บทที่ 3 หมู่บ้านไป๋ซาน
หนิงเมิ่งเหยาอดขมวดคิ้วไม่ได้หลังจากได้ยินเสียงนั้น ก่อนจะก้มหน้าก้มตามองสะดึงปักผ้าในมือ แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องเก็บสะดึงปักผ้าในชั้นวางและจัดข้าวของของตนให้เรียบร้อย ก่อนจะไปที่ประตูอย่างเสียไม่ได้
ตรงประตูที่เปิดอ้านั้น หยางซิ่วเอ๋อร์กำลังยืนรออยู่พร้อมกับสะพายตะกร้าไว้ข้างหลัง
“เมิ่งเหยา เจ้าบอกว่าจะขึ้นเขาวันนี้นี่นา ไปด้วยกันเถอะ” หญิงสาวยิ้มอย่างเขินอาย
เมื่อหนึ่งเดือนก่อนนางได้ยินมาว่ามีสาวกำพร้าคนหนึ่งเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านตรงเชิงเขาแห่งนี้เพียงลำพัง และระหว่างที่กำลังขุดดินหาผักตามป่าอยู่นั้น นางก็พบกับหนิงเมิ่งเหยาเป็นครั้งแรก
ตอนนั้นอีกฝ่ายสวมชุดผ้าฝ้ายและกำลังปลูกผักอยู่ในสวน จนหยางซิ่วเอ๋อร์รู้สึกราวกับกำลังมองนางฟ้านางสวรรค์อยู่ก็ไม่ปาน
เมื่อนางรู้จักหนิงเมิ่งเหยามากขึ้น และรู้ว่าหญิงสาวผู้นี้มีความสามารถในการเย็บปักถักร้อย จึงพยายามทำตัวตีสนิทเพื่อหวังจะเรียนรู้ทักษะจากนางบ้างเล็กน้อย
ไม่ว่าหนิงเมิ่งเหยาจะกินหรือทำอะไรก็ดูสง่างามไปหมด ทั้งยังทำอาหารอร่อย รวมถึงเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย หญิงสาวผู้นี้มีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการ ในขณะที่หยางซิ่วเอ๋อร์นั้นยังขาดตกบกพร่องอยู่
“ได้ รอข้าไปเอาตะกร้าสักครู่” หนิงเมิ่งเหยาเข้ามาในห้องเพื่อหยิบตะกร้าจากซากปรักหักพัก ก่อนจะปิดประตูบ้าน แล้วลั่นกุญแจตรงประตูใหญ่
แม้ว่าลานบ้านของหญิงสาวจะดูไม่ปลอดภัยนัก แต่เพราะเถาวัลย์ที่เลื้อยอยู่รอบๆ ลานบ้านนั้นเต็มไปด้วยหนามแหลมของดอกกุหลาบป่า ทำให้ไม่อาจมีใครสามารถเข้ามาได้ง่ายๆ นอกจากว่าพวกเขาจะต้องกระแทกประตูบานเก่านี้อย่างแรงเท่านั้น
“ไปกันเถอะ” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยพร้อมมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
หยางซิ่วเอ๋อร์ผงกศีรษะอย่างเหม่อลอย เพราะไม่เคยละสายตาจากรอยยิ้มของนางได้เลย ไม่ว่าจะเคยเห็นมาแล้วกี่ครั้งก็ตาม
เนื่องจากบ้านของหนิงเมิ่งเหยาอยู่ตรงเชิงเขา ทั้งคู่จึงใช้เวลาไม่นานก่อนจะเดินถึงบนยอดเขา
ขณะนี้เป็นช่วงกลางฤดูร้อน และก่อนหน้านี้ก็มีฝนตกลงมาแล้วสองครั้ง ทำให้บนภูเขาแห่งนี้มีเห็ดกินได้งอกเงยออกมาให้เห็นบ้างประปราย
ทั้งสองเสาะหาเห็ดกินได้และเด็ดมันใส่ในตะกร้าของตน ขณะนั้นเองหนิงเมิ่งเหยาเพิ่งสังเกตเห็นว่าหญิงสาวผู้ดูเหมือนจะเป็นคนดีนั้น แท้จริงแล้วกลับเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบเข้ากระดูกดำเลยทีเดียว
หากหยางซิ่วเอ๋อร์พบเห็นเห็ดอยู่ที่ใด ก็จะรีบเข้าไปเด็ดมันใส่ตะกร้าของตนจนเรียบ โดยไม่สนใจว่าเป็นต้นเล็กหรือใหญ่
เมื่อหนิงเมิ่งเหยาเห็นเช่นนั้น จึงทำได้แค่ยิ้มอย่างอ่อนใจแต่ไม่พูดอะไรออกมา หนำซ้ำยังเดินไปทางอื่นและค้นหาพืชผักที่ตนต้องการต่อ
หลังจากหยางซิ่วเอ๋อร์เด็ดถอนเห็ดกินได้รอบตัวจนหมดเกลี้ยง จึงหันมองหญิงสาวอีกคนที่อยู่ไม่ไกล ทำให้เห็นว่าตรงนั้นมีเห็ดกลุ่มใหญ่
นางมองเห็ดเหล่านั้นพลางคิดอย่างขุ่นเคืองใจว่าทำไมหนิงเมิ่งเหยาถึงไม่ยอมเรียกนางเข้าไป
หยางซิ่วเอ๋อร์หยิบตะกร้าของตนมุ่งหน้าไปทางนั้น ก่อนจะพบว่ายังเหลือเห็ดอีกมากมาย จึงวางตะกร้าลงข้างๆ กับหนิงเมิ่งเหยา พลางข่มอารมณ์ไม่พอใจลง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ตรงนี้มีเห็ดเยอะแยะเลย”
หยางซิ่วเอ๋อร์อุทานพร้อมทั้งเด็ดถอนเห็ดตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก ตะกร้าของนางก็เต็มไปด้วยเห็ดกองโตในขณะที่คนพบเห็ดเหล่านั้นอย่างหนิงเมิ่งเหยากลับเก็บมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หนิงเมิ่งเหยาเผยความไม่สบอารมณ์ในแววตา ขณะมองดูอีกฝ่ายเหมาเห็ดไปจนหมด ถึงกระนั้น นางยังคงเงียบและไม่ใส่ใจ ก่อนจะหยิบตะกร้าของตนไปทางอื่นอีกครั้ง
หยางซิ่วเอ๋อร์มองท่าทีของหญิงสาวผู้นี้แล้วเบะปากด้วยความจองหอง ต่อให้นางจะเป็นคนพบดงดอกเห็ดแล้วจะทำไมเล่า ในเมื่อสุดท้ายแล้วตนเป็นคนที่เด็ดพวกมันได้
ความผยองบดบังสายตาของหยางซิ่วเอ๋อร์จนมองไม่เห็นว่าหนิงเมิ่งเหยากำลังไม่พอใจและมองว่านิสัยของนางนั้นราวกับเป็นตัวตลกไร้ค่า ไม่ควรจะให้ความสำคัญ
พอถึงเวลาเที่ยงวัน หนิงเมิ่งเหยาก็เสนอว่าให้กลับบ้านกัน แม้ว่าทั้งคู่เพิ่งจะขึ้นมาบนยอดเขาได้ไม่นานนัก ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ค่อยพอใจ
“ไม่เร็วไปหน่อยหรือ ทำไมต้องกลับตอนนี้ด้วยเล่า” หยางซิ่วเอ๋อร์รู้ว่าตนเองมีโอกาสจะเจอเห็ดรวมถึงของป่ามากขึ้น หากคอยเดินตามหนิงเมิ่งเหยา จึงเป็นเหตุให้นางไม่ยอมกลับและอยากอยู่ต่ออีกสักครู่
หนิงเมิ่งเหยามองอีกฝ่ายด้วยความละเหี่ยใจ “แค่นี้ก็มากพอให้ข้ามีอะไรกินไปอีกสักพักใหญ่แล้ว” ไม่มีความจำเป็นให้อยู่นานกว่านี้แล้ว
หยางซิ่วเอ๋อร์อ้าปากค้างและอยากจะบอกว่าพืชผักที่นางเก็บมาได้นั้น ยังไม่พอจะเลี้ยงดูตระกูลของตนได้ถึงสองวันด้วยซ้ำ แต่เพราะมันไม่ใช่เรื่องของตนจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร
สุดท้ายแล้วนางก็ยอมเดินลงเขามากับหนิงเมิ่งเหยา พร้อมมีเสียงกระซิบอันขุ่นเคืองดังออกมา ครั้งหน้านางจะต้องชักชวนให้หญิงสาวผู้นี้มาด้วยกันอีกอย่างแน่นอน
หลังจากหยางซิ่วเอ๋อร์สะพายตะกร้าไว้ข้างหลังและจากไปแล้ว หนิงเมิ่งเหยาจึงหมุนตัวเพื่อจะกลับเข้าบ้าน แต่เมื่อหญิงสาวหันมาก็พบชายร่างสูงสวมชุดชาวบ้านคนหนึ่งกำลังเดินลงมาจากภูเขาพร้อมถือสัตว์ที่ล่ามาได้จำนวนมาก
มีทั้งไก่ฟ้า เนื้อกวาง บรรดาซากกระต่าย และสัตว์ชนิดอื่นอีกมากมาย
บทที่ 4 ไม่ได้รับเชิญ
“นี่ รอข้าก่อน” เมื่อชายคนนั้นมาถึงตรงเชิงเขาและกำลังจะเลี้ยวไปอีกทาง หนิงเมิ่งเหยาก็ร้องเรียกเขาให้หันมา
เฉียวเทียนช่างสังเกตเห็นหญิงสาวอยู่แล้ว หลังจากได้ยินเสียงเรียกจึงหยุดฝีเท้าลง ดวงตาคู่นั้นดูสงบและสุขุมขณะมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
หนิงเมิ่งเหยาถูจมูกของตนอย่างเหนียมอายหลังจากตระหนักว่าน้ำเสียงที่ตะโกนเรียกเมื่อครู่นั้นไม่สุภาพนัก
“ท่านพอจะขายไก่ฟ้าที่จับมาให้ข้าสักตัวได้หรือไม่” หญิงสาวเดินไปข้างๆ ชายหนุ่ม และเงยหน้าขึ้นมอง
ก่อนหน้านี้ทั้งคู่อยู่ห่างกัน หลังจากที่เข้าไปยืนใกล้ๆ นางถึงเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายตัวสูงมากขนาดไหน หญิงสาวสูงประมาณห้าฉื่อนิดๆ แต่กลับดูเหมือนเด็กน้อยตัวเล็กเมื่อมายืนเทียบกับชายตรงหน้า
เฉียวเทียนช่างพยักหน้ารับ และยื่นไก่ฟ้าให้หญิงสาว
“เท่าไหร่หรือ” หนิงเมิ่งเหยาถามพลางรับไก่ฟ้าจากเขา
“ห้าสิบอีแปะ”
“ดีเลย ช่วยรอประเดี๋ยว” หญิงสาวเดินเข้าบ้านหลังจากพูดจบ ชั่วครู่เดียวก็กลับมาอีกครั้งพร้อมเหรียญในมือ
ชายหนุ่มจากไปหลังจากได้รับเหรียญ ปลายจมูกของเขาฟึดฟัดราวกับยังได้กลิ่นหอมของหญิงสาวอยู่ รวมถึงเหรียญในมือนั้นก็ยังมีไออุ่นจากนางเช่นกัน
หนิงเมิ่งเหยาหมุนตัวไปเก็บไก่ฟ้าที่เพิ่งซื้อมา และคิดจะทำไก่ฟ้าตุ๋นเห็ดกินในตอนบ่าย
หญิงสาวไม่มีแผนจะออกไปข้างนอก หลังจากทานอาหารเสร็จ ก็กำลังจะเริ่มปักเย็บสะดึงผ้า ขณะนั้นเองหยางซิ่วเอ๋อร์ก็นำตะกร้าใส่อุปกรณ์เย็บปักถักร้อยที่เต็มไปด้วยด้าย ไม้ถักโครเชต์ และกระเป๋าเงินมา
เมื่อหนิงเมิ่งเหยาเห็นดังนั้น จึงพับแผนปักผ้าลงชั่วขณะ และลุกไปยังรั้วบ้านแทน
หญิงสาวออกมาอีกครั้งพร้อมถือจอบขนาดเล็กไว้ในมือ
หยางซิ่วเอ๋อร์เห็นจอบในมือคู่นั้นก็เดาะลิ้นแล้วตัดพ้อ “เมิ่งเหยา เหตุใดเจ้าถึงไม่ปักผ้าแล้วเล่า”
นางอุตส่าห์แบกอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยของตนถ่อมาถึงที่นี่ เพื่อหวังจะขโมยทักษะความรู้จากหนิงเมิ่งเหยา แต่อีกฝ่ายกลับถือจอบและเดินไปรดน้ำทำสวนพืชผักต่างๆ แทนเสียได้
หญิงสาวเจ้าของบ้านเงยหน้าขึ้นมองแขกผู้มาเยือนแล้วหัวเราะเบาๆ “อ้อ พอดีว่าสวนผักนี้มีวัชพืชเต็มไปหมด ข้าเลยต้องกำจัดมันออกน่ะ”
หยางซิ่วเอ๋อร์นั่งบนเก้าอี้ก่อนวางตะกร้าลงด้านข้าง “นั่นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ไว้ค่อยแยกวัชพืชออกจากต้นไม้คราวหลังก็ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องหาเงินนะ”
นางไม่รู้ว่างานปักผ้าของหนิงเมิ่งเหยานั้นขายได้ราคาเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้ว่ามันคงทำเงินได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ข้าไม่สนใจเงินจำนวนเล็กน้อยพวกนั้นหรอก เพราะมันไม่จำเป็นเลย” หญิงสาวส่ายศีรษะปฏิเสธและไม่สนใจอะไร ก่อนจะหมุนตัวกลับมาถางวัชพืชต่อ
มือของหยางซิ่วเอ๋อร์แข็งเกร็งไปเล็กน้อย ปลายนิ้วอันหยาบกร้านซึ่งกำลังถือเข็มกับด้ายอยู่นั้นซีดเผือด สีหน้าของนางถมึงทึง
บรรยากาศเริ่มแปลกไป ในขณะที่คนหนึ่งเย็บปักถักร้อยพลางเหลือบมองไปทางสวนผักบ้างเป็นครั้งคราว ทว่าหญิงสาวอีกคนกลับไม่สนใจนางผู้นั้นเลย
หลังจากหนิงเมิ่งเหยารู้สึกถึงสายตาของหยางซิ่วเอ๋อร์อยู่พักหนึ่ง ก็เงยหน้ามองกลับอย่างไม่อาจคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ “ท่านต้องการอะไรหรือ”
หยางซิ่วเอ๋อร์ผงกศีรษะอย่างกระอักกระอ่วน และก้มมองตะกร้าปักผ้าของตนด้วยดวงตาเป็นประกาย “เมิ่งเหยา เจ้าช่วยมาดูงานปักตรงนี้หน่อยเถอะ ไม่ว่าข้าจะทำเช่นไรมันก็ออกมาแย่ตลอดเลย”
นางหยิบผ้าเช็ดหน้าปักลายผกามาศสีอ่อนผืนหนึ่งขึ้นมา มันเกือบจะดูดี แต่ทว่ากลีบดอกไม้นั้นกลับเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป
หนิงเมิ่งเหยาหยุดงานของตนและเดินมาข้างๆ ก่อนก้มดูผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น “ตรงจุดนี้อย่าเย็บแบบปักเรียบ แต่ให้ใช้วิธีเย็บแบบปักไขว้เป็นรูปกากบาทแทน เจ้าลองดู”
“อ้อ ได้เลย” หยางซิ่วเอ๋อร์ปรับวิธีตามคำแนะนำของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว และตระหนักได้ว่าชิ้นงานที่แก้เสร็จแล้วนี้ดูดีกว่างานชิ้นก่อนๆ ที่เคยทำอย่างยิ่ง
นางผงกศีระษะอย่างพึงพอใจ หลังจากนั้น เวลามีเรื่องไม่เข้าใจ นางก็จะเรียกหาหนิงเมิ่งเหยาไม่หยุดหย่อน จนหญิงสาวไม่เป็นอันทำงานของตน
แววตาของหนิงเมิ่งเหยาสะท้อนความหงุดหงิดเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเรียกตนอีกครั้ง นางเงยหน้าขึ้นก่อนปรายตามอง “ถ้าเจ้ายังทำตามที่ข้าบอกไม่ได้ ก็จงอย่าพยายามทำอะไรเกินตัวเลย”
หยางซิ่วเอ๋อร์แสดงอาการไม่ชอบใจในทันที เพราะไม่คิดว่าหญิงสาวผู้งดงามจะใจร้ายไม่ยอมช่วยเหลือ ทั้งที่นางก็ทำตัวเป็นมิตรที่ดีคนหนึ่ง
หลังจากไม่ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ หยางซิ่วเอ๋อร์ก็จ้องมองหนิงเมิ่งเหยาราวกับจะเขมือบทั้งตัว
“เมิ่งเหยา ข้าขอให้เจ้าช่วยสอนข้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำไมต้องมาดุด่ากันด้วย” หยางซิ่วเอ๋อมองค้อนหนิงเมิ่งเหยาพลางบ่นพึมพำราวกับอีกฝ่ายเป็นคนผิด