เสียงคำรามน่าตกใจราวกับฟ้าร้อง หลังจากโทรโข่งได้พลังเสริม คลื่นเสียงที่ส่งออกมาจึงรุนแรงถึงขีดสุด จนในที่สุดโทรโข่งก็ทนรับไม่ไหวและพังทลายลงไประหว่างที่คลื่นเสียงดังออกมานั่นเอง
แม้จะแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่คลื่นเสียงก็ยังแพร่กระจายไปทางแม่นางกระพรวนราวกับพายุบ้าคลั่ง ในชั่วพริบตาก็ปะทะกับคลื่นเสียงของกระพรวน ทลายกรงเล็บวิหคเพลิงที่ขวางกั้นจนพินาศย่อยยับ จากนั้นพลังที่กวาดไปทุกทิศก็พุ่งเข้าใส่แม่นางกระพรวนคนนั้น
แม่นางกระพรวนหน้าเปลี่ยนสี ถึงแม้นางจะใช้เคล็ดวิชาคลื่นเสียงบ่อยครั้ง แต่การเผชิญหน้ากับมันอย่างกะทันหันก็ยังทำให้ตกใจได้ อันที่จริงเป็นเพราะโทรโข่งยักษ์ของหวังเป่าเล่อนั้นระเบิดคลื่นเสียงบ้าคลั่งเกินไป กระทั่งพื้นดินรอบๆ ก็ยังบิดเบี้ยว และยังไม่สิ้นสุดแค่นั้น ในคลื่นเสียงที่เหมือนพายุนี้ยังประกอบด้วยนิ้วมือที่แปลงจากหมอกอีกกลุ่มหนึ่ง!
นั่นคือพลังเทพหลังจากที่หวังเป่าเล่อค้นพบด้วยตัวเองว่าเป็นวิถีเต๋าพลังเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา นิ้วเมฆาของสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์!
พูดให้ชัดเจนคือนิ้วนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้แม่นางกระพรวนหน้าเปลี่ยนสี แทบจะในทันทีนางก็สังเกตเห็นความต่างของการโจมตีครั้งนี้กับพลังเทพหยาบๆ ก่อนหน้านี้
“นิ้วนี้มีวิถีเต๋าซ่อนอยู่!” แม่นางกระพรวนหายใจถี่รัว ในช่วงเวลาวิกฤตมือทั้งสองข้างของนางก็ยกขึ้น มันสั่นอย่างรุนแรง ทันใดนั้นเสียงวิหคเพลิงก็ดังออกมาจากความว่างเปล่ารอบตัวนาง วิหคเพลิงทั้งหมดแปดตัวปรากฏออกมาในพริบตา สุดท้ายตราวิหคเพลิงอีกอันก็ปรากฏขึ้นตรงหว่างคิ้วของนางรวมเป็นเก้าตัว!
นี่คือพลังเทพอันเป็นเอกลักษณ์ของสำนักเก้าวิหคเพลิง เก้าวิหคเพลิงประสานเสียง!
แทบจะในพริบตาที่ตราวิหคเพลิงปรากฏบนหว่างคิ้ว แม่นางกระพรวนอ้าปากส่งเสียงนกร้องเบาๆ ดังไปทุกทิศทางพร้อมกับวิหคเพลิงอีกแปดตัว เสียงที่ก่อตัวขึ้นนั้นดูเหมือนไม่ได้สูงมาก ทว่าความชัดเจนนั้นราวกับสามารถชำระล้างทุกสิ่งทุกอย่างได้ มันพุ่งตรงไปยังนิ้วเมฆารวมถึงคลื่นเสียงบ้าคลั่งพวกนั้น!
หากเสียงจากโทรโข่งเปรียบได้กับไฟโหมกระหน่ำ เช่นนั้นเก้าวิหคประสานเสียงก็คือสปริงที่อ่อนนุ่ม การปะทะกันก็เหมือนกับการหลอมรวมน้ำและไฟ ความผันผวนที่เกิดขึ้นมีตรงนี้เป็นจุดศูนย์กลางและกระจายไปทั่ว
แผ่นดินสั่นสะเทือน ภูเขาและโขดหินพังทลาย พืชพรรณทั้งหมดดังขี้เถ้าปลิวหาย ควันมลายสิ้น กระทั่งฝุ่นที่ไม่มีที่สิ้นสุดก็ก่อตัวขึ้นในท้องฟ้าและแผ่นดินปกคลุมแนวสายตา ทำให้สถานที่แห่งนี้พร่ามัวเมื่อมองจากระยะไกล!
จนกระทั่งหลังจากหายใจไปมากกว่าสิบอึดใจ ความพร่ามัวก็สลายไปเผยให้เห็นร่างของแม่นางกระพรวนข้างใน เสื้อผ้าของนางยังสะอาดหมดจดเหมือนเดิม กระพรวนที่ข้อมือก็ไม่มีอะไรเสียหายแม้แต่น้อย วิหคเพลิงมายาทั้งแปดตัวข้างกายก็ยังคงผงาดง้ำ มีเพียงตราที่กึ่งกลางคิ้วของนางเท่านั้นที่ริบหรี่ลงเหมือนกับว่าความผันผวนของตบะสงบลง
ยังมีใบหน้าของนาง…ที่ขณะนี้ไม่ยิ้มแย้มอีกต่อไป แต่มีความมืดมนขึ้นมาบ้างแล้ว
เพราะว่า…รอบตัวนางไม่มีร่างของหวังเป่าเล่อแล้ว
“แผ่นหยกนั่น…” แม่นางกระพรวนหมุนตัวกลับไปมองยังทิศที่นางไล่ตามมา นัยน์ตาค่อยๆ เผยเจตนาที่จะต่อสู้อย่างรุนแรง นางรู้แล้วว่าในแผ่นหยกที่เซี่ยต้าลู่ขว้างไปก่อนหน้านี้มีอุบายบางอย่างหรือจะเรียกว่า…เซี่ยต้าลู่ที่ตนไล่ตามเมื่อกี้ไม่ใช่เขา!
“ข้าไล่ตามร่างแยกมานานขนาดนี้ กระทั่งอีกฝ่ายหายตัวไปถึงได้รู้ว่าคนที่ไล่ตามไม่ใช่ตัวจริง…” แม่นางกระพรวนคิดถึงตรงนี้แล้วสีหน้านางก็ไม่น่าดูขึ้นมาเล็กน้อย
“เซี่ยต้าลู่!”
แทบจะในเวลาเดียวกับที่แม่นางกระพรวนตะโกนอย่างขุ่นเคือง ณ สถานที่ที่ห่างไกลจากตรงนั้น หวังเป่าเล่อที่กำลังหนีก็จามออกมาครั้งหนึ่ง
“มีคนกำลังนินทาข้าหรือ ต้องเป็นแม่นางกระพรวนคนนั้นแน่ แต่นางไม่รู้ชื่อที่แท้จริงของข้า คงจะตะโกนชื่อเซี่ยต้าลู่…” หวังเป่าเล่อเงยหน้า สีหน้าแสดงความพึงพอใจ ทว่าในไม่ช้าก็เก็บความพึงพอใจนั้นไป ดวงตาค่อยๆ หรี่ลงช้าๆ
ความจริงแล้วในแผ่นหยกแผ่นแรกมีสารัตถะของเขาประกอบอยู่ด้วยบางส่วนเพื่อให้สะดวกต่อการหลบหนี ส่วนแผ่นหยกแผ่นที่สองแอบซ่อนสารัตถะส่วนใหญ่ของเขาไว้ข้างใน หากอีกฝ่ายยังคงทุบจนแตกอีก เขาก็จะฉวยโอกาสลงมือ หากไม่สนใจเขาก็จะใช้มันหนีออกมา
ถึงแม้วิธีการหลบหนีเช่นนี้จะสูญเสียสารัตถะบางส่วนไป แต่หลังจากหวังเป่าเล่อชั่งน้ำหนักดูแล้วก็ยังรู้สึกว่าดีกว่าการสู้ตายแบบโง่ๆ กับอีกฝ่าย สุดท้ายไม่ว่าจะแพ้หรือชนะในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ก็ต้องสูญเสียพลังต่อสู้ไปอยู่ดี
และที่สำคัญที่สุดคือเขาพบว่าหลังจากตัวเองกินผลไม้วิญญาณไปตอนนั้นก็ดูเหมือนว่าสารัตถะจะฟื้นฟูได้เร็วกว่าเดิมไม่น้อย สำหรับส่วนที่สูญเสียไป อิงจากการสรุปของเขาแล้วนั้นใช้เวลามากสุดสามถึงห้าวันก็เติมเต็มกลับมาได้สมบูรณ์แล้ว
“เสียดายโทรโข่งยักษ์ของข้าจัง” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าแล้วตัดสินใจว่าจะหาเวลาสกัดขึ้นมาอีกหนึ่งอัน สมบัติเวทชิ้นนี้ใช้งานได้ดีทีเดียว ไม่ใช่แค่อานุภาพน่าทึ่ง ที่สำคัญที่สุดคือการระเบิดพลังที่ประหลาดจนคาดไม่ถึง
“อีกอย่างระหว่างประมือกันเมื่อครู่ บนตัวของแม่นางกระพรวนผู้นั้นเหมือนมีพลังปราณบางอย่างที่ทำให้ข้ารู้สึกไม่ดี…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาครุ่นคิด ขณะเดียวกันก็แผ่จิตใต้สำนึกออกไปเริ่มตามหาผลึกมายาบริเวณรอบๆ เขารู้ว่าเวลาเจ็ดวันนั้นสั้นมากและไม่มีใครรู้เบาะแสหรือตำแหน่งของผลึกมายาทั้งสิ้น จะหามันพบได้ต้องใช้โชคเพียงอย่างเดียว หรือไม่ก็…รอให้คนอื่นหาพบแล้วช่วงชิงมา
“อาจมีวิธีอื่นที่จะตามหาผลึกมายาได้อย่างราบรื่น…แต่วิธีพวกนั้นน่าจะอยู่ในมือของตระกูลมหาศิษย์แห่งเต๋าพวกนั้น พวกเขารู้ แต่ข้าไม่รู้” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วและครุ่นคิดด้วยความเร็วที่ไม่ได้ลดลงเลย เมื่อเขาตามหาผลึกมายาแม่นางกระพรวนก็ต้องเลิกไล่ตามเขาและตามหาผลึกมายาบนดาวมายาเช่นกัน
ขณะเดียวกันไม่ว่าชายหนุ่มชุดดำที่แบกกระบี่เล่มโตไว้ที่หลังคนนั้นหรือแม่นางน้อยที่ใช้ศาสตร์มืดต่างก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ระหว่างที่ถูกหญิงสวมหน้ากากและชายหนุ่มผู้สง่างามไล่ตามต่างก็ใช้วิธีของตนหลบหนีออกมาและเริ่มตามหาผลึกมายา
วิธีของพวกเขาสองคนแตกต่างกัน ทางฝั่งของแม่นางน้อยนั้นประหลาดมาก แม้ว่าฐานการฝึกฝนและพลังต่อสู้ของหญิงสวมหน้ากากจะยอดเยี่ยม ทว่าไล่ตามไปครึ่งทางก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหายไปไหนแล้ว
กลับกันทางฝั่งของชายหนุ่มผู้สง่างามนั้นไล่ตามชายหนุ่มชุดดำได้อย่างราบรื่น เพียงแต่บุคลิกของพวกเขาแตกต่างกันจึงทำให้แต่ละคนมีวิธีทำสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน เมื่อเผชิญหน้ากับการไล่ตามของชายหนุ่มผู้สง่างาม ทางเลือกของชายหนุ่มชุดดำก็คือชักกระบี่เข้าสู้
การต่อสู้ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนเรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน สุดท้ายชายหนุ่มผู้สง่างามจากสำนักอันดับหนึ่งเต๋าฝ่ายซ้ายก็ทำได้เพียงหยุดมืออย่างขมขื่น เพราะหากยังสู้ต่อไป ต่อให้เขาเอาชนะได้ก็ต้องเจ็บหนักอยู่พอตัว
เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องชั่งน้ำหนัก ทั่วไปคนที่มีสติปัญญาย่อมรู้ดีว่าควรเลือกอย่างไร ดังนั้น…ผู้มีฝีมือชั้นยอดท่ามกลางเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าอย่างพวกเขาจึงเริ่มค้นหาผลึกมายาแทน ส่วนคนอื่นๆ นั้น แม้จะมีบางส่วนถูกผนึกไว้ แต่ก็กระจัดกระจายกันไปมากขึ้น ต่างคนจ่างค้นหาผลึกมายาไปพร้อมกับหลบเลี่ยงการโจมตีจากร่างมายา
เป็นแบบนี้จนหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครพบผลึกมายาสักชิ้น หวังเป่าเล่อเองก็กังวลอยู่ในใจ เพราะเขาเหาะมานานมากแล้ว จิตใต้สำนึกก็แผ่ขยายออกไปค้นหาอย่างเต็มที่ก็พบเพียงผู้เข้าทดสอบคนอื่น แต่ไม่รู้สึกว่าที่ใดมีผลึกมายาเลย
“ความรู้สึกเช่นนี้…หรือว่าสาเหตุที่จักรวรรดิดาวตกบอกว่าเวลาคือเจ็ดวันเป็นเพราะพวกเขาต้องการจะบอกใบ้ในนาทีสุดท้ายเพื่อให้ผู้คนที่กำลังค้นหาอย่างทรมานรีบเร่งต่อสู้กัน” หวังเป่าเล่อมองท้องฟ้า คิ้วขมวดมุ่นและดูเหมือนกำลังพึมพำ แต่ความจริงแล้วดวงตาของเขากลับเปล่งแสงอยู่เล็กน้อย
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่งและไม่เห็นว่าบริเวณรอบๆ มีปฏิกิริยาอะไร หวังเป่าเล่อก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรและพึมพำต่อไป
“หากเป็นเช่นนี้จริง จุดประสงค์ของจักรวรรดิดาวตกคงไม่ง่ายขนาดนั้น…”
“โอ๊ย หายากจริง เจ้าผลึกมายาพวกนั้นอยู่ไหนกันแน่นะ หรือต้องรอจนถึงตอนสุดท้ายจริงๆ…” หวังเป่าเล่อเอ่ยและมองสำรวจรอบๆ อีกครั้ง จากนั้นก็กะพริบตาพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง
“ข้าตัวคนเดียวพลังอ่อนแอ เกรงว่าจนถึงตอนสุดท้ายก็คงสู้ไม่ได้”
“ทำอย่างไรดีนะ หากมีใครมาช่วยข้าได้ ต่อให้ต้องแลกกับเงื่อนไขบางอย่าง ข้าก็ยอมนะ” หวังเป่าเล่อถอนหายใจยาวและกำลังจะพูดต่อ ทว่าในตอนนั้นเองจู่ๆ หูของเขาก็ได้ยินเสียงเลือนรางที่คุ้นเคยลอยมา
“อยากจะถามข้าก็พูดมาตรงๆ ไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมาแบบนี้!” ขณะที่เสียงนั้นลอยมา ความว่างเปล่าตรงหน้าเขาก็เกิดการบิดเบี้ยว ก่อนที่กระดาษรูปมนุษย์ตนหนึ่งจะปรากฏตัวขึ้นและเดินเข้ามาหาหวังเป่าเล่อทีละก้าว
เขาปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับร่องรอยพลังงานเย็นยะเยือกที่แผ่ขยายออกไปรอบด้าน ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางฤดูหนาวในทันที หลังจากตัวสั่นเทา เขาก็รีบกำหมัดคำนับกระดาษรูปมนุษย์ตรงหน้า
“ผู้น้อยทำความเคารพผู้อาวุโส!”
กระดาษรูปมนุษย์ตนนี้ก็คือตนที่อยู่ในสร้อยข้อมือของเขานั่นเอง หลังจากเขาจากไปก่อนหน้านี้ ถึงแม้จะไม่ได้กลับมา แต่การเตือนสติครั้งนั้นระหว่างทางทำให้หวังเป่าเล่อเดาว่าอีกฝ่าย…อาจจะอยู่ข้างกายเขาก็ได้!
หวังเป่าเล่อรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายดูเหมือนไม่อยากให้เขาแพ้ไปเช่นนี้ มิเช่นนั้นครั้งก่อนก็ไม่จำเป็นต้องเตือนสติเขา และหากเป็นไปตามนี้ก็น่าจะช่วยเขาได้มาก!
ดังนั้นหลังจากค้นหามาตลอดหนึ่งวันและไม่พบผลลัพธ์ใด เขาจึงเริ่มคิดถึงอีกฝ่ายและพูดกับตัวเองอย่างเมื่อครู่…
……………………………………….