ยามที่ผู้คนได้เห็นคนทั้งสองยืนอยู่เคียงข้างกัน ต่างก็ต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนาวเหน็บ
ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่ทันได้สังเกตดูรูปโฉมของฉู่เจียงให้ละเอียด
ทุกคนต่างก็ทราบดีว่าบนภูเขาฝูซางซานมีปีศาจร้ายกาจที่ผู้คนเล่าลือกันไปทั่ว ตลอดหลายปีมานี้ ปีศาจตนนั้นได้กลืนกินศพมากมายที่ถูกโยนทิ้งเข้าไปในส่วนลึกของภูเขาฝูซาง
ตอนนี้เจ้าปีศาจนั้นเพ่งเล็งมาที่คุณหนูน้อย ไม่เพียงแค่นั้นยังออกอาละวาดในเมืองกู่เย่ว ฆ่าฟันผู้คนไปแล้วนับไม่ถ้วน
ผู้คนทั้งหลายต่างก็คิดไปว่านี่จะต้องเป็นปีศาจหน้าเขียวเขี้ยวยาวที่แสนอัปลักษณ์ แต่ตอนนี้พอมองไปแล้ว กลับเห็นว่าเขามีเส้นผมสีเงินดวงตาสีเขียวมกรตและรูปโฉมพิลาศล้ำ
ถึงแม้ว่าเขาจะยืนอยู่ข้างกายจีเฉวียนที่งดงามดุจดั่งเทพ ฉู่เจียงก็มิได้ดูด้อยไปกว่าในที่ใด
ทั้งเขาและจีเฉวียนต่างก็งดงามอย่างแตกต่าง
จีเฉวียนงามสง่าเย็นชาหยิ่งผยอง ฉู่เจียงก็งดงามอย่างตระการตาน่าตื่นตะลึง
ยามที่คนทั้งสองปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกัน แม้แต่กลิ่นอายในอากาศก็พลันเข้มข้นขึ้นมา
สองคนนี้ทำให้ผู้คนต้องคลุ้มคลั่งแล้ว!
พอตู๋กูซิงหลันกวาดตามองไปก็ต้องตกตะลึงขึ้นมาในทันที
ก่อนหน้านี้คนทั้งสองเอาแต่โจมตีกันและกัน แต่พอตอนนี้เปลี่ยนกลับเป็นมายืนเคียงบ่าเคียงไหล่แล้ว ก็กลายเป็นความงามที่บ่งบอกไม่ถูกขึ้นมา
ช่างเหมาะเจาะ!
ตู๋กูซิงหลันคิดอย่างจริงจัง ฮ่องเต้สุนัขจับคู่กับพี่ชายหนุ่มน้อยแล้วเป็นคู่จิ้นที่งดงามเหมาะสมอย่างยิ่ง
สองบุรุษหนุ่มที่งดงามถึงเพียงนี้หากไม่ได้จับคู่กันก็ช่างน่าเสียดายเกินไปแล้ว
นางรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นดวงไฟกำลังสูงสามพันโวลต์ ถึงกับยังส่องสว่างยิ่งกว่าศรเปลวเพลิงสีทองนั้นอีก
“ลูกศรเปลวเพลิงสีทองถึงตายแน่แล้ว พวกเจ้ายังรู้ตัวอยู่บ้างหรือเปล่า” วิญญาณทมิฬแคะจมูกอยู่ในอ้อมแขนของนาง
แต่ว่ากันตามจริงแล้ว ความสนใจทั้งหมดของมันจับจ้องอยู่ที่ฉู่เจียงต่างหาก
หากว่าสามารถได้กินเนื้อของสิบยมราชสักหลายคำ มันคงสามารถทะยานขึ้นฟ้าไปได้อย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าหากเปรียบเทียบกันแล้ว การได้กินเนื้อของฮ่องเต้สุนัขจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า…..แต่ว่าประเด็นสำคัญคือขอแค่ฮ่องเต้นั่นไม่จับมันไปตุ๋นก็ต้องกล่าวอามิตาพุทธแล้ว
วิญญาณทมิฬพึ่งจะพูดจบไป ศรเพลิงสีทองก็ทะลวงยันต์สีเหลืองของตู๋กูซิงหลันออกมาได้ เสียงเฟี้ยวพุ่งผ่านอากาศเข้ามา
ดวงเนตรหงส์ของจีเฉวียนสงบนิ่งลง ยกกระบี่ในพระหัตถ์ขึ้นมาวาดกระบวนท่าออกไป
แส้สีแดงในมือของฉู่เจียงกลายเป็นหอกสีแดงดุจโลหิตเล่มหนึ่ง พุ่งเข้าใส่ลูกศรดอกนั้นตรงๆ
“หึ สิ้นเปลืองกำลังเสียเปล่า” ที่ด้านนอกสวน เหลียงจวิ้นอ๋องหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา
ลูกศรดอกนี้สามารถสังหารทวยเทพและมารปีศาจ มันไม่เพียงแต่จะสามารถทะลวงและเผาผลาญพลังหยินและร่างจิต แต่ยังสามารถกำจัดพลังหยินทั้งหมดให้สูญสลายไปด้วย
เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกศรดอกนี้ แค่จะให้พวกเขารวมพลังขึ้นมาก็ยังไม่อาจทำได้ ยังคิดจะต้านทานเอาไว้อีก?
เขาออกจะประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ก่อนหน้านี้จีเฉวียนยังประมือกับฉู่เจียงอย่างอีรุงตุงนัง ทำไมอยู่ๆ คนทั้งสองถึงได้เปลี่ยนเป็นร่วมมือกันแล้ว?
เขาเชื่อว่าตนเองมีความเข้าใจในตัวตนของทั้งสองอย่างถ่องแท้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮ่องเต้พระองค์ใหม่ผู้นั้น….ยิ่งเป็นคนที่หยิ่งผยองเหนือผู้ใด
ด้วยศักดิ์และฐานะของเขานั้น มีหรือจะยอมร่วมมือกับปีศาจตนหนึ่งจากเขาฝูซางได้ ก็เขา….เป็นถึงฮ่องเต้
ฮ่องเต้เองก็ทรงมองดูฉู่เจียงด้วยความไม่สบพระทัยเช่นกัน ที่จริงตอนนี้พระองค์ยิ่งคิดจะใช้กระบี่แทงคอยหอยของฉู่เจียงให้ทะลุไปเสียเลย
หากมิใช่เพราะว่าในอ้อมพระพาหาของพระองค์มีซิงซิงอยู่ละก็…..จะต้องทรงทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน
แต่เพราะว่ามีนางอยู่ มิว่าพระองค์จะกระทำสิ่งใดลงไปก็พึงต้องคำนึงถึงนางอยู่ก่อน
พลังกระบี่เหมันต์และหอกยาวพุ่งเข้าใส่ลูกศรเพลิงสีทองอย่างพร้อมเรียงกัน จนเกิดเสียงแหวกอากาศ ‘ตรึม’ กระหน่ำใส่แก้วหู
เกิดเป็นดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ระเบิดขึ้นกลางท้องฟ้า โชติช่วงชัชวาลจนผู้คนต้องแสบตา
ผู้คนทั้งหมดต่างก็รีบอุดหูและปิดตาลงไป
จากนั้นก็ได้ยินเสียงสั่นสะเทือนต่อเนื่องกันหลายครั้ง เรือนทั้งหลังถล่มลงมา
แรงระเบิดสะท้อนออกไป กวาดเอาเหล่ามือธนูกระเด็นกระดอนออกไปด้วย
คราวนี้ฝนลูกธนูเพลิงเหล่านั้นถึงได้หยุดลง
แต่เพลิงที่ลุกไหม้ในสวนชั้นนอกยังคงโหมขึ้นท้องฟ้าอย่างรุนแรง ควันที่หนาแน่นพัดกระจายออกไปในอากาศยามค่ำคืน รมผู้คนจนสำลัก
ผู้คนต่างพากันยกแขนเสื้อขึ้นมาพัดโบกและปิดปากปิดจมูก ทั้งยังกระแอมไอด้วยความแสบคอยกใหญ่
แต่ละคนกระจัดกระจายกันออกไป เดิมที่พวกเขาคิดว่าตนอยู่ห่างออกมาแล้ว แต่พอโดนคลื่นสะท้อนนั่นเข้าไป พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าผิวหนังทั่วร่างถูกกรีดบาดจนเจ็บปวดไปหมด
พลังทำลายล้างที่รุนแรงนั้นทำเอาเส้นผมและขนทั้งหมดของพวกเขาลุกชันและแห้งกรอบ
จนผ่านไปอีกครู่ใหญ่แรงสั่นสะเทือนทั้งหลายถึงได้สงบลงในที่สุด
พอควันไฟจางลงไป สิ่งแรกที่ปรากฏต่อสายตาก็ยังคงเป็นเงาร่างหนึ่งดำหนึ่งแดงดังเดิม
เพียงแต่เงาร่างสีดำนั้นมิได้รั้งรอร่างสีแดงอีก พระองค์โอบกอดสาวน้อยในอ้อมพระพาหา เสด็จลงมาจากต้นไห่ถางในก้าวเดียว
คนยังไม่ทันสัมผัสถูกพื้น ก็เห็นกิเลนสีดำขนาดใหญ่ตัวหนึ่งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า มันขยับปีกเพียงครั้งเดียว ก็เกิดเป็นลมกรรโชกรุนแรง
เปลวไฟที่เดิมทีลุกไหม้เข้ามาในสวนตะวันออก ก็ถูกลมปีกของมันกระพือจนพัดกลับไป
เหล่าองครักษ์ของจวนจวิ้นอ๋องที่อยู่ใกล้ยังไม่ทันได้หลบหนี ก็ถูกลูกไฟกลุ่มนั้นเผาวูบจนกลายเป็นศีรษะล้านเลี่ยน
แต่ละคนกลายเป็นมนุษย์อัคคี ต่างก็รีบร้อนคลุกตัวลงไปบนพื้น ผู้คนทั้งหมดต่างพากันล่าถอยออกไป
เหลียงจวิ้นอ๋องถึงกับหน้าเปลี่ยนสีไปแล้ว
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
จีเฉวียนกับเจ้าปีศาจนั่นไฉนจึงสามารถต้านทานศรเพลิงสีทองเอาไว้ได้?
นั่นเป็นถึงสมบัติลับของแคว้นกู่เย่วเชียวนะ!
ตอนนั้นสิบสองปีศาจที่อยู่ข้างพระวรกายของปฐมฮ่องเต้พอโดนลูกศรเช่นนี้เข้าไปเพียงดอกเดียวก็ถึงกับสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปเลย!
พอเห็นว่าเหลียงจวิ้นอ๋องตกตะลึงยืนค้างอยู่กับที่นายทหารน้อยข้างกายของเขาที่เคยหยิ่งยโสก็รีบลากดึงเขา “ท่านอ๋อง ถอยกันเถอะขอรับ!”
สถานการณ์เบื้องหน้าถึงกับเกินความคาดหมายไปมากมายแล้ว….
ดูแล้วฮ่องเต้……ยังคงน่ากลัวเสียยิ่งกว่าปีศาจจากฝูซางซานตนนั้นอีกหลายส่วน
ข่าวสารที่พวกเขาได้รับมาล้วนผิดพลาด พวกเขาสืบเสาะแต่กลับไม่ทราบเลยว่าที่จริงแล้วจีเฉวียนนั้นเก่งกาจจนน่าหวาดกลัวถึงเพียงไหน
ขณะที่นายทหารน้อยผู้นั้นพึ่งพูดจบไป ก็ได้ยินเสียง ‘ฮึ่ม’ ดังขึ้นมาอีกครั้ง
พวกเขาก็เห็นว่ากิเลนสีดำตัวนั้นบินโฉบลงมาถึงเบื้องหน้าของเหลียงจวิ้นอ๋อง
ร่างกายที่สูงใหญ่ของมันกำลังเงยคางขึ้นมา เชิดจมูกฟุดฟิดใส่เหลียงจวิ้นอ๋อง จากนั้นก็ส่งเสียงดังออกมาครั้งหนึ่ง “เมีย เมีย ~ ”
มันถูกชือหลีชักนำจนเหลวไหลไปแล้ว ถึงขนาดที่ว่าในยามที่ฝ่าบาทต้องการมันอย่างที่สุดนั้น มันกลับหลบลี้หนีหายไปพักหนึ่ง ยังดีที่ยังรู้จักโผล่กลับมาในช่วงสุดท้ายด้วยท่วงท่าองอาจสง่างาม
พวกเขาตื่นตระหนกจนเขาทรุดลงไป!
เมื่อครู่พวกเขาพากันหวาดกลัว…..แต่ว่าตอนนี้ถึงกับอ้าปากเหวอไปแล้ว
ส่วนฉู่เจียงที่ยามนี้มองมาจากด้านหลังนั้น กำลังคิดถึงชั่วขณะที่เขาได้เข้าใกล้โอรสสวรรค์แคว้นเมื่อครู่นี้ ทำให้เขาอยู่ๆ ก็คิดถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา
ช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อครู่นั้น เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายจากพระวรกายที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่ง
ชั่วพริบตาสั้นๆ ….สั้นถึงขนาดที่ไม่ทันให้เขาได้มีปฏิกริยาใดๆ
ร่างกายของเขาเกิดความรู้สึกยอมจำนนขึ้นมา เมื่อครู่นั้นผู้ที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งเช่นเขาพลันเกิดความรู้สึกสองขาอ่อนแรงขึ้นมา จนแทบจะคุกเข่าลงไปที่เบื้องหน้าของจีเฉวียน
คนผู้นี้…..
เดิมทีคืนนี้เขามาที่นี่เพื่อเหยื่อตัวน้อย ตอนนี้กลับเสาะหาเหยื่อน้อยไม่พบ แต่กลับได้ค้นพบเรื่องที่ยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดาเรื่องหนึ่ง
อีกด้านหนึ่ง จีเฉวียนประทับยืนอยู่บนหลังของเมียเมีย ปรายดวงเนตรที่เย็นชาทั้งสองไปทางเหลียงจวิ้นอ๋อง
“เหลียงป๋อ เจ้าก่อกบฏล้มเหลวเสียแล้ว” กระบี่ในพระหัตถ์ยังมิได้ลดลง สายพระเนตรมีแต่ความเหน็บหนาว
ในมือข้างหนึ่งของเหลียงจวิ้นอ๋องยังคงถือธนูคันใหญ่เอาไว้ เขาเงยหน้าขึ้นมาจีเฉวียน “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงสิ่งใดอยู่ ข้าผู้เป็นอ๋องรู้แต่ว่า ที่บุกเข้ามาในวันนี้คือเภทภัย ภัยนี้ยังไม่ถูกกำจัด กลับยิ่งทำร้ายชาวบ้านในเมืองกู่เย่ว นี่เป็นความผิดพลาดภายใต้ความรับผิดชอบของข้า”
เขาได้แต่กัดฟันกล่าวออกไป ที่จริงแล้วเขาคิดไม่ถึงเลยว่าจีเฉวียนจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
มิน่าเล่าถึงได้กล้าบุกเดี่ยวมายังเมืองกู่เย่ว ความมั่นใจเช่นนี้เกรงว่าแม้แต่ปฐมกษัตริย์ในตอนนั้นก็ยังไม่อาจเทียบได้
“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” จีเฉวียนตรัสอย่างเย้ยหยัน
ทันทีที่สิ้นเสียงของพระองค์ ผู้คนต่างก็พบว่ามีเงาร่างสีดำมากมายรายล้อมอยู่รอบจวนจวิ้นอ๋อง โดยมีหลงเซียวเป็นศูนย์กลางของทั้งหมด คนชุดดำนับพันเหล่านี้ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ใดกัน
ในมือของพวกเขามีธนูน้ำแข็ง และยามนี้ทั้งหมดต่างก็พุ่งเป้ามายังเหลียงจวิ้นอ๋องแล้ว
——
ตอนต่อไป “เรารู้สึกโชคดีอย่างยิ่ง