ที่ผ่านมาตู๋กูซิงหลันคิดว่าจีเฉวียนทรงให้ความเคารพอันหร่วนอย่างสูงมาตลอด เนื่องเพราะอันหร่วนเป็นแม่นมของฉางซุนฮองเฮา ทั้งยังเป็นพระพี่เลี้ยงของเขา
ด้วยความผูกพันที่จีเฉวียนมีต่อฉางซุนฮองเฮา เขาย่อมต้องให้ความสำคัญกับอันหร่วนเหนือธรรมดา
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ความเชื่อใจของเขาจะเบาบางถึงเพียงนี้
กับบุคคลเช่นฮ่องเต้พระองค์นี้ จะต้องเป็นคนเช่นไรหรือจึงจะสามารถมีคุณสมบัติยืนอยู่ข้างกายเขาได้กัน?
ท่านราชครู?
ดูท่าคงจะมีแต่เขาเท่านั้น
ยามนี้ในใจของอันหร่วนยิ่งเคร่งเครียดกว่าเดิม ถึงแม้ว่านางจะยังคงฝืนรักษาความสงบบนสีหน้าเอาไว้ได้ แต่ว่าฝ่ามือที่กำไม้เท้าเอาไว้กลับซีดขาว
ดวงตาชราคู่นั้นจับจ้องตู๋กูซิงหลัน แล้วก็หันกลับมามองจีเฉวียน สุดท้ายจึงหลุบตาลง ” ยามที่ฝ่าบาททรงประสูติ ฮองเฮาทรงตกพระโลหิตมากเกินไป สถานการณ์คับขันอันตราย บ่าวมัวแต่หาคนมาช่วยฮองเฮา จึงพลาดช่วงเวลาที่ฝ่าบาทประสูติโดยละเอียดไป บ่าวผิดไปแล้วเพคะ “
ได้ฟังแล่ว จีเฉวียนก็ไม่ได้ทำให้นางต้องลำบากใจ ” ตอนนั้น หมัวมัวต้องลำบากมากแล้วจริงๆ “
ไม่รู้ว่าทำไม พออันหร่วนได้ยิ่งเขาตรัสออกมาเช่นนี้แล้ว ในใจก็ยิ่งไม่สงบกว่าเดิม
อาจเพราะว่าการสาปแช่งที่ล้มเลว ทำให้นางสูญเสียพลังไปจำนวนมากยามนี้ถึงกับมีเม็ดเหงื่อเย็นๆ เกาะอยู่ที่หน้าผากชั้นหนึ่ง
พอยิ่งดูจีเฉวียนมองมากเข้าหน่อย ฝ่าเท้าของนางก็ถึงกับอ่อนแรงขึ้นมา
ฮ่องเต้เห็นท่าทางของนาง พระพักตร์ที่งดงามก็เพิ่มพูนความห่วงใย ” หมัวมัวร่างกายไปค่อยสบาย ก็สมควรจะรักษาตัวอยู่ในตำหนักชางอู๋ อย่าได้ออกมาเดินเยอะเกิน “
อันหร่วนมองเห็นความห่วงใยจากเขาได้อย่างชัดเจน แต่ขณะเดียวกันเมื่อตรัสอย่างแจ่มชัดเช่นนี้ก็หมายความว่าต้องการกักบริเวณนางด้วย
ตอนนี้นางถึงกับมองไม่ออกเลยว่าที่จริงแล้วฮ่องเต้ทรงคิดเช่นไรกันแน่
หากว่าเขาห่วงใยนางจริงใยจึงต้องกักบริเวณนางด้วย?
ฮ่องเต้พระองค์นี้แต่ไหนแต่ไรมาก็ชักสีหน้าเย็นชาอยู่ตลอด นอกจากครั้งนั้นที่นางส่งเสื้อหนาวให้เขา จึงได้เห็นวี่แววแสดงความห่วงใยจากเขาแล้ว ช่วงเวลาอื่นๆ ที่เหลือก็ไม่เคยเห็นสิ่งใดอีกเลย
อันหร่วนไม่กล้ามองเขาให้มากเกินไป ได้แต่ขยับตัวถวายบังคมลา ถือไม้เท้าจากไปอย่างรวดเร็ว
จีเฉวียนมองดูเงาหลังของนาง สีหน้าที่มีความห่วงใยค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง จนไม่เหลือวี่แววใดๆ อีก
ตู๋กูซิงหลันจับตามองจากด้านข้าง ดูอย่างไรนางก็รู้สึกว่าจีเฉวียนกำลังวางเบ็ดดักปลาใหญ่อยู่เป็นแน่
คนผู้นี้ไม่เพียงมีอุบายชั่วร้ายอยู่เต็มท้อง ทั้งยังรู้จักแสดงแกล้งทำอย่างแนบเนียน
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่ลี่โจวแล้ว ก็มิใช่ว่าเขาหลอกลวงจีหรานได้สำเร็จอยู่หมัดหรอกรึ?
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอย่างเหม่อลอยนั้น ก็เห็นเขาหันกลับมามองดูนางและซูเม่ยแว่บหนึ่ง
ซูเม่ยเองสัมผัสได้ถึงไอสังหารจากสายตาของเขาในทันที
นางอ้าปากขึ้นมา แต่ยังไม่ทันจะได้กล่าวอะไร ก็ได้ยินฮ่องเต้ทรงตรัสว่า ” หวงกุ้ยเฟย ในเมื่อตั้งครรภ์แล้วก็อย่าได้วิ่งวุ่นวาย สงบจิตสงบใจอยู่แต่ในตำหนักให้ดี ถ้าครรภ์นี้เป็นองค์ชายใหญ่ หากว่าเกิดปัญหาใดขึ้นมา เจ้าคงรับผิดชอบไม่ไหว”
ตู๋กูซิงหลัน “!!! “
ซูเม่ย “!!!!! “
ในสมองของซูเม่ยมีเสียงดังวิ้ง คนราวกับว่าหล่นลงไปในห้องเย็นใต้ดิน!
เขา! ท้อง! แล้ว!
เขาที่เป็นบุรุษตัวโตตั้งครรภ์แล้ว ทั้งยังตั้งครรภ์ขึ้นมาในช่วงที่ฮ่องเต้มิได้ประทับอยู่ในวัง?
ฮ่องเต้ทรงผลักเขาลงไปตายแน่ๆ!
แม้แต่หลี่กงกงที่อยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้ ก็ยังตาโตขึ้นมา
พวกเขาฟังไม่ผิดใช่หรือไม่?
หวงกุ้ยเฟยช่างปิดบังได้อย่างยอดเยี่ยมนัก ผ่านมานานถึงเพียงนี้ก็ยังไม่มีเสียงเล่าลือใดๆ เล็ดลอดออกมาเลยสักนิด
ฝ่าบาทพึ่งจะทรงกลับเข้าวัง ก็ทรงประกาศข่าวใหญ่เช่นนี้ออกมาด้วยพระองค์เอง
สมแล้วที่เป็นหวงกุ้ยเฟย นับว่ามีฝีไม้ลายมือไม่เบาเลย
ไม่รู้หลี่กงกงคิดอย่างไร ถึงได้เหลือบตาไปมองดูตู๋กูซิงหลันอยู่แว๊บหนึ่ง
ไทเฮาน้อยยามนี้คงต้องพ่ายแพ้แล้วละมั้ง?
ช่วงที่ฝ่าบาทเสด็จออกไปนอกวัง ไทเฮาทรงเป็นทุกข์เสียพระทัยอย่างยิ่งถึงขนาดไม่ได้ก้าวออกมาจากตำหนักเฟิ่งหมิงเลยสักก้าว ตอนนี้ยังต้องมารับรู้ข่าวที่หวงกุ้ยเฟยทรงพระครรภ์อีก คิดๆ ดูแล้ว เขาก็รู้สึกทุกข์ร้อนแทนนางอยู่เหมือนกัน
หลังจากที่จีเฉวียนทรงประกาศ ‘ข่าวดี’ นี้ออกไป ก็ทรงเหลือบพระเนตรดูตู๋กูซิงหลันแว๊บหนึ่งเขาคิดจะตรัสอะไรเพิ่ม
แต่ก็พลันได้เห็นสีหน้าที่ประหลาดใจของตู๋กูซิงหลันเปลี่ยนเป็นความยินดี!
นางรีบหันไปคว้าซูเม่ยเอาไว้ จากนั้นก็ย่อตัวลงไป เอาหูแนบกับหน้าท้องของเขา ฟังดูความเคลื่อนไหว พลางกล่าวว่า ” คิดไม่ถึงเลย ว่าข้าจะได้เป็นเสด็จย่าอย่างรวดเร็วขนาดนี้ สวรรค์ทรงโปรด ลูกของพวกเจ้าทั้งสองคนจะหน้าตาดีขนาดไหนกันนะ”
ไม่กล้าจะคิดเลยจริงๆ ลูกของจีเฉวียนกับซูเม่ยจะออกมาน่ารักงดงามถึงเพียงไหน!
ถึงแม้ว่าตอนนี้นางจะมีหลานสาวสายนอกที่แสนน่ารักอย่างซุ่นเออร์อยู่แล้ว แต่สำหรับราชวงศ์แล้วย่อมไม่รังเกียจที่จะมีหลานให้มากเข้าไว้ นึกภาพว่าอีกหน่อยจะมีหลายชายหลานสาวที่น่ารักอยู่รอบๆ เอว นางก็คงทำให้ใช้ชีวิตยามชราได้อย่างสุขใจ
ตู๋กูซิงหลันแนบหน้ากับท้องของซูเม่ยฟังดูอย่างใส่ใจ ราวกับว่านางก็คือบิดาของลูกเขาก็ไม่ปาน
ซูเม่ย “……..” ว่ากันตามจริงเลยนะ เห็นอาหลันดีใจถึงเพียงนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือว่าเสียใจดี
เขาเคยครุ่นคิดมาหลายครั้งหลายหน ว่าสักวันหนึ่งเขาจะกลับไปป็นบุรุษ มีอาหลันเป็นภรรยา เมื่อนางท้อง เขาก็จะเอาหูมาแนบกับท้องของนางเช่นนี้เหมือนกัน คอยฟังเสียงของเจ้าตัวน้อยที่แสนสำคัญของพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ
แต่ว่าตอนนี้ภาพทั้งหมดกลับข้างกันเสียแล้ว
สีพระพักตร์ของฝ่าบาทดำทะมึน หางตาก็กระตุกไม่ยอมหยุด เขาไม่ทนรอให้ตู๋กูซิงหลันทำอะไรมากไปกว่านี้ ก็ชิงเสด็จเข้ามาหา ยื่นพระหัตถ์ออกมาคว้าตัวนางไป
พระดำรัสที่คิดจะสั่งสอนนางให้รู้จักกริยาการวางตัวทั้งหลาย พอมาริมพระโอษฐ์กลับตรัสอะไรไม่ออก ได้แต่ใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งคว้าตัวนางเอาไว้ สายพระเนตรก็สาดไปยังร่างของซูเม่ย ” นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ทุกๆ วันจะมีคนส่งยาบำรุงครรภ์ไปที่ตำหนักชุ่ยเว่ยกง หวงกุ้ยเฟยต้องสงบจิตใจรักษาร่างกาย จะได้คลอดพระนัดดาที่น่ารักมาถวายไทเฮา “
ซูเม่ย “…….”
เพื่อจะแยกเขาและอาหลันออกจากกันฮ่องเต้ถึงกับทำได้ทุกวิธี
จีเฉวียนไม่ทรงให้โอกาสซูเม่ยกล่าววาจา หันไปรับสั่งให้หลี่กงกงส่งคนกลับไปในทันที
หลังจากนั้นถึงได้หันกลับมารับสั่งกับตู๋กูซิงหลัน ” หวงกุ้ยเฟยตั้งครรภ์ เจ้าไม่รู้สึกโกรธเคืองเลยสักนิด? “
ตู๋กูซิงหลัน “? ” แล้วทำไมนางถึงจะต้องโกรธด้วย? มีพระนัดดาไม่ดีตรงไหน?
พอทอดพระเนตรเห็นสีหน้าที่มึนงงของนาง จีเฉวียนก็ทรงทราบแล้วว่าคำตอบคืออะไร เขาหรี่พระเนตรลง ข่มความหงุดหงิดในพระทัยลงไป
ว่าแล้วก็ทรงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปในทันที ” เจ้าจะออกไปนอกวัง? “
ตู๋กูซิงหลันกลับมามีสมาธิอีกครั้ง ” คิดจะกลับจวนไปดูพี่รองสักหน่อยเพคะ “
พอถูกจ้องจนปั่นป่วนไปเมื่อครู่ นางก็เกือบจะลืมไปแล้วว่าตนเองต้องการจะทำอะไร
” เราก็จะออกไปนอกวังพอดี เพื่อลดความยุ่งยาก จะให้เจ้านั่งรถม้าไปด้วยก็แล้วกัน ” จีเฉวียนตรัสพลางก็ลากนางออกเดินไปด้วย
ตู๋กูซิงหลันถูกเขาหิ้วออกไปอย่างไร้กำลังจะต่อต้านราวกับว่าเป็นลูกเจี๊ยบตัวหนึ่ง
………………………..
ยามดึก ในพระตำหนักตี้หัว
จีเฉวียนยังทรงประทับอยู่ในห้องทรงพระอักษร จัดการกับกองภูเขาฎีกาที่ส่งเข้ามาในช่วงตลอดหลายวันนี้
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ก็มีเงาดำลงมาจากบนเพดาน
” ฝ่าบาท ” คนชุดดำผู้นั้นคุกเข่าถวายคำนับอยู่ที่ด้านหน้าของเขา พลางดึงกล่องใบหนึ่งออกมาจากในอก
” สิ่งนี้ถูกค้นพบจากใต้ตำหนักของหรานอ๋องในลี่โจวพะยะค่ะ “
จีเฉวียนอนุญาตให้เขาลุกขึ้น คนชุดดำก็ถวายของชิ้นหนึ่งถึงเบื้องหน้าของพระองค์
ทันทีที่กล่องถูกเปิดออก ก็รู้สึกได้ถึงไอหยินที่เข้มข้นและรุนแรง หมอกสีดำขดม้วนเป็นวง ด้านในมีหยกสีดำขนาดเท่าเล็บนิ้วมืออยู่ชิ้นหนึ่ง
จีเฉวียนทรงหรี่พระเนตรหงส์คู่นั้นลง พอยื่นพระหัตถ์ออกก็ปิดทับลงไปบนกล่องใบนั้น
” ฝ่าบาท กระหม่อมยังต้องติดตามสืบเสาะต่อไปหรือไม่พะยะค่ะ? “
ตอนนั้นฝ่าบาททรงส่งเขาไปยังลี่โจว ก็ไม่ใช่เพียงแค่ทำเรื่องง่ายๆ อย่างส่งมอบเงินบรรเทาทุกข์เท่านั้น
จีหรานมีสิ่งนี้อยู่ในครอบครองแต่กลับไม่รู้วิธีใช้ ช่างน่าหัวเราะนัก