ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 25 การปลูกถ่ายจุลินทรีย์

 

ตอนที่ 25 การปลูกถ่ายจุลินทรีย์

 

หลังจากได้ฟังคําตอบ และตรวจดูอาการของคนไข้คร่าวๆแล้วหลี่ฮั่วเฉินก็พอที่คาดเดาอะไรบางอย่างได้เมื่อเห็นคนไข้ดูอ่อนเพลียอย่างมากเขาจึงไม่ต้องการสอบถามอะไรอีกและหันไปบอกกับจ้าวโจวเฉินว่า

 

“เอาล่ะ พวกเราออกไปปรึกษากันข้างนอกดีกว่าคนไข้จะได้นอนพักผ่อน!”

 

และตามกฎระเบียบ และมารยาททางการแพทย์แล้วการปรึกษาหารือเรื่องอาการป่วยของคนไข้หรือปรึกษาเรื่องหนทางการรักษานั้นไม่ควรทําต่อหน้าผู้ป่วยอย่างยิ่ง

 

ในระหว่างที่ทุกคนกําลังเดินออกไปนอกห้องนั้นในที่สุดฉีเล่ยจึงได้มีโอกาสเดินเข้าไปสังเกตดูอาการของผู้ป่วยและจากสภาพของคนไข้ ที่นอนอ่อนเพลียไร้เรียวแรงอยู่บนเตียงนั้นแทบดูไม่ออกเลยว่าเธอคือสตรีหมายเลขหนึ่งประจํามณฑล

 

อุปกรณ์การแพทย์ที่วางอยู่ข้างเตียงเวลานี้แสดงอุณหภูมิในร่างกายของคนไข้ ซึ่งเวลานี้อยู่ที่ 38.1 องศาเซลเซียสและเป็นเช่นนี้มาหลายวันแล้ว

โดยปกติแล้ว หากร่างกายมีอุณหภูมิสูงเป็นเวลานานๆ ร่างกายก็จะถูกความร้อนนี้เผาผลาญไปด้วย ทําให้เกิดอาการผิวพรรณและริมฝีหากแห้ง ใบหน้ามักจะแดงก่ําตลอดเวลาบางรายอาจหนักถึงขั้นจิตใจสับสนว้าวุ่น

 

แต่ฉีเล่ยกลับสังเกตเห็นว่าผู้ป่วยที่อยู่ตรงหน้าเขาเวลานี้กลับไม่มีอาการที่ว่ามาเลยแม้แต่น้อยเธอยังสามารถตอบคําถามของหลี่ฮั่วเฉินได้อย่างมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน

ฉีเล่ยขมวดคิ้วเข้าหากัน

 

นี่แสดงให้เห็นว่าแม้คนไข้จะมีไข้ก็จริงแต่กลับไม่ได้หนักหนาอะไรตรงกันข้ามภายในร่างของเธอดูเหมือนจะมีพลังงานเย็นแอบแฝงอยู่

 

แต่เป็นเพราะเวลานี้หมอคนอื่นๆต่างก็เดินออกจากห้องคนไข้ไปแล้วจึงไม่สะดวกและเหมาะสมนักที่นี่เล่ยจะอยู่สํารวจคนไข้ต่อ เขาจึงได้แต่เดินตามทุกคนออกไป

 

หลังจากที่ทุกคนเดินออกจากห้องคนไข้และปิดประตูเรียบร้อยแล้ว ห้องนั่งเล่นจึงได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นห้องประชุมแทนชั่วคราว

 

หลี่ฮั่วเฉินหันไปถามผู้อํานวยการโจวว่า “แล้วผลการตรวจอุจจาระของคนไข้เป็นยังไงบ้าง?”

 

“อุจจาระของคนไข้เป็นน้ํา มีสีเขียวอมเหลือง และมีฟองอากาศอยู่จํานวนมาก นอกจากนั้นแล้ว เสียงลําไส้ยังทํางานดังมากด้วยจากสถิติที่จดไว้ คนไข้ถ่ายหนักตั้งแต่เจ็ดถึงยี่สิบครั้งต่อวัน..”

 

หลี่ฮั่วเฉินพยักหน้ารับรู้ หลังจากฟังอาการแล้ว เขาก็รู้สึกว่าตรงกับที่ตนเองคาดคิดไว้จึงได้ตอบไปว่า

 

“น่าจะเกิดจากการที่ลําไส้ของคนไข้มีเชื้อแบคทีเรียอยู่หลายชนิด!”

 

“ขอผมดูผลตรวจที่ผ่านมาหน่อย!”

 

จ้าวโจวเฉินรีบส่งรายงานผลการตรวจในมือให้กับท่านหมอหลีทันที “ท่านหมอหลี่ครับนี่เป็นแฟ้มประวัติการรักษาคนไข้ทั้งหมดที่ผ่านมา”

 

หลี่ฮั่วเฉินรับรายงานฉบับนั้นมา เขายกมือขี้นจับกรอบแว่นขยับให้เข้าที่ ก่อนจะเปิดแฟ้มออกอย่างชํานิชํานาญพร้อมกับกวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว

 

จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่ฮั่วเฉินจึงได้วางแฟ้มประวัติในมือลง พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ดูท่าสิ่งที่ผมคิดไว้จะถูกต้อง!”

“จากผลการตรวจอุจจาระของคนไข้อย่างละเอียดพบเชื้อ แบคทีเรียหลายชนิดอย่างที่คิดจริงๆเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้น่าจะขยายจํานวนเพิ่มมากขึ้น ในผลการตรวจพบว่านอกจากจะมีเชื้อแบคทีเรียประเภทสแตฟิโลค็อกคัสออเรียสแล้วยังมีเชื้อCandida albicans ตระกูลเชื้อราอยู่ด้วย…”

 

“นี่เห็นได้ชัดว่า เป็นเพราะในลําไส้ผู้ป่วยมีเชื้อแบคทีเรียอยู่มากเกินไป ทําให้ลําไส้ทํางานผิดปกติรุนแรงซึ่งนี่เป็นอาการของโรคลําไส้ปกติธรรมดาทั่วไป..”

 

สายตาของโจวจ้าวเฉินที่มองท่านหมอหลีนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างมาก และได้แต่คิดในใจว่าสมแล้วที่เป็นงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่ง ขนาดยังไม่เห็นผลการตรวจอุจาระยังสามารถวิเคราะห์โรคได้อย่างถูกต้องแม่นยํา

 

และสิ่งที่ยากที่สุดสําหรับแพทย์ ก็คือการวินิจฉัยโรคให้ถูกต้องแม่นยํานั่นเอง!

 

ขอเพียงแค่แพทย์วินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง แพทย์แผนปัจจุบันก็ย่อมมีแนวทางการรักษาซึ่งเป็นมาตรฐานในการรักษาโรคต่างๆไว้แล้วและไม่ว่าแพทย์คนใดก็ย่อมต้องใช้แนวทางการรักษาเหมือนๆกัน

 

“ผมเองก็เห็นด้วยกับข้อสรุปของท่านหมอหลี่ครับ!” 

 

เวลานี้ ทั้งจ้าวโจวเฉิน และทีมแพทย์ที่อยู่ในห้องต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคําวินิจฉัยของหลี่ฮั่วเฉิน

 

จากนั้น จ้าวโจวเฉินก็ได้เอ่ยถามหลี่ฮั่วเฉินว่า “ในเมื่อวินิจฉัยโรคได้แล้ว วิธีการรักษาล่ะครับท่านหมอหลี?”

 

หลี่ฮั่วเฉินจึงถามขึ้นว่า “มีการให้ยาฆ่าเชื้อไปบ้างหรือยัง?”

 

“ให้แล้วครับ! ทางเราให้ในจํานวนที่จําเป็นต้องใช้ถึงสองเท่าแต่ว่า…” จ้าวโจวเฉินส่ายหน้าไปมา แทนการตอบว่าการรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อนั้นไม่ได้ผล

 

“แล้วลองฉีดยากระตุ้นภูมิคุ้มกันแบคทีเรียควบคู่ไปด้วยแล้วหรือยัง?” หลี่ฮั่วเฉินเอ่ยถาม

 

“ทําแล้วครับ แต่ก็…” จ้าวโจวเฉินส่ายหน้าไปมาอีกครั้ง

 

หลังจากได้ฟังคําตอบ สีหน้าของหลี่ฮั่วเฉินจึงได้เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เพราะคิดไม่ถึงว่าเมื่อทําถึงสองวิธีแล้ว เหตุใดอาการยังไม่ดีขึ้น?

 

ขณะนี้ อาการของผู้ป่วยอยู่ในขีดอันตรายมากเพราะไม่ว่าจะทําเช่นใด ก็ไม่สามารถหยุดอาการท้องเสียของคนไข้ได้หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าร่างกายของคนไข้คงไม่อาจทานทนต่อไปได้แน่

 

จําเป็นต้องหาหนทางการรักษาอย่างเร่งด่วนแต่จะทําอย่างไร

 

ขณะนี้ หลี่ฮั่วเฉินได้แต่เดินกลับไปกลับมาภายในห้องนั่งเล่น พร้อมกับเอามือสองข้างไพล่หลังไว้ซึ่งเป็นท่าทางที่เขาทําเป็นประจําในยามที่ต้องใช้ความคิด

 

หลี่ฮั่วเฉินเดินกลับไปกลับมาอยู่นานเกือบสองนาทีในที่สุดก็หันไปถามว่า “ได้มีการทดลองปลูกถ่ายเชื้อจุลินทรีย์เข้าไปในร่างของคนไข้บ้างหรือยัง?”

 

จ้าวโจวเฉินทําสีหน้ากระอักกระอ่วนบ่งบอกถึงความลําบากใจขึ้นมาทันที เพราะผู้ป่วยเป็นถึงภรรยาของท่านผู้ว่าไต่คุนทีมแพทย์จึงไม่กล้าที่จะทดลองมั่วชั่ว..

 

หลี่ฮั่วเฉินดูเหมือนจะเข้าใจความลําบากใจของทีมแพทย์ดีเขาจึงได้บอกว่า ในเมื่อยังหาวิธีรักษาไม่ได้ก็ต้องลองวิธีนี้ดูและเขาจะเป็นคนอธิบายให้ผู้ว่าไต่คนฟังเอง..

นับตั้งแต่หลิวเฟิงเจิ้นถูกส่งตัวเข้ามารักษาในโรงพยาบาลนั้น ไต่คุนเองก็ไม่เคยปริปากถามถึงวิธีการรักษาของทีมแพทย์เลยเพราะเกรงว่าคําถามของเขานั้นจะส่งผลต่อการตัดสินใจของทีมแพทย์

 

แต่เมื่อเห็นว่า อาการของหลิวเฟิงเจิ้นผู้เป็นภรรยาไม่เพียงไม่ดีขึ้น แต่ดูเหมือนจะทรุดลงกว่าเดิมด้วย เขาจึงไม่สามารถทนนิ่งเฉยต่อไปได้อีก

 

ในระหว่างที่ไต่คุนเดินเข้ามาในห้องนั้น ทีมแพทย์ของโรงพยาบาลต่างพากันนั่งเก็บแขนเก็บขาอย่างเรียบร้อยในขณะที่ใบหน้าสี่เหลี่ยมซึ่งมีคิ้วหนาสองข้างประดับอยู่นั้นก็ได้หันไปทางโจวเหอ และทีมแพทย์ทั้งหมดพร้อมกับพูดขึ้นว่า

 

“ผมต้องขอบคุณทุกท่านที่ตั้งใจกันอย่างเต็มที่!”

 

จากนั้น ผู้ว่าไต่คนก็ได้หันไปทางหลี่ฮั่วเฉินพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านหมอหลี ขอบคุณที่เดินทางมาหนานหยางเพื่อรักษาภรรยาของผมด้วยตัวเองคงต้องรบกวนท่านหมอหลี่แล้ว!”

 

หลี่ฮั่วเฉินเองก็รีบตอบกลับไปทันทีเช่นกัน “รบกวนอะไรกันล่ะครับงานรักษาคนไข้เป็นหน้าที่ของหมอ!”

 

ฉีเลยเห็นแล้วก็ได้แต่คิดในใจว่า “เฮ้อ.. ตอนนี้อาการคนไข้หนักเข้าขั้นร่อแร่แล้ว ยังมีกะจิตกะใจมานั่งประจบประแจงกันอยู่ได้ แทนที่จะรีบๆหาวิธีการรักษา!”

 

แต่ในระหว่างนั้น ผู้ว่าไต่คนก็ได้หันไปถามอาการของภรรยาจากหลี่ฮั่วเฉินและเขาก็ได้อธิบายให้ผู้ว่าไต่คนฟังทันที

 

“จากการตรวจอาการและของเสียภายในร่างกายของคนไข้พบว่าระบบลําไส้ทํางานผิดปกติพูดง่ายๆก็คือในลําไส้มีเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดและในสัดส่วนที่มากเกินไป จึงส่งผลให้ คนไข้ถ่ายไม่หยุด…”

 

ผู้ว่าไต่คุนได้แต่พยักหน้า พร้อมกับถามขึ้นว่า “ก็น่าจะรักษาไม่ยากไม่ใช่เหรอครับท่านหมอหลี่ แล้วทําไมป่านนี้อาการของภรรยาผมยังไม่ดีขึ้น? และหลังจากนี้ จะมีแผนการรักษาต่อไปยังไง?”

 

“ที่ผ่านมาทีมแพทย์ให้ยาฆ่าเชื้อแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ผล แต่ก็ยังมีวิธีการรักษาในแบบอื่นอีก” แต่แล้วหลี่ฮั่วเฉินก็หยุดพูด

 

ไปเฉยๆ

 

ผู้ว่าไต่คนเห็นท่าทางล้ําๆอึ้งๆของหลี่ฮั่วเฉิน จึงรีบพูดขึ้นว่า “เชิญท่านหมอหลีพูดออกมาตรงๆได้เลย…”

แม้ว่าหลี่ฮั่วเฉินจะได้ไม่ได้กลัวไต่คุนเหมือนแพทย์คนอื่นๆ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะปฏิบัติกับหลิวเฟิงเจิ้นเหมือนคนไข้ทั่วไป

 

“เอ่อ.. ผมจะเปรียบเทียบให้ฟังเข้าใจง่ายๆ สมมติว่าลําไส้ อดิน เชื้อที่อยู่ในลําไส้ก็คือหญ้า และเราจะทําการฆ่าหญ้า ด้วยวิธีการปลูกถ่ายจุลินทรีย์ในอุจจาระ!”

 

หลี่ฮั่วเฉินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายต่อว่า “วิธีการรักษาที่ผมพูดถึงนี้ เป็นเรื่องยากที่ทั้งตัวคนไข้เอง และญาติคนไข้จะ ยอมรับได้…”

 

“มันคือการนําอุจจาระของผู้ที่มีลําไส้เป็นปกติดี มาทําการปลูกถ่ายเชื้อจุลินทรีย์ โดยการนําอุจจาระไปผสมกับน้ําแล้วสวนเข้าทางทวารหนักของผู้ป่วย เพื่อให้ลําไส้ของผู้ป่วยค่อยๆปรับตัว..”

 

ปกติแล้ว ไต่คุนจะเป็นผู้ที่ระมัดระวังกิริยามารยาทของตนเองอยู่เสมอ แต่เมื่อได้ฟังวิธีการรักษาของหลี่ฮั่วเฉิน เขาก็ถึงกับเบะปาก และทําสีหน้าสะอิดสะเอียน

 

“นี่มันวิธีรักษาบ้าบออะไรกัน? ทําไมถึงได้ฟังดูสกปรก แล้วก็น่าคลื่นไส้แบบนี้?”

 

ไต่คุนเริ่มแยกแยะไม่ออกว่า หลี่ฮั่วเฉินกําลังอธิบายวิธีการรักษาภรรยาให้เขาฟัง หรือต้องการทําให้เขาได้รับความอับอายกันแน่!

 

ไต่คุนได้แต่คิดในใจด้วยความโมโหว่า หากแพทย์ทั้งหมดที่อยู่ในห้องนี้ ป่วยด้วยอาการเดียวกันกับภรรยาของเขา พวกเขาจะกล้ารักษาด้วยวิธีนี้หรือไม่?

 

เมื่อทุกคนในห้องสัมผัสได้ว่า ไต่คนเริ่มจะไม่พอใจขึ้นมาแล้ว ภายในห้องนั่งเล่นก็เปลี่ยนเป็นเงียบกริบทันที!

 

และเวลานี้ แผ่นหลังของจ้าวโจวเฉินก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อและนี่คือเหตุผลว่า เพราะเหตุใดจึงต้องมอบหน้าที่ในการอธิบายให้กับหลี่ฮั่วเฉิน

 

แต่หลี่ฮั่วเฉินพบเจอคนไข้มานักต่อนักแล้ว หลายครั้งที่คนไข้ปฏิเสธไม่ยอมถูกตัดแขนตัดขาในตอนแรก แต่ท้ายที่สุดก็ต้องยอมเพื่อรักษาชีวิต ในบางรายที่ไม่ยอม ท้ายที่สุดก็ต้องเสียชีวิตอยู่ดี!

 

และในฐานะแพทย์ เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องอธิบายให้คนไข้ฟัง ส่วนคนไข้จะยอมรับ หรือไม่ยอมรับนั้น ก็เป็นเรื่องที่ผู้ป่วยและญาติจะต้องตัดสินใจเอง ไม่ใช่หน้าที่ของหมอ!

 

ในที่สุดไต่คุนก็ระงับความโกรธ และถามออกไปว่า “ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้วเหรอครับท่านหมอหลี่?”

 

หลี่ฮั่วเฉินส่ายหน้า “นี่เป็นวิธีรักษาที่ดีที่สุดในตอนนี้! อาการของคนไข้หนักมากขึ้นเรื่อยๆ และยาฆ่าเชื้อก็ไม่สามารถเอาอยู่! วิธีการรักษาแบบปกติใช้ไม่ได้ผล ช่วงเวลานี้ คนไข้อยู่ในขั้นวิกฤติ ถ้าไม่ลงมือทําอะไรสักอย่าง อาจนําไปสู่ภาวะโรคแทรกซ้อนร้ายแรง ซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตของคนไข้ได้!”

 

ไต่คุนทําสีหน้าครุ่นคิด คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันด้วยความเคร่งเครียด เวลานี้ ภรรยาของเขากําลังตกอยู่ในอันตรายเรื่องอื่นไม่สําคัญเท่ากับการต้องรีบช่วยชีวิต..

 

แต่ในระหว่างที่ไต่คนยังไม่ตัดสินใจอะไรนั้น เลขานุการของหลิวเฟิงเฉินซึ่งอยู่ในห้องนั่งเล่นด้ย ก็ได้แอบเข้าไปรายงานเรื่องวิธีการรักษาของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่งให้เธอฟัง

 

ไม่นานนัก เสียงเกรี้ยวกราดก็ดังออกมาจากห้องคนไข้ “นี่มันวิธีการรักษาบ้าบออะไรกัน? ฉันขอปฏิเสธการรักษาอย่างเด็ดขาด!”

 

ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างก็นั่งเงียบ และได้แต่หันมองไปทางไต่คุน เพราะเขาคือญาติคนไข้ จึงมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจว่าจะรับการรักษา หรือไม่รับ!

 

ไต่คนรู้จักนิสัยภรรยาของตนเองดี หากเธอบอกว่าไม่ก็คือไม่! และจะไม่มีคําว่าต่อรองอย่างเด็ดขาด แต่ถ้าไม่รักษาด้วยวิธีนี้จะไปหาหมอที่ไหนมารักษาได้อีกเล่า?

 

“แล้วถ้าหญ้าตาย แต่กลับทิ้งปัญหาไว้ให้กับดินล่ะครับ?” 

 

ภายในห้องที่เงียบกริบ จู่ๆ เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นทําลายความเงียบสงัดนั้น ทีมแพทย์ทั้งหมดรวมทั้งไต่คุน ได้หันมองไปทางต้นเสียง และพบว่าเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่สวมเสื้อกราวน์ซึ่งมีตราสัญลักษณ์ของโรงพยาบาลแห่งนี้

 

แต่กลับไม่มีใครรู้จักเขาเลยแม้แต่คนเดียว!

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset