หีบเงียบลงไป ถึงขั้นที่ไร้เสียง ไม่แม้กระทั่งแว่วเสียงลมหายใจ
ฉินมู่สามารถเคลื่อนไหวไปมาอย่างอิสระในความมืด อย่างเงียบเชียบด้วยเช่นกัน
เหงื่อหยดหนึ่งร่วงหล่นลงไปในกองเลือดด้วยเสียงแผ่วเบา เจ้าของเหงื่อรีบเคลื่อนหนี แต่พลันเจ็บแปลบแล่นเข้ามาที่หัวใจ มันดูท่าจะถูกไม้เท้าไผ่เสียบทะลุ
ฉินมู่ดึงเอาไม้เท้าไผ่ออก และเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเงียบกริบ เสียงของศพล้มครืนดังมาจากข้างหลังเขา
มันพลันชักนำปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรุนแรงจากบริเวณโดยรอบ มารนอกโลกเหล่านั้นรุมโจมตีเข้ามา ระเบิดปะทุไปด้วยทักษะเทวะและอาวุธวิญญาณอันเจิดจ้า ยังพื้นที่บริเวณที่เสียงดังมา
ท่ามกลางแสงวาบของทักษะเทวะและอาวุธวิญญาณ ฉินมู่ก็เคลื่อนที่ข้างในหีบราวกับเงาภูตผีและผู้ฝึกวิชาเทวะก็ร่วงตายไปทีละคนสองคนด้วยน้ำมือเขา เมื่อแสงหายวับไป ความมืดก็กลับมาใหม่อีกครั้งพร้อมกับซากศพของผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านั้นอันโงนเงนและร่วงหล่น
รอบข้างกลับสู่ความสงบอีกครา
พื้นที่ภายในหีบมีรัศมีหนึ่งร้อยห้าสิบวาอันเป็นพื้นที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเจ็ดไร่
หากว่าผู้คนหลายร้อยคนยืนกระจัดกระจายกันในพื้นที่ขนาดนี้ พวกเขาไม่น่าจะรู้สึกแออัด แม้ว่าผู้นั้นจะเป็นสัตว์ยักษ์มหึมาอย่างกิเลนมังกร กระนั้นสำหรับผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านี้ พื้นที่รอบๆ เหมือนกับอัดแน่นเต็มไปหมด
ทักษะเทวะสามารถพุ่งไปถึงใครก็ตามได้ในพริบตา และบางทักษะที่แข็งแกร่งหน่อยก็สามารถกวาดซัดไปได้ทั้งพื้นที่
เมื่อฉินมู่ดึงพวกเขาทั้งหมดเข้าไปในหีบ ทุกคนก็ตื่นตระหนก และเริ่มลงมือต่อสู้กันทันที อันทำให้ตอนแรกนั้นหีบสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ความมืดได้นำความโกลาหลมายังกลุ่มคน และเพื่อปกป้องตนเอง ทุกคนก็โจมตีใครก็ตามที่อยู่ใกล้ เพราะอย่างนั้น ผู้ฝึกวิชาเทวะที่มีฝีมือแข็งแกร่งก็ตกตายด้วยน้ำมือพวกพ้องไปหลายคน
ความโกลาหลคงอยู่ไม่นาน ในเมื่อมีผู้นำของพวกเขาที่อยู่ในวรยุทธขั้นชาวสวรรค์สั่งให้พวกเขายืนนิ่งๆ
ยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์นั้นชาญฉลาด แต่เขาถูกฉินมู่สังหารในพริบตาถัดมา และความปั่นป่วนก็หวนคืนกลับมาอีกครั้ง ฉินมู่ใช้ไม้เท้าไผ่ของเขาเพื่อสังหารผู้คน และแม้แต่ยอดยุทธขั้นชาวสวรรค์ก็ไม่อาจจะรอดชีวิตจากการต่อสู้ประชิดตัวกับเขาได้
หลังจากที่สถานการณ์สงบลงบ้าง ก็มีบางคนพยายามแง้มหีบเปิดเพื่อให้แสงส่องเข้ามา แต่เขาก็ถูกฉินมู่แทง
ในช่วงเวลานั้น มีการต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอด ทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในหีบต่างก็ตกอยู่ในความหวาดผวา หวั่นเกรงอันตรายต่อชีวิตตน พวกเขาสะกดข่มลมหายใจ หัวใจเต้น และแม้กระทั่งบาดแผลของตนเองเอาไว้ พวกเขาไม่ต้องการให้เลือดไหลร่วงลงมาและทำให้ฉินมู่รู้ตำแหน่งที่อยู่
พวกเขาถึงกับหลับตาลงด้วย เพื่อมิให้มันเผยพิรุธตำแหน่งแห่งที่ของตนเองในความมืด
สำหรับผู้ฝึกวิชาเทวะ ทุกๆ คนมักจะฝึกทักษะเทวะเนตรที่จะส่องแสงออกมา จุดแสงในโลกมืดย่อมกลายเป็นเป้าหมายการโจมตีของฉินมู่!
เขานั้นเหมือนกับค้างคาวในถ้ำไร้แสง ปรากฏและหายวับไปอย่างคาดเดาไม่ถูก เสียงใดที่เกิดขึ้นก็จะจับความสนใจของเขา และนำความตายมาสู่เจ้าของเสียง
ในความมืดอันแทบหายใจหายคอไม่ออกนี้ มีราชามารซุ่มตัวอยู่ อันพร้อมจะคร่าชีวิตใครไปเมื่อใดก็ตาม!
เมื่อหีบเปิดออกและพ่นศพออกไปอีก แสงส่องมาจากข้างบนและทุกคนก็รู้สึกโลหิตในร่างเย็นเฉียบ พวกเขาทั้งหมดเคลื่อนที่ ไม่กล้าที่จะอยู่ตรงจุดเดิมอีกต่อไป ผ่านไปสักครู่หนึ่ง เสียงของทักษะเทวะปะทะกันและซากศพที่ร่วงหล่นก็ดังมา มีคนตายในความโกลาหลอีกครั้ง
“ข้าทนไม่ไหวแล้ว!”
ในที่สุด ‘มารนอกโลก’ คนหนึ่งก็ไม่อาจทานทนบรรยากาศอันสยองขวัญนี้อีกต่อไปและสติขาดผึง เขาซัดทักษะเทวะทุกอย่างพร้อมกับอาวุธวิญญาณทุกประเภทออกไปทุกทิศทางพลางตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “ตายซะ! พวกเจ้าตายกันไปให้หมด!”
พลานุภาพของการจู่โจมเหล่านั้นร้ายกาจและสามารถครอบคลุมพื้นที่กว่าร้อยห้าสิบวาได้อย่างง่ายดาย อาวุธวิญญาณของเขาก็คมกล้าอย่างเหนือธรรมดา กวาดซัดไปรอบทิศ บีบให้ผู้คนในความมืดต้องป้องกันตนเอง
ในหีบ เกิดความปั่นป่วนขึ้นอีกครั้ง และเสียงตะโกนดุเดือดก็ดังไปทั่วทุกหนแห่ง อาวุธวิญญาณและทักษะเทวะมากมายแล่นพล่านไปหมดอย่างสะเปะสะปะ
นานพอดู ผู้ฝึกวิชาเทวะที่สติหลุดก็หอบหายใจอย่างรุนแรงและหยุดมือ ไม่มีเสียงอื่นๆ อีกในความมืดนอกจากเสียงหอบหายใจของเขา
“ตาย?” ชายผู้นั้นตกตะลึง เขานั้นทั้งประหลาดใจและยินดีเมื่อหัวเราะร่า “พวกเจ้าตายกันหมดแล้ว! ตายกันทั้งหมด! ข้ารอดชีวิต ข้ายังมีชีวิตอยู่!”
ฉึก!
ไม้เท้าไผ่แทงเข้าไปในปากของเขาและทะลุออกที่ท้ายทอย
หีบเปิดออกมา และด้านทั้งสี่ก็แผ่ออก แสงสว่างส่องลงมาบนพื้นที่หนึ่งร้อยห้าสิบวานี้ ทว่าข้างในนั้น มีเพียงฉินมู่ ผานกงสั่วที่สีหน้าซีดเผือด และกิเลนมังกรอันตัวสั่นเทาอยู่ที่มุมหนึ่ง
เขาได้ย่อหดร่างกายเหลือแค่วาครึ่งและซ่อนอยู่ท่ามกลางกองหิน หนังเหนียวๆ เนื้อหนาๆ ของเขายังอยู่ดี แต่อาวุธวิญญาณทุกขนาดติดอยู่เต็มตัวเขา ท่ามกลางของเหล่านั้น ถึงกับมีกระบี่จำนวนหนึ่งที่เป็นของฉินมู่อยู่ชัดๆ เห็นได้ว่ามีการโจมตีจำนวนไม่น้อยที่ซัดมาโดนเขาในความมืด
เขาตัวใหญ่โต แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหดย่อร่างลงไป แต่ก็ยังไม่ขาดลูกหลงที่ซัดมาโดนเขา
ทั้งพื้นนี้เกลื่อนไปด้วยซากศพ แต่ละร่างก็ตายด้วยวิธีต่างๆ กันไป บ้างก็ถูกไม้เท้าไผ่แทง บ้างก็ศีรษะถูกมีดผ่าแยก บ้างก็ถูกแขวนเอาไว้ในภาพวาดและถูกลบศีรษะออก มีกระทั่งวัวและแพะจำนวนหนึ่ง กับผู้ฝึกวิชาเทวะที่ถูกกระบี่รุมแทงจนเป็นเม่น และยังมีผู้ที่ถูกไจกระบี่บดขยี้ หรือถูกรังมังกรแท้บดทับ
แต่ทว่า ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาตกตายในน้ำมือของพวกเดียวกัน
สถานการณ์มันปั่นป่วนชุลมุนจนเกินไป เพื่อปกป้องตนเอง ทุกคนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสังหารซึ่งกันและกัน พวกที่ตายในเงื้อมมือของฉินมู่ ผานกงสั่ว และกิเลนมังกรนับว่าเป็นส่วนน้อย ประมาณสามในสิบส่วน
ผานกงสั่วเช็ดรอยเลือดที่เปื้อนบนใบหน้า และยังคงหวาดผวาไม่หาย
ในความมืดอันดิบดำ ฉินมู่ได้ปะทะกับเขาหนึ่งครั้ง และหากว่าเขามิได้ใช้สุดยอดวิชาของวังทองโหรวหลันเพื่อให้อีกฝ่ายตระหนักว่าเป็นเขา เขาก็คงถูกลบหายไปจากโลกด้วยฝีมือฉินมู่
ในความมืดเขาได้รับบาดเจ็บมากมายและกำจัดคู่ต่อสู้ไปก็มาก แต่ช่วงเวลาอันตรายคับขันที่สุดก็ตอนที่ฉินมู่มาประชิดตัวเขา
ตอนนั้นเขาเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้ง!
แม้ว่าผานกงสั่วจะรอดจากกระบวนท่าพิฆาตของฉินมู่มาได้ แต่กลางท้องของเขาก็ยังมีรูแผลเลอะเลือนอันเกิดจากไม้เท้าไผ่ นี่มาจากที่เขาหลบหลีกการแทงเข้าไปในตำแหน่งหัวใจ คอของเขาก็ถูกบีบให้บิดไปเป็นองศาที่น่ากลัวเพื่อหลบเลี่ยงมีดเชือดหมู
ฉินมู่อาจจะมิได้โจมตีเขาซ้ำอีกหนหลังจากที่จดจำทักษะเทวะของเขาได้ แต่ผานกงสั่วก็ยังสงสัยว่าไอ้เด็กเวรนี่มันรู้ว่าเป็นเขามาตั้งแต่แรก หมอนี่คงคิดจะฉวยโอกาสกำจัดเขาไปด้วยเสียเลย
แน่นอนว่าผานกงสั่วไม่มีหลักฐานใดๆ ดังนั้นเขาจะยกขึ้นมาพูดก็ไม่เหมาะ
ฉินมู่ร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต เขาลากศพโยนออกไปจากหีบจนหมด เขาเองก็ได้รับบาดแผลมากมายและได้ตกในสภาวะการณ์อันคับขันร่อแร่ เขานั้นเกือบจะตายภายใต้การโจมตีที่ส่งซัดไปรอบทิศทาง
ท่ามกลางคู่ต่อสู้ทั้งหลาย มียอดฝีมือแข็งแกร่งจำนวนหนึ่งในขั้นชาวสวรรค์ ทักษะเทวะของพวกนั้นยิ่งแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ และการโจมตีจากจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาก็น่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือแสน หากว่าถูกโจมตีไปแม้แต่ครั้งเดียว ต่อให้ใช้กายามังกรแท้จ้าวแดนดินเขาก็คงจะสิ้นชีวิต
ถึงอย่างไรเขาก็ยังถูกโจมตีด้วยทักษะเทวะและอาวุธวิญญาณมากมาย หากไม่เพราะว่า ‘มารนอกโลก’ คนหนึ่งเกิดเสียสติขึ้นมา ก็คงยากที่เขาจะเหลือรอดยืนหยัดเป็นคนสุดท้าย
ผานกงสั่วก้าวเข้ามา และทั้งคู่ก็โยนซากศพออกไปในความืดอย่างเงียบงัน
ไม่นานนัก หีบก็ถูกเก็บกวาดหมด ฉินมู่มิได้โยนอาวุธวิญญาณของ ‘มารนอกโลก’ พวกนี้ทิ้งไป แต่เก็บพวกมันไว้ในถุงเต๋าตี้ของเขา หลังจากนั้นเขาก็เรียกอาวุธวิญญาณที่เขาทิ้งไปในระหว่างการต่อสู้กลับมา
ฉึก ฉึก ฉึก
เลือดพุ่งออกมาเป็นสายจากร่างของกิเลนมังกร เมื่อกระบี่บินจำนวนหนึ่งดึงตัวมันเองออกมา และบินกลับไปรวมกับไจกระบี่ของฉินมู่
กิเลนมังกรมองไปยังบาดแผลที่ถูกเปิดอันมีเลือดไหลกระฉูดอยู่ ก่อนที่จะมองไปยังฉินมู่ “จ้าวลัทธิ ท่านแทงข้าหรือ”
“ข้าเปล่า อย่าพูดอะไรเหลวไหลสิ มันเป็นอุบัติเหตุ” ฉินมู่ปฏิเสธหน้าตาย
ผานกงสั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาฉวยโอกาสที่กิเลนมังกรกำลังเลียแผลตนเองเพื่อขับเคลื่อนไจกระบี่ของเขา มีดสี่ห้าเล่มหลุดออกจากก้นของกิเลนมังกรกลับเข้าไปรวมกับไจมีด
กิเลนมังกรโมโหเดือด “ผู้สูงศักดิ์ เจ้าก็แทงข้าเหมือนกัน?”
ผานกงสั่วไอออกมาเป็นเลือด และมองไปยังฉินมู่ที่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “อุบัติเหตุ มันต้องเป็นอุบัติเหตุ…” เขาลังเลแวบหนึ่งแล้วกล่าว “จ้าวลัทธิฉิน เจ้ายังมีน้ำลายมังกรเหลืออยู่ไหม ให้ข้าสักหน่อยสิ ข้าก็บาดเจ็บเหมือนกัน”
ฉินมู่คุ้ยถุงเต๋าตี้ของเขาและนำเอาน้ำลายมังกรออกมาสองสามขวด ผานกงสั่วลังเล แต่ก็ไม่กล้าจะรับมันมา เขาเกาหัวแกรกๆ “ข้าพลันรู้สึกขนพองสยองเกล้าที่จะใช้น้ำลายมังกรของจ้าวลัทธิฉินมู่รักษาบาดแผล ข้าไม่มีทางแน่ใจได้ว่าแผลของข้าจะหาย หรือชีวิตของข้าจะหายไปจากยาพิษกันแน่”
“ไม่อยากใช้ก็ไม่ต้องใช้” ฉินมู่เปิดขวดน้ำลายมังกรและทามันบนบาดแผลของเขา
ผานกงสั่วมองไปที่กิเลนมังกรซึ่งกำลังพ่นเพลิงกิเลนเพื่อหลอมละลายอาวุธวิญญาณที่ยังเหลือปักคาอยู่บนร่างของเขา เมื่อกิเลนมังกรเห็นเขาเดินเข้ามาอย่างหน้าไม่อาย เขาก็พลันเดือดดาลและหันตูดไปทางเขา เผยรอยแผลลึกบนนั้น “เลียแผลมันสนุกหรือ เจ้าอยากให้ข้าเลียแผลเจ้างั้นหรือ เช่นนั้นมาเลียแผลให้ข้าก่อนแล้วกัน!”
ผานกงสั่วสีหน้ามืดดำราวกับถ่าน และเขากล่าวอย่างเจี๋ยมเจี้ยม “ข้าอยากจะหยิบยืมน้ำลายมังกรสักนิดหนึ่ง มิได้ขอให้เจ้ามาเลียหรอก หากว่าเจ้าจะสงสารข้าสักหน่อย…”
กิเลนมังกรใจอ่อน เขาหักใจปฏิเสธไม่ลงและพ่นน้ำลายมังกรออกมากำลัง “เลียเองนะ!”
ผานกงสั่วกอบมันขึ้นมาและทาที่บาดแผลของเขา
พวกเขาเยียวยาตนเองและฉินมู่ก็นำน้ำลายมังกรอีกจำนวนหนึ่งมาทาบาดแผลที่ก้นของกิเลนมังกร แต่หลังจากที่พวกเขาพักอยู่อีกสักหน่อย ขาของพวกเขาก็ยังปวดไปหมดอยู่ดี
ในความมืด มีเสียงฝีเท้าเดินมาถึงพวกเขา และฉินมู่ดิ้นรนลุกขึ้นยืน เขาขับเคลื่อนเนตรสวรรค์ชาด และเงาร่างที่สวมใส่ผ้าคลุมสีแดงโลหิตก็ปรากฏขึ้นมาในความมืด
ผานกงสั่วก็ลุกขึ้นยืนด้วยแข้งขาสั่นพั่บๆ และเปิดขวดน้ำเต้าข้างหลังเขา น้ำตกโลหิตหลั่งไหลออกมาและพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
กิเลนมังกรพยายามที่จะยันตัวลุกขึ้น แต่แข้งขาอ่อนเปลี้ยของเขาไม่อาจค้ำพยุงร่างตนเองได้ เขารู้สึกว่าหมอบต่อไปจะดีกว่า ก็เลยพ่นไฟแท้ออกมาจากท่านั่งหมอบ
แขนของฉินมู่ห้อยเปลี้ย ไม่อาจจะยกไจกระบี่ขึ้นมา เขาทำได้แค่ดีดนิ้วเพื่อให้กระบี่ไร้กังวลบินออกมาลอยอยู่ใกล้ๆ ปลายนิ้วของเขา มันเล็กละเอียดอย่างถึงที่สุด
เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับมีดยาวที่กลางหลัง แต่ทว่า เขาไม่ได้เดินมาจนสุดทางถึงพวกเขา ในทางตรงข้าม เขาหยุดและมองดูซากศพหลายร้อยเหล่านั้นอย่างพินิจพิเคราะห์
ในความมืด สัตว์ประหลาดทั้งหลายไม่สนใจเขา ราวกับว่าสิ่งร้ายในความมืดจะมีผลก็แต่เฉพาะผู้คนในโลกใบนี้ แต่กับอาคันตุจากนอกโลกอย่างเขา พวกมันไม่เป็นอันตรายใดๆ
“สามารถสังหารกองสอดแนมของทัพหลิงซิ่วแห่งสภาสวรรค์ของข้าได้ เจ้านี่แข็งแกร่งจริงๆ!” เด็กหนุ่มแบกมีดยาวสลัดผ้าคลุมอันเต็มไปด้วยโลหิตสด เขามองไปยังฉินมู่ข้ามความมืด และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าน้อยคือลั่วอู๋ชวงแห่งทัพหลิงซิ่ว ไม่ทราบว่าท่านที่นับถือกล้าป่าวประกาศนามหรือไม่”
ผานกงสั่วหัวเราะคิก “ลั่วอู๋ชวง ทัพหลิงซิ่ว? ไม่เคยได้ยินมาก่อน เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เจ้าก็ดูมีฝีมืออยู่บ้าง รีบไสหัวมารับความตาย!”
เด็กหนุ่มเจ้าของมีดยาวไม่ยินดียินร้าย “ข้านับถือฝีมือของทุกคนที่นี่ ถึงกับสามารถสังหารยอดฝีมือมากมายโดยใช้เพียงสองคนและหมูหนึ่งตัว กำลังฝีมือของพวกท่านต้องไม่อ่อนด้อยเลยถึงทำเช่นนี้ได้ แต่ว่าพวกเขาก็เป็นเพียงกองสอดแนมเท่านั้น ทัพหลิงซิ่วเป็นกองทัพอันเลือกสรรสุดยอดหัวกะทิจากเหล่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์แห่งสภาสวรรค์ และมิใช่สิ่งที่จะใช้กองสอดแนมมาเทียบเคียงได้”
“พวกท่าน ด้วงมูลควายแห่งจักรพรรดิสูงส่ง สามารถมีกำลังฝีมือระดับนี้ได้นับว่าควรแก่การเลื่อมใส ดังนั้นข้าจึงได้ถามนามของพวกท่านเพื่อให้ชื่อเสียงของพวกท่านยังคงดำรงอยู่ต่อไปหลังจากที่ตายไปแล้ว แต่ในเมื่อพวกท่านไม่ต้องการเช่นนั้น…”
เขาชักมีดออกมา และฟันลงท่ามกลางสายลมแสงมีดดูราวกับว่ามันจะถูกฝึกฝนมาเป็นพันๆ ครั้ง เมื่อมันพุ่งมาท่ามกลางกระแสอากาศ มันขยายจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ เป็นแปด เป็นสิบหก ทวีคูณไปเรื่อยๆ และเมื่อทั้งหมดนั้นแล่นมาถึงเบื้องหน้าฉินมู่และคณะ มันก็กลายเป็นท้องฟ้าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยแสงมีด!
ผานกงสั่วกู่ร้องอย่างเกรี้ยวกราด และประกบฝ่ามือเข้าด้วยกัน น้ำตกโลหิตพลันแปรเปลี่ยนเป็นพุทธรูปโลหิตอันเข้าเผชิญกับแสงมีด แต่ก็แตกทำลายไป ถึงอย่างไรด้วยแรงปะทะของพุทธรูปโลหิต แสงมีดก็โยกคลอนไม่เสถียรไปครู่หนึ่ง
กระนั้นผานกงสั่วก็ทรุดนั่งลงกับพื้นและหอบหายใจอย่างรุนแรง เขาไม่มีพลังวัตรเหลืออีกต่อไป
ฉินมู่ดีดนิ้วขึ้น และกระบี่ไร้กังวลพุ่งโบยบิน แทงเข้าไประหว่างตาข่ายมีดและวาบไปประชิดเด็กหนุ่มผู้นั้นในเสี้ยวพริบตา
เขาพยายามใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อขับเคลื่อนกระบวนท่ากระบี่ของเขา ในเมื่อเขาไม่มีกำลังที่จะป้องกันตนเองอีกต่อไป กิเลนมังกรร้องคำราม และเกล็ดทั่วร่างของเขาก็บินออกไป พวกมันเหมือนกับโล่ใหญ่นับหมื่นที่ยกขึ้นป้องกันตรงหน้าฉินมู่
เด็กหนุ่มเคลื่อนไหวไปอย่างคาดเดาไม่ได้เพื่อหลบเลี่ยงแสงกระบี่ และเขาก็ยกมีดขึ้นมาปัดป้อง เพลงมีดของเขาได้บรรลุถึงขั้นไร้ที่ติ และมันมีความยิ่งใหญ่อลังการแฝงอยู่
ฉินมู่ใช้พละกำลังหยดสุดท้าย และปราณชีวิตของเขาก็เคลื่อนเรือนกระบี่ ท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปดแปรเปลี่ยนไปอย่างซับซ้อนเกินจะหยั่ง และเมื่อกระบวนท่าสุดท้ายถูกร่ายรำออกไป เด็กหนุ่มคนนั้นก็ครางเสียงหนัก แขนของเขาที่ถือมีดอยู่ถูกตัดสะบั้นออกไป
เขาใช้อีกมือคว้าแขนตนเอาไว้และรีบล่าถอย สะกิดเท้าพุ่งห่างออกไปหนึ่งลี้ในพริบตา
“เจ้าเป็นใคร ประกาศนามของเจ้ามา!” เขาตะโกนด้วยเสียงดุดัน
ฉินมู่คะเนว่าปราณชีวิตของเขากำลังแห้งเหือด และไม่อาจไปถึงระยะหนึ่งลี้นั้นได้ ดังนั้นเขาจึงเรียกกระบี่กลับมา กระบี่ไร้กังวลพุ่งวนเวียนไปรอบๆ ตัวเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้ดูเหมือนว่าเขายังคงมีพละกำลังอยู่
“จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ ฉินมู่” เขาแย้มยิ้มและกล่าวเสริมอย่างไม่เร่งร้อน “ข้างๆ ข้าคือผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองโหรวหลัน”
ผานกงสั่วสีหน้าแปรเปลี่ยน
…………………….