ปล้นสวรรค์ – ตอนที่ 133 ดินแดนที่ไปไม่ถึง

ปล้นสวรรค์ SPH:บทที่ 133 ดินแดนที่ไปไม่ถึง

 

นัยตาของฉีฉวนเหรินเจ้าส่องสว่างขึ้นในขณะที่เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้ม “แน่นอน ตาแก่หวูให้ฉันดูสิว่าทักษะการวาดภาพของนายดีขึ้นแล้วยัง!”

 

หวูไต้ยิ้มอย่างอย่างมีลับลมคมนัย “นายจะต้องคิดไม่ถึงแน่!”

 

ฉีฉวนเหรินเจ้าหัวเราะออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อในคําพูดของหวูไต้และพูดว่า “เอาล่ะเลิกโม้ได้แล้ว คิดว่าฉันไม่รู้จักนายหรือไง รีบเอาภาพที่นายวาดมาให้ฉันดูได้แล้ว!”

 

หวูไต้ยิ้มออกมาอย่างไร้กังวล เขาเลื่อนกล้องโทรศัพท์ของเขาให้หันไปทางรูปภาพที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ” ตาแก่ฉี ดูซะแล้วบอกสิว่าเป็นไง!”

 

อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ ฉีฉวนเหรินจ้องไปที่รูปภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ เขาลูบเคราของเขาและกลั่นกรองมันอย่างระมัดระวังครู่หนึ่ง

 

“โอ้” ตาแก่หวูคราวนี้ทักษะการวาดรูปของนายมันระเบิดออกแล้ว! ไม่เลว ไม่เลว! การลากเส้นนั้นแข็งแรงเห็น ได้ชัดว่าบรรจงวาดการลงสีของภาพช่างงดงามอย่างยิ่ง! นี่มันผลงานชิ้นเอก! “

 

หวูไต้ได้ยินคํากล่าวชมของ ฉีฉวนเหรินเจ้าแล้วหัวเราะออกมาดังๆ “ ฮ่าฮ่า…ขอบคุณที่ชม!”

 

“แต่ถึงอย่างนั้น”

 

ฉีฉวนเหรินเจ้า ปรับน้ําเสียงของเขาและพูดต่อว่า “การวาดของนายก็ยังห่างไกลจากฉันอยู่ดี พยายามเข้าล่ะ”

 

“ชิ!”

 

หวูไต้พูดด้วยน้ําเสียงอย่างดูหมิ่น “นายอย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปสิว่าใครดีกว่า นายยังไม่เห็นมันทั้งหมดเลย!”

 

“ยังไม่หมด?” ฉีฉวนเหรินเจ้านิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่เขา จะก้มศีรษะลงเพื่อดูภาพวาดนั่นอีกครั้ง เขาจ้องมองไปที่หัวของมังกรแล้วถามขึ้นมาว่า “ตาแก่หวู นายจะซ่อนดวงตามังกรไว้ทําไม”

 

“ฮ่าฮ่า!” หวไต้ยิ้มอย่างมีลับลมคมนัยและพูดว่า “เพราะดวงตาของมังกรตัวนี้เป็นสิ่งสําค่าของภาพนี้!”

 

เมื่อ ฉีฉวนเหรินเจ้าได้ยิน ดังนั้นจึงหัวเราะออกมา “นายหยุดโม้ได้แล้ว! นายวาดดอกไม้ด้วยดวงตามังกรที่แสนบริสุทธิได้ยังไง”

 

หวูไต้เอื้อมมือไปหยิบกระดาษที่ปิดบังดวงตามังกรออกไป และพูดด้วยรอยยิ้ม “ตาแก่ฉี ดูให้ดีๆล่ะ! ขั้นตอนต่อไปคือการได้เห็นปาฏิหาริย์!”

 

พรึ่บ!

 

กระดาษที่ปิดบังดวงตามังกรอยู่นั้นถูกนําออกไปภาพวาดทั้งหมดได้ถูกเปิดเผยต่อหน้าต่อตาแก่ฉีฉวนเหริน

 

ฉีฉวนเหรินดูภาพเก้ามังกรบนหน้าจอโทรศัพท์ของเขา ในตอนแรกเขาแค่ต้องการที่จะเยาะเย้ย หวูไต้แต่เมื่อเขาได้พิจารณามังกรที่กําลังโบยบินอยู่นั้น เขาก็รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า!

 

“ นี่ นี่ มังกรตัวนี้มีชีวิต!”

 

ฉีฉวนเหรินอ้าปากกว้างจ้องมองไปยังภาพวาดด้วย ความตกใจจนไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้

 

หน้าจอโทรศัพท์มือถือของหวูไต้ปรากฏภาพใบหน้าที่กําลังตกใจอย่างมากของ ฉีฉวนเหรินเขายิ้มอย่างภาคภูมิใจ เขาได้ลืมไปแล้วว่าเขาตกใจยิ่งกว่าฉีฉวนเหรินในก่อนหน้านี้

 

“เป็นอย่างไรล่ะตาแก่ฉี ภาพวาดเก้ามังกรของฉันเข้าตานายใช่ไหมล่ะ”

 

อีก!

 

ฉีฉวนเหรินเจ้ากลืนน้ําลายลงคอด้วยความยากลําบาก เขาถามอึกอักว่า “ตาแก่หวูนี่นายวาดมันจริงๆใช่ไหม”

 

หวูไต้เงยหน้าขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นอย่างปิดไม่อยู่ ในที่สุดเขาก็ได้ชนะตาแก่หัวโบราณคนนี้

 

“ถูกต้อง!” “ ตาแก่นายและฉันรู้จักกันมาหลายปีแล้ว นายก็รู้สไตล์การวาดฉันดีลองดูสิว่านี้เป็นงานฝีมือของฉันหรือไม่”

 

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดว่า “ภูเขา น้ําตกและมังกร แน่นอนว่าเป็นฝีมือของนาย แต่ฉันก็ยังไม่เชื่อว่านายสามารถวาดภาพเก้ามังกรออกมาได้น่าอัศจรรย์เช่นนี้!”

 

หวูฝูหัวเราะอย่างเริงร่าและพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “อย่ามัวเสียเวลาเลยน่า ตาแก่ฉี ไหนบอกสิ ตอนนี้ฝีมือฉันอยู่ระดับไหนแล้ว”

 

ฉีฉวนเหรินลูบเคราของเขาและพูดด้วยน้ําเสียงที่ทุ่มต่ําว่า “ถ้าไม่นับดวงตามังกร ภาพนี้ก็เป็นภาพที่มีคุณภาพสูงสุด แต่เมื่อได้เห็นดวงตามังกรแล้ว”

 

ฉีฉวนเหรินแหรินถอนหายใจ “อานี่เป็นดินแดนที่แม้แต่ฉัน ก็ไม่สามารถไปถึง!”

 

หวูไต้ตกใจเป็นอย่างมาก เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนอย่างฉีฉวนเหรินเจ้าจะประเมินเขาได้สูงขนาดนี้ เพราะฉีฉวนเหรินเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตรกรอันดับหนึ่งของประเทศจีน!

 

“ตาแก่ฉีดวงตามังกรเม็ดนี้อยู่ในระดับของปรมาจารย์งั้นหรอ?”

 

ฉีฉวนเหรินเหลือบมองไปที่ หวูไต้ “นี่เป็นภาพที่สมบูรณ์แบบ!”

 

ฉีฉวนเหรินแจ้าเห็นหวูไต้รู้สึกตกตะลึงจึงถามด้วยความสงสัยว่า “ตาแก่หวูบอกความจริงมา! นายไม่ได้วาดดวงตามังกรใช่ไหม?”

 

มีอะไรบ้างที่นายไม่รู้

 

ฉีฉวนเหรินเมองหนูไต้ผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือและถามด้วยเสียงต่ําว่า “ตาแก่หวูบอกมา ใครเป็นคนวาด ลายเส้นของนายไม่ใช่แบบนี้แน่นอน!”

 

อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ หวูไต้หัวเราะแห้งๆออกมา

 

“ตาแก่นายนี่รู้ดีจริงๆ นอกจากดวงตามังกรแล้วทุกอย่างในภาพวาดนั้นล้วนเป็นฝีมือของฉัน”

 

ฉีฉวนเหรินเจ้า ตอบกลับว่า “ไม่แปลก! บอกมาใครกันที่เป็นคนว่าดวงตามังกร”

 

หวไต้หัวเราะออกมาเบา ๆ เขาไม่ได้ตอบคําถามของฉวนเหรินในทันทีเมื่อได้ยินคําถาม เขากลับถามคําถามกลับว่า “ตาแก่ฉีลองเดาดูสิ”

 

ฉีฉวนเหรินลูบเคราของเขาเขาใช้สมาธิพิจารณาอย่างถี่ถ้วน

 

คงไม่ใช่คนในแวดวงด้านจิตรกรของจีน เพราะเขานั้นรู้จักลายเส้นของจิตรกรที่มีเชื่อเสียงเป็นอย่างดี แต่กลับกันลายเส้นที่เขาได้เห็นนั้นกลับไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย

 

อย่างไรก็ตาม ฉีฉวนเหรินไม่สามารถหาคําตอบได้ว่าใครคือผู้ที่มีความสามารถในการเปลี่ยนภาพวาดธรรมดาให้กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์เพียงแค่วาดดวงตามังกร!

 

เขาใช้มือลูบบริเวณระหว่างคิ้วเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อยแม้ว่าเขาจะไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

 

“เอาล่ะ ตาแก่ หวูรีบๆบอกฉันได้แล้วว่าใครกันที่เป็นคนวาด?

 

“ฮ่าฮ่า… “หวูไต้หัวเราะด้วยความพอใจ ” ตาแก่ฉี ได้เวลาแล้ว!”

 

หวูไต้หันโทรศัพท์ไปรอบๆ เขาแพลนกล้องไปที่เย่หยู่ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เขาไม่ใช่ปรมจารย์หรือผู้เชี่ยวชาญ แต่เขาเป็นนักเรียนของฉัน!”

 

“เย่หยู่!”

 

ฉีฉวนเหรินถาม “เย่หยู่ เธอเป็นคนวาดดวงตามังกรหรอกหรือ”

 

เย่หยู่จ้องมองไปที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของฉีฉวนเหริน เขายิ้ม “ผู้อาวุโสฉี เราเจอกันอีกแล้ว!”

 

“ผมเป็นคนวาดเอง”

 

ฉีฉวนเหรินเจ้านิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตระหนักได้ว่า “ไม่น่าแปลกใจ! ตั้งแต่สมัยโบราณ ศิลปะไม่ได้ถูกแยกออกจากสายเลือด ทักษะการวาดภาพก็เช่นกัน 

ฝีมือของเธอนั้นเทียบเท่ากับถังหยินช่างสมเหตุสมผลเสียจริง”

 

หวูไต้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เขารู้สึกตกใจในทันทีที่ได้ยินบทสนทนาของเย่หยู่และฉีฉวนเหรินเขาไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างครบถ้วน

 

“เดี๋ยวก่อน!” หวูไต้โพล่งออกมาในทันที “ตาแก่นายรู้จักเย่หยู่งั้นหรือ?”

 

“ฮ่าฮ่า… “

 

ฉีฉวนเหรินเจ้าหัวเราะอย่างมีความสุข “ฉันเคยพบเย่หยู่มาก่อน ตอนนั้นตัวอักษรของเขาทําให้ฉันตกใจจริงๆ!”

 

“อักษร?” ”อักษรอะไร”

 

หวูได้รู้สึกสับสนมากยิ่งขึ้น เขาหันหลังกลับไปถามเย่หยู่ว่า “เย่หยู่ เธอเคยเจอกับตาแก่ฉีตอนไหน”

 

“ผมได้พบกับผู้อาวุโสฉี โดยบังเอิญที่บ้านของฮันเสวี่ยเมื่อสองสามวันก่อนครับ”

 

“แล้วตัวอักษรพวกนั้นล่ะ?” หวูไต้ถามขึ้นมาในทันที

 

เย่หยู่หัวเราะเบาๆออกมาและพูดอย่างสบายๆว่า”อ้อ ผมแค่เขียนอะไรนิดหน่อยเอง!”

 

ฉีฉวนเหรินเจ้าได้ยินคําพูดของเย่หยู่ เขาส่ายหัวและหัวเราะออกมาแห้งๆ จากนั้นเขาจึงพูดกับหวได้ว่า “เธอบอกว่า “นิดหน่อย”หรอ? เย่หยู่ได้เขียนคําขวัญลงบนภาพวาดของถังหยิน ต่างหากล่ะ!”

 

“ถังหยิน?” หวูไต้ร้องออกมาด้วยความตกใจ เขาหันหน้าไปทางเย่หยู่ด้วยใบหน้าตกใจนั้นและพูดว่า

 

“เย่หยู่ เธอช่างกล้านัก!” เธอรู้หรือไม่ว่าผลงานของ ถังหยินนั้นมีราคาเท่าไหร่? ตัวอักษรพวกนั้นของเธอนั้นมีค่ามาก! ”

 

ฉีฉวนเหรินหัวเราะและพูดกับ หนูไต้ว่า “ตาแก่หวู นายกําลังตําหนิเย่หยู่อยู่นะ!”

 

“ที่จริงแล้วภาพนั้นเป็นของขวัญอวยพรของเย่หยู่ที่ให้กับ ฮันซื่อเยี่ย และหมิ่นโหรว!”

 

หวูไต้รู้สึกตกใจ” เธอต้องการใช้งานเขียนของถังหยินนั้นของขวัญอวยพรงั้นหรอ”

 

เขามองไปที่เย่หยู่ด้วยความตกใจ หวูไต้พูดว่า “เย่หยู่ เธอช่างใจกว้างจริงๆ!”

เมื่อเห็นอาการตกใจของหวูได้ที่แสดงออกมาเช่นเดียวกับตัวเขา ฉีฉวนเหรินหัวเราะอย่างมีลับลมคมในและพูดต่อว่า

 

“คําขวัญของเย่หยู่ในภาพวาดของถังหยินไม่เพียงแค่ทําให้สีไม่ผิดเพี้ยน แต่กลับเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปซึ่งกันและกันทําให้การภาพนั้นสมบูรณ์และสวยงามยิ่งขึ้น!”

 

หวูไต้รู้สึกตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนกลับมามีสภาพที่ปกติ เขามองไปที่เย่หยู่”เย่หยู่ เธอยังปล่อยให้พวกฉันมีชีวิตงั้นหรือ?!” ด้านการเรียน เธอนั้นเป็นนักเรียนที่เก่งที่สุด! และในด้านของศิลปะเธอยังเป็นปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญอีกด้วย! มีอะไรบ้างที่เธอทําไม่ได้เนี่ย”

 

ปล้นสวรรค์

ปล้นสวรรค์

เรื่อง ปล้นสวรรค์ นักเรียนมัธยมปลายธรรมดา นามว่าเย่หยู จู่ๆวันหนึ่งก็มีลำแสงพุ่งลงมาที่มือของเขา ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้ระบบปล้นสวรรค์มาคลอบครอง ในแต่ละวันเขาสามารถเปิดช่องมิติ เพื่อที่จะใช้มือของเขา ล้วงเข้าไปขโมยของต่างๆจากทุกที่มาเป็นของตน “ยอดภูเขาดาบ ซึ่งมีดาบวิเศษปักอยู่ จู่ๆก็เกิดวังวน พร้อมทั้งมีมือยื่นออกมา คว้าดาบวิเศษ ที่นิกายดาบสวรรค์เฝ้ารอคอย” “ดร.อากาสะแว่นตารุ่นล่าสุดของผมอยู่ไหนครับ” “ โอ้มันอยู่ตรงนี้ โคนัน เอ๊ะ! มันหายไปไหนแล้ว!” “ ฮ่าฮ่า ในที่สุดตำราฝังเข็มเล่มนี้ก็เป็นของข้า! อ๊ะ! ใครบังอาจขโมยไป”

Options

not work with dark mode
Reset