ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 27 รักษาหลิวเฟิงเงิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 27 รักษาหลิวเฟิงเงิน

 

ตอนที่ 27 รักษาหลิวเฟิงเจิ้น

 

แม้หลี่ฮั่วเฉินจะรู้สึกว่า วิธีการรักษาคนไข้ด้วยการปลูกถ่าย จุลินทรีย์ จะเป็นหนทางเดียวที่เหลืออยู่ในเวลานี้ แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่า วิธีนี้จะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยหายจากอาการท้องร่วงได้จริงหรือไม่?

 

หลังจากที่ไม่สามารถตอบคําถามของฉีเลยได้ในที่สุดหลี่ฮั่วเฉินจึงเป็นฝ่ายย้อนถามชายหนุ่มแทน

 

“อืมม. ข้อโต้แย้งของเธอฟังดูมีเหตุผลมากทีเดียว แต่แทนที่จะถามฉัน ทําไมถึงไม่บอกฉันมาเลยล่ะว่า ในความเห็นของเธอ เธอคิดว่าลําไส้ของคนไข้มีปัญหาอะไรกันแน่?”

 

หลี่ฮั่วเฉินเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที เขาต้องการที่จะใช้โอกาสนี้ ทดสอบดูว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาเวลานี้ จะมีความรู้ความสามารถทางด้านการแพทย์สูงส่ง และล้ําลึกเพียงใด? หรือจะเป็นแค่คนอวดรู้คนหนึ่งเท่านั้น..

 

“ถ้าต้องการให้ผมวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้องแม่นยํา ผมคงต้องขอตรวจอาการคนไข้ดู!”

 

จากน้ําเสียงและคําพูดของหลี่ฮั่วเฉินเวลานี้ ฉีเลยเข้าใจได้ทันทีว่า อีกฝ่ายกําลังให้โอกาสกับเขา จึงได้แต่ตอบกลับไปอธิบายต่อด้วยสีหน้าที่จริงจังเคร่งขรึม

 

“แต่จากการสังเกตอาการเบื้องต้นเท่าที่เห็นนั้น ผมคิดว่าอาการเจ็บป่วยของคนไข้ในเวลานี้ น่าจะมีสาเหตุมาจากสภาวะร้อนภายนอก และเย็นภายใน และต้นเหตุนี้ก็เกิดจากร่างกายของคนไข้นั้นเย็นเกินไป

 

“ภายในเย็นงั้นเหรอ?”

 

จ้าวโจวเฉินพูดแทรกขึ้นมาทันที พร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้าฉีเลย และแสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับเขาอย่างชัดเจน

 

“นี่เธอตาบอดหรือยังไง? ไม่เห็นเหรอว่าผู้ป่วยมีไข้สูงมาก?”

 

“หุบปาก!”

 

หลี่ฮั่วเฉินหันไปตวาดใส่หน้าผู้อํานวยการจ้าว คิ้วทั้งสองข้างของเขาขมวดเข้าหากันแน่น พร้อมกับจ้องมองจ้าวโจวเฉินด้วยดวงตาขถึงทิ้ง

“ถ้าคุณมีแผนการรักษาที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ก็พูดมา! แต่ถ้าไม่มีก็ยืนเฉยๆ แล้วก็หุบปากซะ!”

 

“พระเจ้า….”

 

ในขณะที่จ้าวโจวเฉินถึงกับนิ่งเงียบพูดไม่ออก แพทย์คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้อง ต่างก็ได้แต่ร้องอุทานอยู่ในใจ ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้สึกเช่นเดียวกันว่า เรื่องที่เหลือเชื่อที่สุด ได้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้แล้ว!

 

“ท่านหมอหลีถึงกับสั่งให้ผู้อํานวยการจ้าวหุบปากเชียวเหรอนี่? นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่?”

 

เวลานี้ ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างก็รู้สึกว่า สมองของพวกเขายังมีไม่เพียงพอ ที่จะคิดหาเหตุผลให้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งหมดได้แต่ร้องอุทานอยู่ภายในใจว่า

 

“เหลือเชื่อ! เหลือเชื่อจริงๆ!”

 

หลี่ฮั่วเฉินไม่แม้แต่จะสนใจแพทย์คนอื่นๆในห้อง เขาหันไปถามนี่เล่ยต่อทันที “สิ่งที่เธอกําลังจะบอกก็คือ.. เนื่องจากชีใน ร่างกายของคนไข้เย็นเกินไป จึงทําให้ลําไส้ทํางานผิดปกติอย่างนั้นหรือ? แล้วนี่ก็คือต้นเหตุที่ทําให้คนไข้มีอาการถ่ายไม่หยุด และเพราะสาเหตุนี้ ยาฆ่าเชื้อต่างๆจึงไม่สามารถใช้ได้ผลกับคนไข้สินะ?”

 

ฉีเลยพยักหน้า และตอบกลับไปทันที “ใช่ครับ!”

 

หลี่ฮั่วเฉินทําสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะถามฉีเล่ยต่อว่า “ในเมื่อเธอบอกว่าภายในของคนไข้เย็นเกินไป แล้วเรื่องไข้ที่ สูงล่ะเธอจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง?”

 

ฉีเล่ยตอบกลับอย่างรวดเร็ว “สาเหตุก็เกิดจากพลังเย็นนี้เช่นกัน! เมื่อหานเสีย*ควบแน่นอยู่ภายในร่างกาย ก็จะทําการขับไอร้อนที่อยู่ภายในออกมานอกร่างกาย และไอร้อนเหล่านั้นก็จะมารวมกันอยู่ตามพื้นผิวของร่างกาย ทําให้ผู้ป่วยมีไข้สูงยังไงล่ะครับ!”

 

หลี่ฮั่วเฉินได้แต่พยักหน้าหมึกๆ พร้อมกับพึมพําเบาๆ “อืมม.. ที่เธอพูดมาก็มีเหตุผล!”

 

หลังจากที่แพทย์คนอื่นๆ หายจากอาการตกใจเมื่อครู่ และกลับมาพบว่า เวลานี้ท่านหมอหลี่กําลังปรึกษาหารือเรื่องอาการปวยของคนไข้ กับแพทย์ฝึกหัดอย่างเอาจริงเอาจัง พวกเขาก็ถึงกับต้องตกใจอย่างมาก ซึ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้

 

ในขณะที่จ้าวโจวเฉินนั้น ได้แต่ยืนอยู่ข้างๆหลี่ฮั่วเฉินด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ําจนเกือบม่วง เพราะความโมโหโทโส

 

หลังจากที่ถูกหลี่ฮั่วเฉินตวาดไล่ต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชามากมายเช่นนี้ จ้าวโจวเฉินก็รู้สึกเสียหน้าอย่างมาก และเวลานี้เขาก็ทั้งโกรธและอับอาย จนแทบอยากจะมุดรูหนีไปจากที่นี่โดยเร็ว

 

ในฐานะที่เป็นถึง “แพทย์หลวง” หลี่ฮั่วเฉินย่อมมีความรู้ที่กว้าง และลึกมากกว่าจ้าวโจวเฉิน จึงไม่ได้คิดอะไรตื้นเขินเช่น

เขา

 

ในกระบวนการดูแลรักษาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศนั้น นอกจากในทีมแพทย์จะมีแพทย์แผนปัจจุบันแล้วยังจะต้องมีแพทย์แผนจีนร่วมทีมอยู่ด้วย

 

ด้วยเหตุนี้ หลี่ฮั่วเฉินจึงได้มีโอากาสติดต่อ และสนทนาแลก เปลี่ยนความรู้ด้านการแพทย์ กับแพทย์แผนจีนอยู่เป็นประจําสม่ําเสมอ ทําให้เขาได้พบเห็นความอัศจรรย์ของแพทย์แผนจีนอยู่หลายต่อหลายครั้ง

 

และที่สําคัญ ทําให้เขามีโอกาสได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฎีพื้นฐานของแพทย์แผนจีนด้วย และในฐานะหัวหน้าทีมแพทย์หากไม่มีความรู้เกี่ยวกับแพทย์แผนจีนเลย โอกาสที่จะรักษาผิดพลาดหากเกิดโรควิกฤตินั้น จึงสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายมาก

 

และในการรักษาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศ ต้องไม่ มีคําว่าผิดพลาดเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด!

 

การได้เป็นแพทย์ประจําตัวติดตามผู้บริหารระดับสูงของประเทศก็ไม่ต่างจากการติดตามพยัคฆ์ร้าย หากไม่ระมัดระวังให้ดีก็อาจเกิดอันตรายกับตัวเองได้!

 

หลี่ฮั่วเฉินก้าวเข้าไปใกล้ฉีเลยมากขึ้น พร้อมกับถามขึ้นว่า“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยบอกฉันทีว่า พลังเย็นพวกนั้นเกิดขึ้นได้ยังไงกัน?”

 

ฉีเลยส่ายหน้าไปมาพร้อมตอบกลับไปว่า “เรื่องนั้นอธิบายได้ยาก ผมจําเป็นต้องตรวจคนไข้อย่างละเอียดอีกครั้งก่อน จึงจะสามารถตอบได้”

 

“เอาล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว!”

 

จากนั้น หลี่ฮั่วเฉินก็หันไปบอกไต่คุนว่า “ท่านผู้ว่าผมขอเสนอให้หมอหนุ่มคนนี้เป็นคนรักษาภรรยาของคุณ!” 

 

“ท่านหมอหลี่ มันจะไม่เหมาะสมนะครับ”

 

ผู้อํานวยการโจวรีบร้องทัดทานขึ้นทันที แต่หลี่ฮั่วเฉินกลับยกมือขึ้นห้าม พร้อมกับประกาศต่อหน้าทุกคนว่า

 

“เรื่องนี้ผมจะรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นเอง!”

 

เวลานี้ ไต่คุนเองก็ยังงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็ยังไม่ต้องการที่จะสอบถามอะไรตอนนี้ อีกทั้งภายในห้องนี้ผู้ที่มีทักษะทางการแพทย์ล้ําเลิศที่สุดก็คือหลี่ฮั่วเฉิน ในเมื่อเขายืนยันที่จะให้แพทย์ฝึกหัดคนนี้ทําการรักษา ย่อมต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างแน่!

 

“ตกลง!”

 

ไต่คนพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ในเมื่อท่านหมอหลี่เป็นหัวหน้าทีมแพทย์ในครั้งนี้ ทุกอย่างก็ขอให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณก็แล้วกัน!”

 

ความจริงแล้ว หลังจากที่ได้เห็นท่าที่เปลี่ยนไปของหลี่ฮั่วเฉิน ไต่คนก็ได้แต่สันนิษฐานอยู่ในใจว่า แพทย์ฝึกหัดคนนี้น่าจะต้องเป็นหมอที่ต่งซีหยุนเล่าให้เขาฟังแน่ แต่เป็นเพราะภายในห้องมีคนอยู่มากมาย เขาจึงยังไม่ต้องการถามเรื่องนี้ขึ้นมา

 

ไต่คุนไม่เพียงมีตําแหน่งเป็นถึงผู้ว่าประจํามณฑล แต่เขายังมีธุรกิจอยู่ในมืออีกมากมาย จึงไม่เหมาะสมที่จะให้คนนอกได้รู้ว่า คนที่มีตําแหน่งอยู่ในราชการอย่างเขา จะมี ความสนิทสนมใกล้ชิดกับพวกนักธุรกิจ

 

เพื่อที่จะไต่เต้าขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุดในอาชีพ ทุกคนต่างก็มีวิธีการ และหนทางของตัวเอง..

 

เมื่อเห็นว่าไต่คุนยินยอมตามนั้น หลี่ฮั่วเฉินจึงได้ เดินนําฉีเลยออกไปจากห้องนั่งเล่น พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฉีเลย ตามฉันมา!”

 

ภายในห้องผู้ป่วย เมื่อหลิวเฟิงเฉินได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาเธอก็ลืมตาขึ้นมองหลี่ฮั่วเฉินทันที พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสี หน้าและน้ําเสียงกระวนกระวายใจอย่างมาก

 

“คุณหมอหลีไม่จําเป็นต้องอธิบายอะไรค่ะ ฉันขอปฏิเสธการรักษา และไม่ยินยอมที่จะรักษาด้วยวิธีที่คุณแนะนํา!”

 

หลี่ฮั่วเฉินไม่ถือสา และหันไปพูดกับคนไข้ด้วยน้ําเสียงอ่อนโยน “ถ้าอย่างนั้น จะทดลองรักษาด้วยแพทย์แผนจีนมั้ยล่ะ?”

 

หลิวเฟิงเจิ้นถึงกับหน้าเสีย เพราะคิดไม่ถึงว่าหลี่ฮั่วเฉินจะไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้น เธอจึงได้แต่ทําสีหน้ากระอักกระอ่วนและตอบกลับไปว่า

 

“ขอแค่ไม่ใช่วิธีที่น่าเกลียดนั้น ฉันก็ยอมที่จะรักษาค่ะ…”

หลิวฮั่วเฉินโบกมือส่งสัญญาณให้ฉีเลยเข้ามาในห้อง และให้เขาได้ทําการรักษาคนไข้ดู หากเป็นหมอคนอื่น คงจะต้องตื่นเต้นอย่างมาก ที่จู่ๆ ก็ต้องมาทําการรักษาให้กับภรรยาท่านผู้ว่าประจํามณฑลแบบนี้

 

แต่ฉีเลยกลับมีสีหน้าสงบนิ่งอย่างมาก และทันทีที่หลี่ฮั่วเฉินกวักมือเรียก ชายหนุ่มก็ก้าวเดินเข้าไปด้วยท่าทางสบายๆ ไม่มีอาการตื่นกลัวแสดงออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย 

 

หลี่ฮั่วเฉินเห็นเช่นนั้น ก็ได้แต่นึกชมอยู่ในใจ “หมอฝึกหัดคนนี้นอกจากจะมีความรู้ทางการแพทย์ที่ไม่ธรรมดาแล้วลักษณะท่วงท่า สีหน้า และความมั่นอกมั่นใจ ยังไม่ต่างจากแพทย์แผนจีนระดับประเทศที่ฉันเคยพบเห็นมาอีกด้วย!”

 

หลังจากที่ได้เห็นว่า แพทย์แผนจีนคนนี้ยังคงหนุ่มแน่น หลิวเฟิงเฉินก็เริ่มรู้สึกคลางแคลงใจเป็นอย่างมาก! 

 

“เท่าที่ฉันเคยเห็นมา หมอจีนเก่งๆ จะต้องมีอายุ แล้วก็มีหนวดเคราขาวโพลนไม่ใช่เหรอ? แต่นี่ทําไมยังดูหนุ่มแน่นอยู่เลย..

 

ในเมื่อรู้สึกสงสัย หลิวเฟิงเจิ้นจึงได้เอ่ยถามเลยว่า “นี่เธอเคยรักษาคนไข้มาก่อนหรือเปล่า?”

 

ฉีเลยฟังแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้ตอบคําถามคนไข้ เพียงแต่ร้องบอกด้วยน้ําเสียงอ่อนโยน 

 

“ท่านหมอหลี่เป็นคนอนุมัติให้ผมมารักษาคุณเองครับ! ขอผมตรวจชีพจรคุณหน่อยนะครับ!

 

หลิวเฟิงเจิ้นถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแม้ว่าเธอจะคัดค้านแผนการรักษาของหลี่ฮั่วเฉิน แต่เธอก็ยังเชื่อมั่นในฝีมือและความรู้ทางการแพทย์ของเขา ในเมื่อหลี่ฮั่วเฉินเป็นคนอนุมัติด้วยตัวเองเช่นนี้ เธอก็รู้สึกมั่นอกมั่นใจขึ้นมาทันที

 

หลังจากสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนไข้ได้แล้ว ฉีเลยก็ได้วางนิ้วมือทั้งสามของตนเอง ลงไปบนข้อมือของคนไข้ จากนั้นจึง นั่งหลับตานิ่งเงียบ คล้ายกับหลวงจีนที่กําลังนั่งทําสมาธิ

 

จ้าวโจวเฉินอยากจะพุ่งเข้าไปหยุดเล่ย แต่ก็เกรงว่าถูกหลีฮั่วเฉินตวาดใส่หน้าอีกครั้ง จึงได้แต่ถอยกลับมา และพยายามกล้ํากลืนคําพูดทั้งหมดกลับเข้าไปในลําคอ

 

หลังจากทําการจับชีพจรที่ข้อมือขวาแล้ว ฉีเลยก็ลุกขึ้นไปยีนอีกด้านของเตียง และทําการตรวจชีพจรที่ข้อมือซ้ายของคน

 

จนกระทั่งผ่านไปราวหนึ่งนาที ในที่สุดฉีเล่ยก็พูดกับหลิวเฟิงเจิ้นว่า “คุณรู้สึกเย็นบริเวณท้อง แล้วก็ปวดท้องใช่มั้ยครับ?”

 

หลิวเฟิงเฉินเพียงแค่พยักหน้า แต่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมอง.. 

 

“คุณรู้สึกมีอาการบวมที่หน้าอก ปวดศรีษะ ปวดหลัง แผ่นหลังแข็งตึง แล้วก็จมูกแห้งใช่มั้ยครับ?”

 

ในระหว่างที่เอ่ยถาม ฉีเลยก็ได้ออกแรงกดที่นิ้วชี้ข้างซ้ายของหลิวเฟิงเจิ้น และค่อยๆไล่ไปจนถึงข้อศอกของเธอ จากนั้นก็จับนิ้วมือของเธอขยับไปมา แล้วจึงออกแรงกดลงบนปลายนิ้วชี้อีกครั้ง

 

หลังจากที่ทําแบบเดิมซ้ําๆอยู่เช่นนี้ถึงสองครั้ง จู่ๆ หลิวเฟิงเจิ้นก็ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ

 

“ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลย!”

 

หลิวเฟิงเจิ้นลืมตาขึ้นมาทันที พร้อมกับระส่ําระลักพูดออกไปว่า “ฉัน.. ฉันไม่รู้สึกปวดท้องแล้ว ฉัน.. เอ่อ. คุณหมอช่วยกดแบบเมื่อกี้อีกเร็วเข้า!”

 

น้ําเสียงของหลิวเฟิงเจิ้นดูกระตือรือร้น แล้วก็ตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก!

*หานเสีย ปัจจัยก่อโรคที่เกิดจากความเย็น – ความเย็นเป็นปัจจัยภายนอกที่ทําให้เกิดโรค มีลักษณะคือ ทําให้หนาวเย็นเกาะจับตัว เป็นต้น

 

ฝากนิยายของทีมงานด้วยนะคะ

 

เรื่อง : ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

 

จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ําเลิศยิ่ง

 

“เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว

 

“หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว

 

“เวลานี้ ผมเป็นอิสระแล้ว!”

 

เรื่อง : ลูกเขยยอดนักฆ่า

 

เขาคือนักฆ่าอันดับหนึ่งในโลกของวงการทหารรับจ้างฉายาของเขาคือ นักฆ่าอาซูร่า”

 

ศัตรูได้ยินเพียงแค่ชื่อของเขา ก็ถึงกับหวาดกลัวจนหัวหด!!

 

เขามีทักษะทางด้านการแพทย์ที่น่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชา “เก้าเข็มเปิดนภา” ทักษะทางการแพทย์ที่ล้ําเลิศอย่างไร้ที่ติของเขานี้ ได้ช่วยชีวิตของผู้คนในสนามต่อสู้ไว้ได้มาก มายอย่างนักไม่ถ้วน

 

และด้วยความบังเอิญ เขาได้กลายมาเป็นลูกเขยของตระกูลที่มั่งคั่งตระกูลหนึ่ง

 

หลายคนอาจคิดว่าการเป็นลูกเขยในตระกูลที่ร่ํารวยมั่งคั่งเช่นนี้ คงจะต้องทนอยู่อย่างอัปยศอดสู และถูกเหยียดหยามสินะ?

 

แต่มิใช่หลินหนาน!! เขาคือลูกเขยที่พ่อตารักยิ่ง และกลายเป็นลูกเขยผู้ยิ่งใหญ่ของเมืองนี้!

 

 

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset