ตอนที่ 7 หัวหน้า ครอบครัว
หวู่เฉินเทียนต้องการที่จะโต้แย้งผู้เป็นพ่อ แต่เมื่ออ้าปากขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรออกไป แม้เขาเองจะไม่เชื่อว่า ฉีเล่ยจะสามารถช่วยแก้วิกฤติให้กับสกุลหวู่ได้
ฉีเล่ยเป็นเพียงแค่แพทย์แผนจีนคนหนึ่งเท่านั้น แม้จะมีฝีมือทางด้านการแพทย์ที่ล้ำเลิศอย่างมากก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะสามารถมาช่วยสกุลหวู่กู้วิกฤติได้ หากเป็นเรื่องนี้ หวู่เฉินเทียนไม่เคยเห็นฉีเล่ยอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
………
เมื่อฉีเล่ยกลับไปถึงบ้าน เขาก็พบว่า สภาพบ้าน และข้าวของเครื่องใช้ที่พังยับเยินก่อนหน้านี้ ได้ถูกเก็บกวาด และเปลี่ยนใหม่จนหมด รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ต่างๆภายในบ้านด้วย
“ฉีเล่ย .. ท่านประธานหวู่ฝากบัตรเงินสดนี้ไว้ให้กับนาย ท่านประธานหวู่บอกว่า ในบัญชีมีเงินอยู่หนึ่งล้าน ! ”
ทันทีที่ฉีเล่ยก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน เฉินอวี้หลัวก็ได้ยื่นบัตรเงินสดให้กับเขาทันที พร้อมกับอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด
ฉีเล่ยอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ดูเหมือนเขาจะเป็นหนี้สกุลหวู่ไม่น้อยทีเดียว หากเวลานี้ไม่มีเข็มทองหางหงส์กล่องนี้ เขาคงจะดีอกดีใจกับเงินจำนวนหนึ่งล้านหยวนเป็นแน่ แต่ตอนนี้ ..
“อวี้หลัว .. คุณเก็บไว้เถอะ ! ถ้าผมต้องการใช้เงิน ผมจะไปขอคุณเอง ! ”
ฉีเล่ยตอบกลับเฉินอวี้หลัวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะยัดบัตรเงินสดในมือของตนเอง คืนกลับไปให้หญิงสาวทันที
เวลานี้ แม่ยายของฉีเล่ยยืนอยู่ข้างๆคนทั้งคู่ ด้วยสีหน้าแววตางุนงง ประหลาดใจ ตื่นเต้น ระคนสับสนปนเปไปหมด เธออ้าปากอยู่สองสามครั้ง และอยากจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกมา แต่แล้วก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว
“ทุกคนคงจะหิวแล้วสินะครับ ! ผมจะเข้าครัวไปเตรียมอาหารให้ทุกคนเดี๋ยวนี้ .. ”
ฉีเล่ยหันไปบอกสองคนแม่ลูก และเมื่อได้เห็นสีหน้าของคนทั้งคู่เวลานี้ ภายในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้
“ไม่ต้องๆ เธอเองก็เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวันแล้ว ! เร็วเข้า รีบไปอาบน้ำอาบท่าพักผ่อนก่อน ฉันจะเป็นคนทำอาหารให้ทุกคนกินเอง ! ” คุณนายเฉินรีบไล่ฉีเล่ยให้ไปอาบน้ำพักผ่อนทันที ส่วนตัวนางเองก็เดินเข้าไปในครัวแทน
ฉีเล่ยได้เห็นและได้ยินเช่นนั้น ก็ถึงกับยิ้มกว้างและหัวเราะออกมา เขาไม่คิดเลยว่า หลังจากออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว ฐานะของเขาภายในบ้านสกุลเฉิน จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้
ตลอดการรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน คุณนายเฉินแทบหุบยิ้มไม่ลงเลยทีเดียว เธอเฝ้าเอาอกเอาใจและดูแลฉีเล่ยอย่างดี จนเฉินอวี้หลัวถึงกับต้องแอบค้อนให้ผู้เป็นแม่
หลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยจึงได้นำเข็มทองหางหงส์ออกมาทำการรักษาอาการบาดเจ็บให้กับคุณนายเฉิน และผลของการรักษาก็ทำให้คุณนายเฉินประหลาดใจอย่างมาก เพราะเวลานี้ ไม่เพียงเธอจะหายปวดเนื้อปวดตัว แต่อาการปวดไมเกรนของเธอซึ่งเป็นโรคประจำตัว ก็ดูเหมือนจะหายไปเป็นปลิดทิ้งด้วย
“ฉีเล่ย .. อวี้หลัว .. พวกเธอสองคนแต่งงานกันมาตั้งนานหลายปีแล้ว ป่านนี้ยังไม่มีหลานให้แม่อุ้มอีก อาเล่ย จากนี้ไปเธอต้องขยันหน่อยนะรู้มั๊ย ? ”
คุณนายเฉินร้องตะโกนบอกคนฉีเล่ยกับเฉินอวี้หลัว ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาในห้องรับแขก และเดินกลับเข้าไปที่ห้องนอนของตนเอง
เวลานี้ แคร่ไม้เล็กๆที่วางอยู่ข้างระเบียงบ้านได้หายไปแล้ว เฉินอวี้หลัวได้แต่ยืนหน้าแดงก่ำ ก่อนจะรีบหันหลังวิ่งกลับไปยังห้องนอนของตนเอง
ส่วนฉีเล่ยก็ได้แต่ยืนเกาศรีษะ พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ก่อนจะเดินตามไปที่ห้องนอนของเฉินอวี้หลัว และผลักประตูเข้าไปด้านใน
ผ่านมาถึงแปดปีเต็ม ชายหนุ่มและหญิงสาวจึงได้มีโอกาสเข้าหอกัน แม้จะต้องรอคอยมาเนิ่นนาน แต่ในคืนนั้นก็นับเป็นคืนที่มีหลายความรู้สึกปะปนกัน มีทั้งน้ำตา เสียงหัวเราะ ความเขินอาย และอารมณ์สุขสม ..
…………
เช้าวันใหม่ ..
เฉินอวี้หลัวเดินออกจากห้องนอนด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ และเมื่อพบว่า ฉีเล่ยได้ตื่นขึ้นมาเตรียมอาหารเช้าไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้ว สีหน้าและแววตาของหญิงสาว ก็เปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างมาก
เวลาในวันนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในตอนเย็น ฉีเล่ยกลับพบว่า แม่ยายของเขาได้จัดเตรียมอาหารเย็นไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว บนโต๊ะอาหารมีทั้งเป็ด ไก่ ปลา และเนื้อสัตว์อีกมากมาย อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
เฉินอวี้หลัวและแม่ของเธอนั่งรอฉีเล่ยอยู่ที่โต๊ะอาหาร โดยไม่ได้แตะต้องจานอาหารบนโต๊ะเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่า ทั้งสองคนตั้งใจรอฉีเล่ย เพื่อที่จะได้รับประทานอาหารร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
ฉีเล่ยไม่คุ้นชินกับภาพเช่นนี้นัก เขาจึงได้แต่ยกมือขึ้นเกาศรีษะ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคอะเขิน
“แม่ครับ อวี้หลัว .. นี่มันอะไรกัน ? ทำไมถึงไม่ลงมือทานข้าวกันก่อนล่ะครับ ? ไม่เห็นต้องหิ้วท้องรอผมเลย ..”
แม่ยายของฉีเล่ยเหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ฉีเล่ย .. ในครอบครัว ผู้ชายนับว่าเป็นหัวหน้า หากหัวหน้าครอบครัวยังไม่ได้กิน ผู้หญิงในบ้านจะกินอิ่มก่อนได้ยังไงกันล่ะ ? นั่งลงเร็วเข้า จะได้รีบๆกินกัน เดี๋ยวกับข้าวจะเย็นซะหมด !”
‘ผู้นำครอบครัวงั้นเหรอ ? ’
ฉีเล่ยถึงกับนิ่งไปด้วยความตกตะลึงกับคำพูด และสีหน้าท่าทางของผู้เป็นแม่ยาย การกระทำของคุณนายเฉิน ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่เขาก็เลือกที่จะนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
อย่างน้อย เขาก็ควรให้หน้าเฉินอวี้หลัวผู้เป็นภรรยา และนี่คือสิ่งที่ฉีเล่ยคิด !
หลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็ชวนเฉินอวี้หลัวออกไปเดินย่อยอาหารข้างนอก หลังจากกลับเข้าบ้าน ทั้งคู่ก็เข้าห้องนอนทันที
หลังจากอาบน้ำอาบท่าแล้ว ทั้งคู่ต่างก็ขึ้นไปนอนบนเตียง และคืนนี้ เฉินอวี้หลัวก็ได้เป็นฝ่ายเล้าโลมเขาก่อน ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะเริ่มติดใจรสชาติหอมหวาน ที่เขาปรนเปรอให้เมื่อคืนนี้ จนไม่อาจที่จะหักห้ามใจได้
ในเมื่อภรรยาเรียกร้อย เขาในฐานะสามียังจะทำอะไรได้อีกเล่า นอกจากทำให้หญิงสาวพึงพอใจอย่างมากที่สุดในคืนนี้ !
……………
ที่คฤหาสน์สกุลหวู่ ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของเมืองหนานหยาง ..
เวลานี้ พ่อลูกสกุลหวู่ต่างก็กำลังนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่บนโซฟาภายในห้องนั่งเล่น ต่างคนต่างก็สูบซิการ์ราคาแพงกันคนละมวน
ภายในห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยควันโขมงของซิการ์ และคิ้วทั้งสองของพ่อลูกคู่นี้ ต่างก็ขมวดเข้าหากันแน่น ทั้งสองคนนั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จากัน จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ หวู่เฉินเทียนจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า
“พ่อครับ อาวุโสต่งใกล้จะถึงหนานหยางแล้ว ผมควรจะทำยังไงดี ? ”
จากนั้น หวู่เฉินเทียนก็จ้องมองผู้เป็นพ่อแน่นิ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาท่ามกลางความเงียบสงัดอีกครั้ง
สีหน้าของหวู่เฉินเทียนบ่งบอกชัดเจนว่า แม้เขาจะเคยผ่านพายุ และคลื่นลูกใหญ่ในชีวิตมามากมาย แต่เขากลับรู้สึกว่า ครั้งนี้ดูเหมือนจะหนักหนาที่สุดในชีวิต
หวู่เฉินเทียนพ่นควันซิการ์ออกจากปากเพื่อผ่อนคลายความหนักใจ ก่อนจะพูดกับผู้เป็นพ่อต่อว่า
“พ่อครับ เป็นไปได้มั๊ยครับที่อาวุโสต่งจะมองไม่ออก ? แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายๆคนที่ผมนำภาพอักษรไปให้ดู พวกเขายังไม่รู้เลยว่าเป็นขอปลอม แล้วอาวุโสต่งจะมองอออกได้ยังไงกัน ?”
“หึ ! แกอย่าพูดอะไรตลกไปหน่อยเลย ! ”
หวู่เฉิงเฟิงผู้เป็นพ่อหันไปจ้องมองหน้าลูกชาย ก่อนจะตบโต๊ะเสียงดังพร้อมกับร้องตะโกนบอกไป แต่ก็มีสติพอที่จะไม่ผรุสวาทออกไปเสียก่อน
หลังจากหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง หวู่เฉิงเฟิงก็พูดต่อทันที “นี่แกคิดได้ยังไงว่าอาวุโสต่งจะดูไม่ออก ? แล้วถ้าเขาดูออกว่าเป็นของปลอมล่ะ ? แกจะรับผิดชอบผลที่ตามมาไว้งั้นเหรอ ? เพราะแม้แต่ฉันเอง ก็ยังรับไม่ไหว ! ”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของผู้เป็นพ่อ หวู่เฉินเทียนก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตา พร้อมกับยกมือขึ้นกุมขมับ
เฉินเทียนกรุ๊ป นับเป็นกลุ่มบริษัที่ใหญ่โตที่สุดในเมืองหนานหยาง ซึ่งเกิดขึ้นจากน้ำพักน้ำแรง และพรสวรรค์ทางด้านธุรกิจของพวกเขาสองพ่อลูก ทำให้ธุรกิจในเครืองของสกุลหวู่ ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นมาโดยตลอด จนทำให้หวู่เฉินเทียนได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในหนานหยาง
แต่ปัญหาก็คือ ความทะเยอทะยานของหวู่เฉินเทียนไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น !
เขารู้สึกว่า เป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหนานหยางนั้นยังน้อยไป เขาจึงได้พยายามที่จะนำพาเฉินเทียนกรุ๊ป ให้ใหญ่โตและขยายไปกว้างไกลกว่านี้
และเพียงแค่เริ่มต้นของปีนี้ หวู่เฉินเทียนก็ได้ใช้เงินลงทุนไปกับธรุกิจของตนเองอย่างมากมายทีเดียว
แน่นอนว่า เมื่อเงินถูกนำไปลงทุนเป็นจำนวนมาก จึงยังไม่เห็นผลกำไรในทันที ทำให้เทียนเฉินกรุ๊ปตกอยู่ในสถานการณ์การเงินที่ค่อนข้างวิกฤติ และหากเฉินเทียนกรุ๊ปไม่สามารถผ่านพ้นช่วงเวลายากเข็ญนี้ไปได้ จากนี้ไป เฉินเทียนกรุ๊ปคงต้องกลายเป็นเพียงแค่ตำนานในวงการธุรกิจ เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆอย่างแน่นอน
ประตูแห่งความสำเร็จทางธุรกิจนั้น เปรียบเสมือนกับการเดินเข้าประตูบานหนึ่ง ที่นอกจากจะมีเพียงบานเดียวแล้ว ยังเล็ก และแคบมากอีกด้วย แต่กลับมีผู้คนมากมายที่พยายามต่อสู้ เพื่อเบียดเสียดกันเข้าไปในประตูให้ได้ และมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เข้าไปในประตูได้สำเร็จ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ต้องเสียชีวิตอยู่นอกประตูเสียก่อนแทบทั้งสิ้น
การทำธุรกิจล้วนเต็มไปด้วยความตึงเครียดและบีบคั้น แม้ตลาดธุรกิจในโลกใบนี้จะใหญ่โต มีทรัพยากรอยู่มากมาย แต่ถ้าไม่ดิ้นรนแก่งแย่ง ก็ยากที่จะได้มาครอบครอง นั่นเพราะโลกธุรกิจคือโลกของการแข่งขัน !
หลายคนมักพูดว่า นักธุรกิจล้วนโหดเหี้ยมและเห็นแก่ตัว แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่า หากเหล่าพ่อค้าไม่เหี้ยมพอ พวกเขาก็ยากที่จะรักษาธุรกิจในมือไว้ได้ ..