เกวียนมุ่งหน้าเข้าไปในหมอกอย่างช้าๆ
หมอกที่อยู่ตรงหน้ากินพื้นที่กว้างขวาง และสามารถมองเห็นได้ภายในรัศมีสามฟุตเท่านั้น
หลิงฮันจับมือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคเพลิงเอาไว้ ถ้ามีอันตรายที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ที่นี่ เขาก็จะส่งภรรยาของเขาเข้าไปในหอคอยทมิฬทันที ส่วนคนอื่นๆก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
เพราะอย่างไร ทุกคนที่อยู่ที่นี่เป็นแค่สหายร่วมทาง มันไม่ได้มีมิตรภาพที่ลึกซึ้งระหว่างกัน
สายตาของหลิงฮันจับจ้องไปที่ด้านหน้า แต่ไม่ว่าเขาจะจ้องมองแค่ไหน ถึงจะใช้เนตรแห่งสัจธรรมไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะเบื้องหน้ามีแต่หมอกและหมอก
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เห็นลานกว้างอยู่เบื้องหน้า และมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังฝึกฝนดาบอยู่ ชายหนุ่มคนนั้นน่าจะมีอายุประมาณสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาก็เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีแล้ว
น่าทึ่งมาก อายุแค่นั้นก็ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีแล้ว!
เดี๋ยวก่อน!
หลิงฮันรีบส่ายหัว เห็นได้ชัดว่าเขากำลังยืนอยู่บนเกวียนที่มุ่งเข้าไปในหมอก มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะเห็นลานกว้างและชายหนุ่ม?
หืม! สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะหายไปไหน?
หลิงฮันรีบหันมองซ้ายขวา แต่ก็พบว่าเขาไม่ได้ยืนอยู่บนเกวียนและไม่พบร่องรอยของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ ฉือหวง และคนอื่นๆแม้แต่น้อย
เมื่อเขาส่ายหัวอีกครั้ง เขาก็เห็นชายหนุ่มหยุดฝึกดาบและหันไปมองซ้ายขวา…เหมือนกับเขา
เคลื่อนไหวตามข้า?
หลิงฮันยกมือขึ้น ชายหนุ่มเองก็ยกมือขึ้นเช่นกัน แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นว่างเปล่า
หรือว่าจะเป็นวิญญาณของข้า?
หลิงฮันตัดสินใจที่จะพุ่งเข้าไปหาชายหนุ่ม แต่ชายหนุ่มกลับไม่เคลื่อนไหวตาม เขายังคงยืนหนึ่ง โดยไม่มีทางทีว่าจะหลบ
พรึบ!
ทั้งสองคนชนกัน แต่ไม่มีใครล้มกระเด็น และร่างของหลิงฮันก็เป็นเหมือนกับน้ำที่ละลายเข้าไปในร่างของชายหนุ่ม
ในตอนนั้นเอง เขากับชายหนุ่มก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์
ไม่สิ มันไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์ ชายหนุ่มไม่มีความทรงจำ นอกจากชื่อ อาจกล่าวได้ว่าวิญญาณของเขาเข้าไปในร่างของชายหนุ่ม
สติของเขาค่อนข้างคลุมเครือเล็กน้อย มีชื่อสองชื่อปรากฏอยู่ในความคิด ชื่อแรกคือหลิงฮัน ส่วนอีกชื่อคือ…ติงจื่อเฉิน
ข้าเป็นใคร?
หลิงฮันสับสน ความทรงจำของเขากำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว และมีความคิดเดียวที่หลงเหลืออยู่คือ ชื่อของข้าคือติงจื่อเฉิน ส่วนเรื่องอื่น…ไม่รู้อะไรเลย
แต่หลิงฮันกัดฟันแน่น และย้ำตัวเองว่าเขาคือหลิงฮัน!
หมอกนี้เป็นรูปแบบอาคมที่ทำให้สูญเสียสติสัมปชัญญะโดยที่เขาไม่รู้ตัว
เขาพยายามเข้าไปในหอคอยทมิฬ แต่หลิงฮันก็พบว่าไม่มีหอคอยทมิฬอยู่ในร่างกายของเขา ราวกับว่าเขาได้กลายเป็นติงจื่อเฉินไปแล้ว
เกิดอะไรขึ้น?
“ข้าไม่ใช่ติงจื่อเฉิน แต่ข้าคือหลิงฮัน!” หลิงฮันส่งเสียงกรีดร้องอยู่ด้านใน เมื่อไม่มีหอคอยทมิฬ มันก็ทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจไปมาก
“ติงจื่อเฉิน!” ชายหนุ่มหลายคนเดินเข้ามาในลานกว้าง “ถึงเวลาประลองของเจ้าแล้ว!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า มันคงจะดีถ้าเจ้ายอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี มิฉะนั้นมันอาจทำให้เจ้าไม่สามารถฝึกฝนได้เป็นเวลาสามเดือน!”
ชายหนุ่มพวกนี้ดูเหมือนจะมีอายุมากกว่าเขาหนึ่งหรือสองปี ส่วนเรื่องความแข็งแกร่งเองก็…เหนือกว่าเล็กน้อย
หลิงฮันพบว่าตัวเขาเองเป็นแค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้นเท่านั้น ในขณะที่ชายหนุ่มพวกนั้น คนที่อ่อนแอที่สุดคือจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นกลาง และมีจอมยุทธระดับสุริยันขั้นสูงและสูงสุดอยู่ด้วย อย่างไรก็ตามหลิงฮันก็ไม่หวาดกลัว เขามีพลังต่อสู้หกดาว และถ้าใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ พลังต่อสู้ของเขาก็สมควรที่จะมากกว่าหกดาว!
เมื่อชายหนุ่มพวกนั้นเดินจากไป พวกเขาก็เดินไปตามทางผ่านตำหนักมากมาย สถานที่แห่งนี้ใหญ่มาก แต่หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เดินมาถึงลานประลองยุทธ ซึ่งมีคนจำนวนมากมาอยู่ที่นี่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหรือรุ่นเยาว์ ชายหรือหญิงก็ตาม
ความแข็งแกร่งของทุกคนมีทั้งสูงและต่ำ ไม่ว่าจะเป็นระดับภูผาวารี ระดับสุริยันจันทรา ระดับดารา และที่อ่อนแอที่สุดคือระดับทลายมิติ ซึ่งก็คือเด็กทารกที่ถูกอุ้มอยู่ในอ้อมแขน
เดี๋ยวก่อน! เกิดมาก็เป็นจอมยุทธระดับทลายมิติแล้วงั้นรึ?
สถานที่แห่งนี้มันอะไรกัน? เมื่อเกิดมาก็ใกล้จะทะลวงผ่านระดับพระเจ้าแล้ว!
แต่สิ่งที่ทำให้หลิงฮันตกตะลึงมากกว่าเดิมคือมีจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์อยู่ที่นี่ด้วย
ด้านบนลานประลองมีคนจำนวนหนึ่งนั่งอยู่ด้านบน ซึ่งพวกเขาแต่ละคนต่างก็มีหมอกปกคลุมใบหน้า ทำให้ดูลึกลับมาก
เพียงแค่จ้องมองพวกเขา มันก็ทำให้ดวงวิญญาณของหลิงฮันเหมือนจะถูกฉีกขาด
แข็งแกร่งมาก!
คนพวกนั้นสามารถปกคลุมท้องฟ้าได้ด้วยมือข้างเดียว และทำลายดาวได้นิ้วมือเดียว และเพียงแค่ปล่อยลมหายใจออกมาก็สามารถทำลายที่นี่ได้
จอมยุทธระดับเซียน!
จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ยังทำได้แค่ยืนดูอยู่ข้างลานประลอง คนที่สามารถนั่งได้จะต้องเป็นตัวตนที่เหนือกว่าจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์อย่างแน่นอน นอกจากระดับเซียนแล้วจะเป็นอะไรอื่นได้อีก? ยิ่งไปกว่านั้นระดับเซียนยังแบ่งออกเป็นสี่ขั้น ซึ่งคนเหล่านั้นน่าจะไม่ใช่จอมยุทธระดับเซียนขั้นต้น บางทีอาจเป็นจอมยุทธระดับเซียนขั้นสูง หรือแม้กระทั่งขั้นสูงสุด!
“การประลองท้ายปีของตระกูลติง เริ่มได้!”
ใครบางคนตะโกน คนที่ยืนอยู่บนลานประลองก็เริ่มต่อสู้กันทันที ซึ่งเป็นชายหนุ่มที่มีอายุแค่สิบปีเท่านั้น แต่ก็เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นต้นแล้ว และเป็นฝ่ายชนะ
“สมแล้วที่เป็นติงเหยาหลง ทายาทรุ่นที่เจ็ดสิบเจ็ด สายเลือดบรรพบุรุษของเขาค่อนข้างบริสุทธิ์ทีเดียวและดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าคนอายุเดียวกันมาก”
“อนาคตเด็กคนนี้จะต้องเป็นอีกหนึ่งบุคคลสำคัญของตระกูลติงของพวกเรา!
ชายหนุ่มคนนั้นแข็งแกร่งมาก เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นเพียงแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นสูง แต่สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามที่เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงได้
“เวลาหลายพันปี!”
“ข้าไม่คิดเลยว่าเหยาหลงจะมีพรสวรรค์มากถึงเพียงนี้ และสามารถใช้พลังแห่งเวลาได้แล้ว”
“อนาคตของตระกูลติงจะต้องรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน!”
ด้านบนของลานประลอง จอมยุทธหลายคนที่นั่งอยู่กำลังพยักหน้าและกล่าวชื่นชม
ติงเหยาหลงเดินลงมาจากลานประลองด้วยความภาคภูมิใจ หลังจากที่ผ่านไปหลายคู่ ในที่สุดก็ถึงตาของหลิงฮัน – หรือจะพูดให้ถูกคือถึงตาของติงจื่อเฉิน
คู่ต่อสู้ของเขาเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นสูง ซึ่งเหนือกว่าเขาเล็กน้อย
“ยอมรับความพ่ายแพ้ซะ!” อีกฝ่ายกล่าวและโจมตีใส่หลิงฮัน
หลิงฮันตอบโต้ แต่ทันใดนั้นเขาก็พบว่าเขากลายเป็นอีกคนหนึ่ง
กายหยาบของเขาไม่ได้มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งเหมือนเคย และพลังต่อสู้ของเขาก็ไม่ใช่หกดาว ทักษะลับที่เขาเชี่ยวชาญทั้งหมดก็สูญหายไป
ตอนนี้เขาเป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นสูง และมีพลังต่อสู้ไม่เกินหนึ่งดาว
ตู้ม!
ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า หลิงฮันก็ถูกอีกฝ่ายเตะกระเด็น
“ขยะ!” ในขณะที่อีกฝ่ายเตะหลิงฮันปลิว เขาก็กล่าวเหยียดหยามด้วยท่าทางดูถูก
หลิงฮันล้มลงกับพื้นและพยายามลุกขึ้นมาเพื่อต่อสู้อีกครั้ง แต่ลูกเตะเมื่อครู่ทำให้เขาปวดร้าวไปทั้งร่างกาย ถึงขั้นทนความเจ็บปวดไม่ได้และเป็นลมในทันที
“อ๊าก!’ เมื่อเขาตื่นขึ้นมา สิ่งเดียวที่เขาได้ยินคือเสียงอุทานจากรอบข้างที่ดังขึ้นพร้อมกัน
– เขากลับมาที่เกวียนอีกครั้ง บรรยากาศโดยรอบยังคงถูกปกคลุมไปด้วยหมอก และสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ ฉือหวง เป่ยหวง และคนอื่นๆก็ยังคงอยู่บนเกวียน
แปลกมาก!