้ำมารดพืชผักสวนครัวต่อไป
หลังจากหยางซิ่วเอ๋อร์กลับมาที่หมู่บ้าน ชาวบ้านบางคนสังเกตเห็นดวงตาของนางบวมแดง จึงรู้สึกว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น ‘มิใช่ว่านางออกไปหาหญิงสาวผู้ไม่มีใครรู้ว่ามาจากไหนหรอกหรือ แล้วเหตุใดจึงกลับมาในสภาพเช่นนี้ได้’
เมื่อนางหลัวเจอลูกสาวของตน ก็อยากจะเอ่ยถามว่าหนิงเมิ่งเหยาสอนเคล็ดลับอะไรให้หรือไม่ แต่เมื่อเห็นสภาพของนาง ผู้เป็นแม่ก็รู้สึกไม่พอใจ “ซิ่วเอ๋อร์ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้เล่า ใครรักแกเจ้ารึ”
“ท่านแม่…เหตุใดนางถึงต้องทำตัวเย็นชากับข้าด้วย ข้าแค่อยากจะเรียนรู้จากนางเท่านั้นเอง แต่นางกลับโมโหและยังพูดจาดูถูกข้าอีกด้วย” หยางซิ่วเอ๋อร์โน้มตัวเข้าสู่อ้อมกอดของผู้เป็นแม่ก่อนร้องไห้เสียงดัง
เหล่าชาวบ้านละแวกใกล้เคียงต่างส่งเสียงฮึดฮัดเมื่อฟังคำของหญิงสาว
เดิมทีพวกชาวบ้านต่างไม่ค่อยชอบหนิงเมิ่งเหยาอยู่ก่อนแล้ว เพราะหญิงสาวเข้ามาในหมู่บ้านและอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆ ตรงเชิงเขาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้บรรดาชาวบ้านสงสัยว่านางน่าจะเป็นคนไม่ดี
หลังจากชาวบ้านทั้งหลายได้ยินคำพูดของหยางซิ่วเอ๋อร์ ต่างก็พากันส่งเสียงเอะอะโวยวาย
“อย่าพูดจาเหลวไหลสิ เหยาเหยามิใช่คนเช่นนั้นเสียหน่อย” ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น เด็กสาวคนหนึ่งพูดขึ้นเสียงดังจนแทรกบทสนทนาอันร้อนระอุนี้
เหล่าฝูงชนต่างหันศีรษะไปมองลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้านผู้มีนามว่าหยางเล่อเล่อคนนี้
แม้ว่านางจะมิใช่คนรูปร่างสูง แต่ก็เติบโตจากตระกูลมีฐานะและถูกเลี้ยงดูฟูมฟักมาเป็นอย่างดี ใบหน้าอันอ้วนกลมนั้น ทำให้เวลานางขมวดคิ้วช่างดูคล้ายกับซาลาเปาแสนอร่อย
“เล่อเล่อ ทำไมถึงเอ่ยเช่นนั้นเล่า จะบอกว่าซิ่วเอ๋อร์พูดปดหรือ” นางหลัวมองหยางเล่อเล่ออย่างไม่สบอารมณ์
เด็กสาวพ่นลมหายใจ ‘เฮ้อ’ และมองหยางซิ่วเอ๋อร์ด้วยแววตารังเกียจ “เหยาเหยาไม่ใช่คนเช่นนั้น ถึงนางจะเย็นชาไปบ้าง แต่จริงๆ แล้วก็เป็นคนน่ารักคนหนึ่งเลยทีเดียว ตอนข้าขอให้นางช่วยสอนการเย็บปักถักร้อย เหยาเหยาไม่เพียงแค่ช่วยข้าเท่านั้น แต่ยังเอาขนมอร่อยๆ มาให้กินอีกด้วย หนำซ้ำเวลามีเด็กจากหมู่บ้านวิ่งเข้าไปในกระท่อมของนางโดยไม่ตั้งใจ นางก็ไม่โกรธเคืองอะไร ทั้งยังให้เด็กคนนั้นอาบน้ำและเอาอาหารมาให้กินอีกด้วย…”
หลังจากหยางเล่อเล่อพูดถึงการกระทำต่างๆ ของหนิงเมิ่งเหยาจบ ก็มองดูหยางซิ่วเอ๋อร์ “แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับเหยาเหยาที่กระท่อมของนาง แต่ข้าก็เชื่อว่าเหยาเหยาไม่ใช่คนเช่นนั้นแน่ เพราะฉะนั้นเจ้าอย่าบังอาจมาใส่ร้ายนางนะ”
ไม่ว่าพวกชาวบ้านจะมองหนิงเมิ่งเหยาเช่นไร เด็กสาวก็ไม่มีทางเชื่อ เพราะในใจของนางรู้ดีว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นคนดีคนหนึ่ง
ผู้คนที่ฟังหยางซิ่วเอ๋อร์ในตอนแรกเริ่มกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ส่วนเด็กๆ ที่ได้ยินคำพูดของหยางเล่อเล่อ ก็วิ่งกรูเข้ามาทันทีพลางมองฝูงชนทั้งหลายด้วยแววตาใสซื่อ “พี่เมิ่งเหยาดีกับพวกเราจริงๆ”
“ใช่แล้ว พี่เมิ่งเหยาน่ารักมากๆ เลยนะ” เด็กน้อยอีกสองสามคนกระโดดเข้ามาร่วมวงและผงกศีรษะหงึกๆ อย่างเห็นด้วย
หลังจากที่เด็กๆ ได้ไปยังกระท่อมของหนิงเมิ่งเหยาแล้ว พวกเขามักจะพากันวิ่งเล่นไปทั่วบ้าน บ้างก็เด็ดดอกไม้สวยงามตรงด้านนอกกระท่อม แต่นางไม่เคยโกรธที่พวกเขาแวะมาหาเลยสักครั้ง ทั้งยังให้กินขนมและของว่างอร่อยๆ อีกต่างหาก
บทที่ 6 สอนให้เด็กๆ อ่านออกเขียนได้
ตราบใดที่เด็กๆ ไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย หนิงเมิ่งเหยาก็จะไม่โกรธ เวลาพวกเขาส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวจนหญิงสาวไม่มีสมาธิปักผ้า นางก็จะวางงานลงและมองดูพวกเขาเล่นกันตรงลานบ้าน บางครั้งก็เข้ามาเล่นด้วยกันเสียอีก
“ใช่แล้ว พี่เมิ่งเหยาเคยสอนเราเขียนหนังสือด้วย ทำให้ตอนนี้พวกเราเขียนชื่อตัวเองเป็นแล้ว” เหล่าเด็กน้อยมองหยางซิ่วเอ๋อร์อย่างไม่พอใจและบอกว่า “พวกเราไม่ยอมให้ท่านปรักปรำพี่เมิ่งเหยาเช่นนี้อย่างเด็ดขาด”
เด็กๆ คนแล้วคนเล่าต่างกล่าวอ้างว่าตนเองจำคำเขียนได้สองสามคำแล้ว และบางคนจำได้มากกว่าสามคำอีกด้วย
ก่อนหน้านี้ กลุ่มชาวบ้านที่คลางแคลงใจกันอยู่ ก็พลันสลัดความรู้สึกเหล่านั้นออกไปสิ้น เพราะเด็กๆ ไม่พูดโกหก หลังจากเห็นว่าบรรดาเด็กน้อยต่างลงความเห็นคล้ายคลึงกัน ทั้งที่เด็กๆ ไม่เคยเข้าศึกษาในสถานศึกษามาก่อน แต่กลับรู้บทเรียนที่สอนกันเฉพาะในสถานศึกษาเท่านั้น จึงตีความได้เพียงอย่างเดียวว่าหนิงเมิ่งเหยาเป็นคนสอนพวกเขา
ความรู้สึกของชาวบ้านทั้งหลายต่อหนิงเมิ่งเหยานั้นค่อยๆ เปลี่ยนไป บางคนเริ่มมองว่านางเป็นคนดีคนหนึ่ง
หลังจากหยางซิ่วเอ๋อร์ฟังคำพูดพวกนั้น ก็ซุกตัวในอ้อมกอดของนางหลัวอย่างอึดอัดใจ เพราะรู้ดีว่าหากยังคงใส่ร้ายหนิงเมิ่งเหยาอยู่ก็คงไม่มีใครเชื่ออยู่ดี
นางรู้สึกไม่พอใจหยางเล่อเล่อ ‘เป็นเพราะเด็กนั่น! หากเจ้าลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้านผู้นี้ไม่โผล่มา นางก็คงจะไม่เสียหน้าขนาดนี้!’
“ซิ่วเอ๋อร์ ครั้งหน้าจงอย่าใส่ความผู้อื่นแบบไร้เหตุผลเช่นนี้อีกนะ มันไม่ดีเลย”
“ถูกต้อง”
“หากมีใครเต็มใจจะสอนท่านก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าพวกเขาไม่อยากสอนมันก็มิใช่เรื่องผิดนี่นา”
ผู้คนพากันแสดงความเห็น จนใบหน้าของหยางซิ่วเอ๋อร์กลายเป็นสีม่วงไม่น่าดูในเวลาไม่นานนัก
หยางเล่อเล่อเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของหยางซิ่วเอ๋อร์ผู้หมดหนทางสู้ จึงพ่นลมออกทางจมูกอย่างดูหมิ่นแล้วหันหลังจากไป เด็กๆ เหล่านั้นก็กระโดดโลดเต้นตามติดเด็กสาวตัวเล็กผู้นี้เพื่อไปเล่นด้วยกันตรงริมแม่น้ำ
หลังจากผู้คนแยกย้ายจากไป หยางซิ่วเอ๋อร์นั้นไม่อาจเสแสร้งได้อีก จึงเงยหน้าขึ้นจากอ้อมกอดของนางหลัวและพูดอย่างชั่วร้าย “เราน่าจะทำลายชื่อเสียงหนิงเมิ่งเหยาให้ป่นปี้สิ ใครจะไปคิดว่าแผนจะล่มเช่นนี้ได้”
“โอ๋ๆ ” นางหลัวโอบไหล่ของลูกสาวเพื่อปลอบประโลมนาง
หญิงสาวนั่นเป็นเพียงเด็กกำพร้าแล้วจะทำอะไรได้ นางจะไปทีใดได้อีกเล่า นางไม่ได้มาเพื่อให้พวกเขาเอาเปรียบหรอกรึ
เมื่อหยางเล่อเล่อกลับถึงบ้านก็คิดถึงสิ่งที่เด็กๆ พูดกันก่อนจะเจรจากับบิดาของตน “ท่านพ่อ เหยาเหยามีความรู้เรื่องการอ่านเขียนหนังสือ ท่านว่าเราให้นางมาสอนเด็กๆ ในหมู่บ้านอ่านหนังสือดีหรือไม่”
“แล้วนางอยากจะมาสอนหรือไม่เล่า” ค่าธรรมเนียมในการเข้าสถานศึกษานั้นแพงหูฉี่ หมู่บ้านของพวกเขาก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ต่อให้เด็กๆ หลายคนอยากจะเล่าเรียนแต่ก็ไม่มีโอกาส หากหนิงเมิ่งเหยาสามารถสอนพวกเขาได้ต้องเป็นเรื่องที่ดีมากแน่นอน
หยางเล่อเล่อยิ้มพลางหัวเราะ “เหยาเหยาเคยสอนเด็กๆ ให้เขียนอ่านเป็นเลยนะ ข้ามั่นใจว่านางเป็นคนดีและจะต้องเต็มใจช่วยอย่างแน่นอน เดี๋ยวข้าจะไปถามให้เอง หากนางตกลง ท่านพ่อก็ควรจะเข้าไปพูดคุยกับนางด้วยนะ”
“ทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก ข้าควรจะเป็นคนไปถามนางเองต่างหาก จึงจะดูจริงใจกว่า” หยางจู้ไตร่ตรองและส่ายศีรษะไม่เห็นด้วยกับความคิดของลูกสาว
ในเมื่อเขาต้องการเชิญให้หนิงเมิ่งเหยามาสอนเหล่าเด็กน้อยในหมู่บ้าน เขาจึงควรไปเยี่ยมนางด้วยตัวเองเพื่อแสดงความจริงใจ เพราะหากนางคิดว่าพวกเขาไม่จริงใจเกิดปฏิเสธขึ้นมา แล้วจะทำเช่นไรเล่า
หัวหน้าหมู่บ้านผู้นี้เพียงแค่อยากให้หญิงสาวสอนพื้นฐานให้เด็กๆ เท่านั้น ไม่ต้องถึงขนาดเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสอบจริงจัง เพราะอย่างน้อยพวกเขาจะได้มีทางเลือกเพิ่มขึ้นอีกหนทางหนึ่ง ไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไปที่ต้องสวดภาวนาจากสรวงสวรรค์เพื่อให้มีข้าวกิน
“ดีเลย ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปด้วยกันบ่ายวันนี้เลยดีหรือไม่ ข้าอยากไปเล่นกับนางด้วย” หยางเล่อเล่อเอ่ยพลางหัวเราะคิกคัก
นางชอบเล่นกับหนิงเมิ่งเหยาเพราะรู้สึกมีความสุขมากๆ เวลาอยู่ใกล้กับหญิงสาว
ตกบ่ายวันนั้น หยางจู้ก็เอาผลแตงโมที่ตนปลูก เดินทางไปบ้านของหนิงเมิ่งเหยาพร้อมกันกับลูกสาว
เมื่อหนิงเมิ่งเหยาเห็นหยางเล่อเล่อมาหาพร้อมกับผู้เป็นพ่อ ก็วางมือจากสิ่งที่กำลังทำก่อนเดินเข้าไปหาทั้งคู่ “ท่านหัวหน้าหมู่บ้านมาทำอะไรที่นี่หรือ”
หยางจู้เคยช่วยเหลือหญิงสาวอย่างดีตอนที่เพิ่งเข้ามาลงหลักปักฐานที่นี่ใหม่ๆ นางจึงเคารพนับถือชายผู้นี้อย่างมาก
“แม่หนู ลุงมีเรื่องอยากจะขอให้ช่วยสักหน่อย” เสียงของผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านสั่นเครือเล็กน้อยขณะมองหนิงเมิ่งเหยา ทำให้หญิงสาวรู้สึกฉงนใจจนต้องหันมองหยางเล่อเล่อซึ่งกำลังทำหน้าตาไร้เดียงสาอยู่ข้างๆ