ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 10 อยากตาย หรืออยากมีชีวิต

ตอนที่  10  อยากตาย หรืออยากมีชีวิต

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยจึงได้ช่วยประคองต่งซีหยุนไปเดินย่อยอาหารรอบๆบ้าน หลังจากก้าวเดินออกไปได้เพียงแค่สองสามก้าว ฉีเล่ยก็ได้ปล่อยให้อาวุโสต่งเดินด้วยตัวเอง

หลังจากที่เดินไปสักครู่ และเหงื่อเริ่มไหลท่วมตัว ฉีเล่ยจึงถามออกไปว่า “อาวุโสต่ง ไม่ทราบว่าตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างครับ ?”

ต่งซีหยุนทดลองก้มลงมองที่พื้น แต่แล้วก็ถึงกับต้องร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ !

“ห๊ะ ?!”

“นี่ฉัน .. ฉันไม่เป็นอะไรเลย !”

ชายชราร้องตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ สีหน้าของเขาบ่งบอกว่ากำลังมีความสุขอย่างมาก

“ฉันไม่วิงเวียนศรีษะเหมือนทุกครั้ง แล้วก็ไม่เป็นลมล้มฟุบลงไปด้วย !”

ต่งซีหยุนได้แต่ยืนตาโตและอ้าปากค้างอยู่เช่นนั้น หากให้ใครมาพบเห็นเข้า หรือถ่ายรูปในเวลานี้ คงต้องคิดว่าชายชรากำลังพบเจอสัตว์ประหลาด หรือไม่ก็พบเจอมนุษย์ต่างดาวกำลังบุกโลกเป็นแน่ !

แต่ถึงอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ก็ดูไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี !

แม้ว่าอาการป่วยของต่งซีหยุนจะไม่ได้รุนแรงถึงขึ้นเสียชีวิต แต่ก็ทำให้เขาไม่สามารถเดินเหินเป็นปกติได้อีก ไม่สามารถเดินลงบันไดได้อย่างที่เคยทำ และไม่สามารถก้มลงมองปลายเท้าได้

เพื่อรักษาอาการป่วยครั้งนี้ แพทย์ประจำตัวของเขาถึงกับสั่งงดอาหารที่มีไขมัน อาหารทะเลทุกชนิด และแม้กระทั่งเนื้อสัตว์ ข้อห้ามเหล่านี้ได้สร้างความเจ็บปวดใจให้กับชายชรามากเท่าไหร่นั้น คงจะมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รับรู้ ..

หลายวันที่ผ่านมา ต่งซีหยุนต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการเจ็บป่วยครั้งนี้ของตนเอง และรู้สึกราวกับว่า โรคนี้แม้จะไม่มีอาการรุนแรง แต่ก็ไม่ต่างจากการถูกฆ่าตายด้วยวิธีที่นุ่มนวลไปทีละเล็กทีละน้อย

แต่ตอนนี้ ต่งซีหยุนกลับคิดไม่ถึงว่า อาการเจ็บป่วยที่สร้างความทุกข์ทรมานทั้งกาย และใจให้กับเขา ซึ่งแม้แต่ทีมแพทย์ และทีมผู้เชี่ยวชาญเรื่องสุขภาพ ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้นั้น ชายหนุ่มธรรมดาๆคนหนึ่ง กลับสามารถรักษาให้หายเป็นปลิดทิ้งได้อย่างง่ายดาย ..

โดยที่ไม่ต้องฉีดยา ไม่ต้องรับประทานยา แต่เพียงแค่รับประทานอาหาร และดื่มให้มากพอ จากนั้น ก็ออกมาเดินเล่นย่อยอาหาร เพียงแค่นี้ อาการทั้งหมดก็อันตรธานหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ !

ต่งซีหยุนหันไปมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกชื่นชม เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะถามชายหนุ่มด้วยสีหน้าท่าทางเคารพศรัทธา

“ท่านหมอ ..  ผมขออนุญาตถามว่า  นี่คือการรักษาโรคแบบไหนกัน ?”

ต่งซีหยุนเป็นคนที่ดูแลสุขภาพของตนเองมาอย่างดีโดยตลอด อีกทั้งยังมีแพทย์ประจำตัวที่คอยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ตัวเขาเองพอมีความรู้เรื่องยาจีนบ้างเล็กน้อย จึงอดที่จะงุนสงสัยกับการรักษาที่แปลกประหลาดของฉีเล่ยไม่ได้

“ผมคงต้องเริ่มเล่าจากสาเหตุของโรคก่อน .. ”  ฉีเล่ยอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ และได้เอ่ยปากบอกชายชรา

“ในวันที่เกิดเหตุ อาวุโสดื่มหนักจนเกินไป ทำให้ตับทำงานหนักจนเสียหาย หลังจากนั้นยังไปหกล้มเพราะเมาอีก แม้จะไม่ได้ล้มรุนแรงอะไรนัก แต่นั่นก็ทำให้อาวุโสเกิดอาการตกใจกลัวจนช็อค ! ”

“เมื่อคนเราหวาดกลัวมากๆ ตับในร่างกายก็จะยิ่งทำงานหนัก ประกอบกับคืนนั้นอาวุโสดื่มเหล้าเข้าไปมาก ตับจึงเกิดปัญหาเล็กน้อย ..”

“หลักการของศาสตร์อย่างแพทย์แผนจีนนั้นบ่งบอกไว้ว่า ตับของคนเราเชื่อมโยงกับดวงตา เมื่อตับมีปัญหาจึงไม่สามารถใช้สายตามองลงต่ำได้ แต่เมื่อนอนราบกลับไม่มีอาการอะไร นั่นเพราะในขณะนอนราบ เหมือนกับว่าตับได้ถูกรีเซ็ตค่าใหม่ ทุกอย่างจึงดูเหมือนเป็นปกติ แต่เมื่ออาวุโสขยับร่างกายอีกครั้ง ตับก็จะเกิดการสั่นไหว ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ ..”

“…”

“สุดยอด ! ช่างมหัศจรรย์จริงๆ !”

ต่งซีหยุนถึงกับพึมพำออกมาด้วยสีหน้าอัศจรรย์ใจ “ฉันอยู่มาจนอายุเจ็ดสิบกว่าปี หาหมอจีนมาก็เยอะ หากจะพูดว่ามีความรู้เรื่องแพทย์แผนจีนไม่น้อย ก็คงจะไม่เป็นการโอ้อวดนัก แต่ก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังอะไรเกี่ยวกับแพทย์แผนจีนที่ลึกซึ้งแบบนี้มาก่อนเลย .. ”

หลังจากที่ได้ฟังในสิ่งที่ฉีเล่ยอธิบาย อาวุโสต่งก็อดที่จะถามต่อไม่ได้ “แล้วที่ท่านหมอรักษาฉัน ใช้หลักการอะไรงั้นเหรอ ?”

ฉีเล่ยถึงกับหัวเราะออกมา “ผมก็ใช้หลักการพื้นๆนี่ล่ะครับ ! ผมแค่ให้อาวุโสกินอาหาร และดื่มให้เต็มที่ เพื่อให้กระเพาะและปอดทำงาน หลังจากอวัยวะทั้งสองทำงานร่วมกัน ก็จะบีบดันให้ตับกลับสู่ตำแหน่งเดิม อาการทั้งหมดจึงได้หายไป ..”

เวลานี้ ต่งซีหยุนได้แต่นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก ..

‘ช่างเป็นหมอที่อัศจรรย์มากจริงๆ !’

‘สมแล้วที่เฉิงเฟิงเรียกเขาว่าหมอเทวดา !’

ไม่จำเป็นต้องใช้ยา หรือเครื่องมือแพทย์ต่างๆ ในการรักษาให้วุ่นวาย มีเพียงแค่ความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และรักษาด้วยการสนทนาพูดคุย กับเสียงหัวเราะเท่านั้น

‘ชายหนุ่มคนนี้ช่างเป็นอัจฉริยะที่ล้ำเลิศมากจริงๆ !’

หลังจากที่อาการป่วยแปลกประหลาดได้รับการรักษาหายแล้ว ต่งซีหยุนก็มีอารมณ์ที่ดีขึ้นมาก เขาเอ่ยปากชมฉีเล่ยไม่หยุดปาก และพูดคุยกับชายหนุ่มด้วยกิริยานอบน้อม ราวกับว่าตัวเขาเองเป็นเด็กหนุ่ม ที่กำลังสนทนาอยู่กับผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง

ปากก็เอาแต่พล่ามอยู่ตลอดเวลาว่า เสียดายที่ฉีเล่ยไม่ใช่ลูกของเขา !

หลังจากที่ได้ฟังอาวุโสต่งเอ่ยชมจนฉีเล่ยรู้สึกเก้อเขิน ในที่สุดเขาก็หันไปบอกกับชายชราว่า “อาวุโสต่งชมเกินไปแล้ว !  ความจริงผมเองก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมาย หากจะขอบคุณ คงต้องขอบคุณอาวุโสหวู่กับหวู่เฉิงเฟิงมากกว่า !”

หลังจากที่ได้ยินฉีเล่ยพูดถึงพ่อลูกสกุลหวู่ขึ้นมา ต่งซีหยุนก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า เวลานี้ตนเองกำลังมาเป็นแขกของสกุลหวู่อยู่ และตลอดเวลาที่ออกมาเดินย่อยอาหารนี้ เขาก็หลงลืมสองพ่อลูกสกุลหวู่ไปเสียสนิท

และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทจนเกินไป ต่งซีหยุนจึงรีบหันไปยิ้มให้กับหวู่เฉิงเฟิง พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“น้องเฉิงเฟิง ขอบใจมากนะที่แนะนำคุณหมอฉีให้กับฉัน ไม่อย่างนั้น โรคแปลกประหลาดนี่คงต้องรบกวนชีวิตของฉันไปอีกนานเลยทีเดียว ! ”

หลังจากที่ได้ยินต่งซีหยุนเปลี่ยนมาเรียกตนเองว่า ‘น้องเฉิงเฟิง’ หวู่เฉิงเฟิงก็ถึงกับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ..

นั่นเพราะการเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกขานของต่งซีหยุนนั้น เป็นการบ่งบอกว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น

ในเมื่อมิตรภาพแน่นแฟ้นขึ้น การลงทุนต่างๆ ก็น่าจะราบรื่นไร้ปัญหาไม่ใช่หรือ ?

เวลานี้ หวู่เฉิงเฟิงยิ่งซาบซึ้งในน้ำใจของฉีเล่ยมากขึ้น เพราะเมื่อครู่นั้น เขาก็ได้เปรยกับต่งซีหยุนเป็นนัยๆว่า ควรต้องยกความดีความชอบในครั้งนี้ให้กับพ่อลูกสกุลหวู่ ..

หลังจากนั้น สองพ่อลูกสกุลหวู่ก็ได้เชื้อเชิญต่งซีหยุนกลับเข้าไปในบ้าน เพื่อที่จะหารือเรื่องความร่วมมือในธุรกิจต่อ เพราะหลังจากที่ฉีเล่ยได้แสดงความสามารถ รักษาอาการป่วยให้กับชายชราแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นสนิทชิดเชื้อขึ้นมาในทันที

ดังคำโบราณว่า ตีเหล็กต้องตียามร้อน !

หลังจากที่เห็นว่าเริ่มค่ำมืดดึกดื่นมากแล้ว อีกทั้งเวลานี้ ก็เป็นโอกาสที่สกุลหวู่กับอาวุโสต่งจะเจรจากันในเรื่องธุรกิจ ซึ่งคงจะไม่สะดวกนัก ที่คนนอกอย่างเขาจะร่วมฟังด้วย ฉีเล่ยจึงได้ขอตัวกลับก่อน

หวู่เฉิงเฟิงจึงได้หันไปสั่งลูกชายทันที “เฉินเทียน ไปส่งฉีเล่ยด้วย !”

“พ่อครับ คือผม ..”

“ยังไม่รีบไปอีก !”

หวู่เฉิงเฟิงหันไปกำชับเสียงห้วน พร้อมกับจ้องมองลูกชายด้วยสายตาดุดัน และอดที่จะโมโหไม่ได้ ที่ลูกชายของตนนั้นมีตาแต่ไร้แววจริงๆ

หวู่เฉินเทียนเห็นสายตาของผู้เป็นพ่อ ก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่ง และได้แต่เดินไปสตาร์ทรถรอฉีเล่ย

หลังจากที่ร่ำลาอาวุโสต่งกับอาวุโสหวู่แล้ว ฉีเล่ยก็ได้หันหลังก้าวออกจากห้องรับแขก แต่ก้าวเดินไปได้เพียงแค่สองก้าว ฉีเล่ยก็หยุดชะงักคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วจึงรีบหันหลังกลับมาพูดกับแพทย์ประจำตัวของต่งซีหยุนว่า

“ดูเหมือนผมจะยังไม่ได้รับคำขอโทษจากคุณสินะ ?”

ใบหน้าของนายแพทย์คนนั้นเปลี่ยนเป็นเหยเกขึ้นมาทันที แม้เขาจะไม่ต้องการก้มศรีษะเอ่ยปากขอโทษฉีเล่ย แต่เวลานี้ อาการของอาวุโสต่งก็ได้ประจักษ์ต่อสายตาทุกคนแล้วว่า หลังจากที่รับประทานอาหารต้องห้ามทั้งหมด ไม่เพียงอาวุโสต่งจะไม่เป็นอะไร อาการเจ็บป่วยต่างๆก็ได้หายไปด้วย หากเขายังขืนสร้างความไม่พอใจให้อาวุโสต่งอีก ชายชราคงไม่รีรอที่จะไล่เขาออกแน่ๆ

ด้วยเหตุนี้ นายแพทย์ผู้นั้นจึงจำเป็นต้องอ้าปากพูดขึ้น ด้วยสีหน้าท่าทางกระอักระอ่วน “ผมต้องขอโทษคุณหมอฉีด้วย ที่มองคุณผิดไปก่อนหน้านี้ ..”

นายแพทย์ผู้นั้นเพียงแค่เอ่ยขอโทษฉีเล่ยไป แต่ไม่ได้พูดชื่นชมทักษะทางการแพทย์ของเขาเลยแม้แต่น้อย

แม้ฉีเล่ยจะรู้ว่า นายแพทย์ผู้นั้นยังไม่ยอมรับความสามารถของตนเอง เขาก็ไม่ต้องการที่จะคะยั้นคะยออะไรอีก และได้แต่ส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินออกไปทันที

………..

ในระหว่างทางที่หวู่เฉินเทียนขับรถไปส่งฉีเล่ยนั้น ชายหนุ่มก็ได้นั่งในตำแหน่งข้างคนขับ และต่างฝ่ายต่างก็นั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาไปตลอดทาง จนกระทั่งถึงบ้านของฉีเล่ย

แต่ในระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังจะเปิดประตูรถออกไปนั้น เขาก็ต้องหยุดชะงักเพราะคำพูดของหวู่เฉินเทียนที่ดังขึ้น

“เธออยากจะตาย หรือยังอยากจะมีชีวิตอยู่ ? ”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset