วรกัญญาถูกปลุกด้วยเสียงเคาะประตู เธอมองดูเวลา เธอนอนหลับมาเป็นชั่วโมงแล้ว นี่คงจะมาปลุกตน
วรกัญญาตอบรับแล้วไปเปิดประตู ที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นสาวน้อยคนหนึ่ง ท่าทางอายุประมาณสิบแปดสิบเก้า ยังดูค่อนข้างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
“สวัสดีค่ะ เดี๋ยวพวกคุณต้องไปสำรวจภูมิประเทศ นี่คือสิ่งจำเป็นที่ต้องนำไปด้วย มีฤทธิ์ป้องกันยุงได้ดีมากค่ะ” สาวน้อยยื่นขวดน้ำยากันยุงให้วรกัญญา
“อ๋อ ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะลงไปทันทีค่ะ” วรกัญญารับน้ำยากันยุงมา ตนลืมเอามาด้วยจริงๆ น้ำยานี้เธอรู้จัก เธอเองก็ซื้อน้ำยานี้มาใช้บ่อยๆ มันใช้ดีเป็นพิเศษ คิดไม่ถึงว่าที่นี่ก็มีคนใช้ยี่ห้อนี้ด้วย
วรกัญญาเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีดำและกางเกงขายาวสีดำ รองเท้าวิ่งสีดำ ฉีดพ่นน้ำยาไล่ยุงทั่วร่างกายของตัวเอง ก่อนจะเดินลงไปข้างล่างพร้อมกับกระเป๋าเป้ ในกระเป๋าเป้ของเธอยังใส่น้ำแร่ไปสองขวด และของกินอีกนิดหน่อยด้วย
ในสถานการณ์ที่ไม่มีอักลี่ วรกัญญาจึงทำตัวสบายๆ
ชลธีกับรองนายกเทศมนตรีรออยู่ที่ห้องชั้นล่างแล้ว ชลธีถือกระเป๋าใบใหญ่ มันตุงแน่นไม่รู้ว่าใส่สิ่งของอะไรอยู่ข้างใน
รองนายกเทศมนตรีก็แบกกระเป๋าเป้ไปด้วย ผู้ใหญ่บ้านและสาวน้อยก็สะพายกระเป๋าเป้ไว้บนหลังด้วยเช่นกัน
“เอาล่ะ เราออกเดินทางได้แล้ว ดูเหมือนว่าทุกคนจะพร้อมแล้ว” รองนายกเทศมนตรีเห็นว่าวรกัญญาลงมาแล้ว เขาจึงให้ทุกคนเตรียมออกเดินทาง
ว่ากันว่าทัศนียภาพของภูเขาฟ้าใสแตกต่างกันทุกช่วงเวลา วันนี้เห็นทัศนียภาพของตอนบ่ายและทัศนียภาพของตอนเย็น พรุ่งนี้ก็จะได้เห็นทัศนียภาพยามเช้า ช่วงบ่ายทุกคนก็จะเตรียมเดินทางกลับ ดูเหมือนว่ารองนายกเทศมนตรีจะมีธุระอะไร จึงจัดตารางการเดินทางแน่นมาก
เมื่อได้ยินคำสั่งจากรองนายกเทศมนตรี ทุกคนก็เดินไปข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น
หมู่บ้านฟ้าใสเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่เชิงเขา อุดมไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มทุกทิศทาง หมู่บ้านซ่อนอยู่ในมหาสมุทรสีเขียว อากาศของที่นี่สดชื่นเป็นพิเศษ การสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดรู้สึกเหมือนได้กำไร เป็นอากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ที่อุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษ
ตลอดทางที่เดินไป ไม่เพียงเต็มไปด้วยสีเขียว ยังมีทุ่งดอกไม้ป่าหลากสีสวยสดใสด้วย ทำให้วรกัญญารู้สึกชอบมาก พื้นหญ้าสีเขียวเหมือนพรมผืนหนา ด้านบนมีดอกไม้เล็กๆ ประดับประดา จนวรกัญญามีความคิดที่ว่าหลังจากกลับไปจะต้องสั่งพรมแบบนี้ คงจะสวยน่าดูเลย!
“ถ้าเดินตรงไปข้างหน้าอีก จะสามารถล่าสัตว์ได้ครับ ตรงนั้นมีคนเตรียมคันธนูและลูกศรไว้แล้ว กระต่ายบนภูเขานี้แพร่พันธุ์เร็วเกินไป มันจึงเป็นภัยพิบัติ ดังนั้น เราจึงหวังให้มีคนมายิงกระต่ายเหล่านี้ให้ตาย ถ้าเป็นแบบนี้การเพาะปลูกของพวกเราก็จะสามารถเก็บเกี่ยวได้เพิ่ม” ผู้ใหญ่บ้านพูดกับทุกคน
ยิงกระต่ายเหรอ วรกัญญาได้ยินแล้วรู้สึกเหลือเชื่อ สัตว์ที่น่ารักอย่างกระต่าย ทำไมต้องเอาพวกมันมายิงด้วย
“ไม่มีวิธีอื่นเหรอคะ ต้องฆ่ากระต่ายด้วยเหรอ” ใจวรกัญญายังรับความจริงที่ว่าต้องฆ่ากระต่ายให้ตายไม่ได้
“มันคือกระต่ายป่าครับ แพร่พันธุ์เร็วเกินไป คุณลองมองดูพื้นที่ที่เป็นทุ่งข้าวโพดและพืชผัก และยังที่ดินแถบนั้น พืชผลเหล่านั้นถูกกระต่ายทำลายหมด เราเองก็ไม่มีทางเลือกครับ ความจริงแล้วกระต่ายไม่ได้น่ารักอย่างที่คุณเห็นในทีวี กระต่ายพวกนี้เป็นหายนะของที่นี่เลย” ผู้ใหญ่บ้านบอกกับทุกคน
เดิมทีใจวรกัญญายังมีความรู้สึกดีๆ ต่อกระต่ายอยู่มาก แต่เมื่อได้ยินคำพูดของผู้ใหญ่บ้าน และได้เห็นพืชผลที่ถูกทำลาย จึงพาให้รู้สึกปวดใจเล็กน้อย
ระหว่างที่พูดก็จะเห็นได้ว่ามีพวกกระต่ายเดินเตร่ไปมา เหมือนกับการแสดงโอ้อวดอะไรบางอย่างให้คนดู
“ผู้ใหญ่บ้าน มีห้าคันธนูกับลูกศรเตรียมไว้พร้อมแล้ว เราสามารถยิงกระต่ายได้เลยครับ” มีคนนำห้าคันธนูกับลูกศรมายื่นให้ผู้ใหญ่บ้าน
“ผมคิดว่านี่สามารถเป็นความบันเทิงได้เช่นกัน หากคุณลงทุนในรีสอร์ท คุณสามารถแนบสถานที่นี้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวมายิงกระต่ายเล่นได้ครับ” รองนายกเทศมนตรีรับคันธนูกับลูกศรมา และแนะนำวรกัญญากับชลธี
“ครับ ผมก็คิดว่าน่าจะได้” ชลธีพูดกับรองนายกเทศมนตรี เขายังคงมีความสนใจในที่นี่
วรกัญญาไม่ได้พูดอะไร ขณะนี้เธอยังคงรับไม่ได้ที่กระต่ายจะถูกยิง ต้องเห็นกระต่ายถูกตัวเองยิงตาย วรกัญญายังคงทำไม่ได้
“อันนี้ฉันไม่ใช้ค่ะ” วรกัญญาไม่รับคันธนูกับลูกศร ชลธีรับคันธนูกับลูกศร เขาดึงมัน ดูแล้วรู้สึกว่าคันธนูและลูกศรค่อนข้างแข็งแรง แถมยังถนัดมือมากด้วย
“สามารถยิงโจมตีจากตรงนี้ได้เลยครับ การยิงกระต่ายมีประโยชน์หลายอย่าง สามารถเอามาทอดหรือว่าย่างทานได้ด้วย นี่ก็เป็นกิจกรรมบันเทิงเช่นกัน คิดดูว่าตัวเองยิงกระต่ายได้แล้วเอามาย่างทาน มันจะได้ความรู้สึกว่าทำสำเร็จแล้วอะไรแบบนี้ครับ” ผู้ใหญ่บ้านเองก็แนะนำด้วย
แต่กิจกรรมพวกนี้ก็ฟังดูน่าสนใจดี ในใจวรกัญญาเริ่มค่อยๆ ยอมรับแล้ว
เดินไปอีกไม่กี่ก้าว กระต่ายนั่นเยอะมากจริงๆ แถมยังมาวิ่งไปวิ่งมารอบเท้าคนอีก ท่าทางไม่กลัวคนเลย
แต่พวกมันวิ่งเร็วมาก อยู่รอบเท้าคนพักเดียวก็หายไปไม่เห็นตัวแล้ว
“เอาล่ะๆ ยิงเลยๆ” ผู้ใหญ่บ้านกับสาวน้อยตั้งคันธนูและลูกศรแล้ว และยิงกระต่ายกันไปสักพักหนึ่ง
กระต่ายเจ้าเล่ห์มาก คิดจะยิงมันไม่ง่ายเลย ทุกคนยุ่งวุ่นวายอยู่เป็นครึ่งวัน แต่ก็ยิงไม่ได้สักตัว
“อ๊ะ ตรงนั้นมีตัวนึงค่ะ ตรงนั้นๆ” วรกัญญาเห็นทุกคนยิงไม่ได้เลย เธอก็ใจร้อนนิดหน่อย ในเวลานี้เธอเองก็หวังว่าจะยิงได้บ้าง
“ขอคันธนูให้ฉันหน่อยค่ะ!” วรกัญญาพูดกับคนอื่น ข้างหลังเธอมีมือข้างหนึ่งยื่นมา ในมือมีคันธนูและลูกศร
วรกัญญาเอาคันธนูและลูกศรมาแล้วเล็งไปทางกระต่ายที่กำลังมองอยู่ แล้วยิงออกไป แต่ก็ยิงไม่ถูก
สิ่งนี้ทำให้วรกัญญารู้สึกสนอกสนใจมากยิ่งขึ้น เธอเอาแต่เดินตามกระต่ายไม่หยุด ทุกคนในเวลานี้ล้วนมีความอยากเอาชนะ อย่างไรก็ต่างอยากยิงกระต่ายให้ได้สักตัวถึงจะไปได้
ในภูเขาแห่งนี้ไม่มีสัตว์ใหญ่ ส่วนใหญ่หลักๆ เลยก็คือกระต่าย แล้วก็มีสัตว์เล็กๆ ที่ไม่ทำร้ายใคร แค่บางครั้งที่จะมีงู แต่ก็น้อยมาก ดังนั้นผู้ใหญ่บ้านจึงไม่ได้เตือนทุกคน
วรกัญญาวิ่งตามกระต่าย ชลธีตามมาข้างหลังไม่ใกล้ไม่ไกล วิ่งไปๆ เรื่อยๆ วรกัญญาก็พบกระต่ายสีขาวตัวหนึ่งเข้าไปในถ้ำ เธอจึงตามเข้าไป
ทันใดนั้นก็พลันมีลมพัดแรงมาข้างหลัง เมฆดำบนท้องฟ้าไม่นานก็ก่อตัวสะสม แล้วเกิดเสียงฟ้าคำรามเหนือศีรษะ วรกัญญาสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้อง เธอรีบมองหาคน แต่โดยรอบไม่มีใครเลย ตัวเองเดินหลงมาแล้ว ที่เธอกลัวที่สุดก็คือเสียงฟ้าร้อง ในเวลานี้ เธอรู้สึกว่าตัวเองสิ้นหวัง สภาพอากาศในภูเขาเลวร้าย เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาปุบปับ
ขณะที่วรกัญญากำลังสับสนทำอะไรไม่ถูก จู่ๆ ก็มีคนมาโอบเธอจากด้านหลัง แล้วพาตรงเข้าไปในถ้ำ