หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 950 แม่นางน้อยผู้ตามหาท่านอา!

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเวลานี้อุปสรรคที่ขวางอยู่ตรงหน้าพวกเขาช่างแข็งแกร่งเป็นที่สุด มีทั้งนักพรตจากสำนักที่หนึ่งแห่งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝ่ายซ้าย ทั้งหญิงสวมหน้ากากซึ่งมีที่มาลึกลับ ทั้งมองออกว่านางปิดบังบางสิ่งอยู่ แต่ความสามารถของนางกลับน่าตื่นตะลึงนัก

ยังมีแม่นางน้อยที่เห็นชัดว่าร้ายกาจเป็นที่สุด ทั้งยังเคยสังหารผู้ที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ไปกว่าสิบคน และชายหนุ่มชุดดำที่มีท่าที่หยิ่งทะนงคับฟ้า การปรากฏตัวของทั้งสี่ท่านนี้เพียงพอจะทำให้ทุกคนหวาดผวาได้แล้ว!

ยิ่งไม่ต้องบอกว่า ยังมีหวังเป่าเล่ออีกคน ในสายตาของทุกคน เซี่ยต้าลู่ผู้นี้เดิมทีก็นับว่าอยู่ในระดับสุดยอดอยู่แล้ว หนำซ้ำยังเห็นชัดว่าเขาเป็นคนมีนิสัยประหลาด ลงมือโดยไม่คำนึงว่าจะใช้วิธีเช่นใด คนเช่นนี้…หากอยู่ข้างนอกนั้นยังดี แต่ในสุสานดวงดาราแห่งนี้ ในบางโอกาส เรื่องที่มาของแต่ละคนกลับมิได้มีประโยชน์ใดนัก ฉะนั้นแล้วหากมิใช่ว่าหลบเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็อย่าได้ไปมีเรื่องกับเขาเป็นดี

ซึ่งสภาพการณ์ทั้งมวลนี้อยู่เหนือความคาดหมายของแม่นางกระพรวน สีหน้าของนางจึงกลับไม่สู้ดีขึ้นทันใด หลังจากกวาดตาไปยังพวกของชายหนุ่มชุดดำทั้งสี่คน นางก็นิ่งไปพักใหญ่ แล้วจึงมองไปยังหวังเป่าเล่อที่อยู่ข้างหลังคนทั้งสี่

นางจำต้องยอมรับว่ายามหวังเป่าเล่อทำการใดๆ เขาก็มีการวางแผนมาก่อนหน้าอยู่บ้าง ตลอดมาหากคนผู้นี้ล้วนเอาแต่เห็นแก่ประโยชน์เป็นที่ตั้ง สภาพการณ์ในตอนนี้จะต้องไม่มีทางเป็นเหมือนเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นแน่

ต้องเป็นเพราะของกำนัลจากหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้แน่ๆ จึงทำให้เกิดผลดังนี้ แม้ของกำนัลนั้นเป็นเพียงการไม่คิดราคา ซึ่งสำหรับผู้คนโดยมากก็นับไม่ได้ว่าเป็นสิ่งใด แต่เห็นชัดว่าสำหรับชายหนุ่มชุดดำแล้วหาได้เป็นเช่นนั้น

“ดูเผินๆ คล้ายพวกเขาหนุนหลังเซี่ยต้าลู่ แต่ที่จริงยังมีอีกเป้าหมายแฝงอยู่… ซึ่งก็คือหว่านล้อมเอาผู้ฝึกตนชุดดำและแม่นางน้อยผู้นั้นมาเป็นพวก เพราะทั้งสองคนมีที่มาแปลกประหลาด ทั้งยังลงมือรุนแรงร้ายกาจนัก…”

ความจริงแล้วการที่แม่นางกระพรวนได้กลายมาเป็นนักพรตหญิงศักดิสิทธิ์ของสำนักเสริมแห่งสำนักเก้าวิหคเพลิงก็เพราะนางมีสติปัญญาล้ำเลิศ แม้ก่อนหน้านี้จะถูกหวังเป่าเล่อยั่วให้โมโหจนแทบคลั่ง แต่ในเมื่อเวลานี้สงบลงแล้ว นางก็สามารถจับประเด็นสำคัญของเรื่องทั้งหมดได้ในทันที

และก็เป็นเช่นที่นางคิดจริงๆ หากชายหนุ่มชุดดำผู้นั้นก้าวออกมาเป็นคนแรก แล้วแม่นางน้อยก้าวตามมาเป็นคนที่สอง ลำพังแค่หวังเป่าเล่อคนเดียวก็ยังไม่ควรค่าให้ชายหนุ่มผู้สง่างามไปอยู่ข้างเขาอีกคน

จนถึงขั้นพูดได้ว่า ในสายตาของชายหนุ่มผู้สง่างามแล้ว ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งในทั้งสามคนนั้นก็ล้วนไม่คู่ควร แต่เมื่อได้พลังของพวกเขาทั้งสามรวมกัน ต่อให้เป็นคนเช่นชายหนุ่มผู้สง่างามก็ยังเกิดความสนใจอยากเข้าพวกด้วย

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเขาพอจะคาดเดาฐานะของหญิงสวมหน้ากากได้บ้างแล้ว ทั้งยังเห็นว่าท่าทีที่สตรีผู้นี้มีต่อเซี่ยต้าลู่ คล้ายว่าไม่ใคร่เหมือนที่นางมีต่อผู้อื่นดังในคำร่ำลือที่ได้ยินมา

เมื่อเทียบกับสีหน้าปั้นยากของแม่นางกระพรวนแล้ว หวังเป่าเล่อกลับมีสีหน้าแห่งความอิ่มอกอิ่มใจ เขามองไปยังคนทั้งสี่ที่อยู่ข้างหน้าด้วยท่าทีประหลาดแล้วหรี่ตาลง หาใช่เพราะเขาคิดเห็นเช่นเดียวกับแม่นางกระพรวน เขาไม่ได้ไปใคร่ครวญใดๆ ว่าเหตุใดคนทั้งสี่จึงทำเช่นนี้ หากแต่กำลังจดจำเรื่องนี้เอาไว้

ซึ่งนี่ก็คืออุปนิสัยของหวังเป่าเล่อ อาจมีบางคราวที่เขาเจ้าคิดเจ้าแค้นในเรื่องเล็กน้อย แม้จะเข้มงวดกับตนเอง แต่สำหรับการช่วยเหลือจากผู้อื่น เขาจะยิ่งจดจำไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ เขาจึงมองไม้กลองทั้งสี่ไม้ในมือ พลันเอ่ยปากว่า

“ขอบคุณสหายเต๋าที่ช่วยเหลือ ไม้กลองทั้งสี่ไม้ในมือข้านี้ นอกจากที่ข้าต้องการเก็บไว้หนึ่งไม้แล้ว อีกสามไม้ที่เหลือ หากพวกเจ้าต้องการก็สามารถบอกข้าได้”

“ข้าอยากได้ไม้หนึ่ง” ผู้ที่ตอบหวังเป่าเล่อมาคนแรกก็คือแม่นางน้อย นางหันไปกระพริบตาปริบๆ ให้หวังเป่าเล่อทั้งสีหน้าเคอะเขินเล็กน้อย

“ครานี้ข้าแอบหนีออกมาเพื่อตามหาท่านอาของข้า ไม่ได้เอาเงินติดตัวมา…”

หวังเป่าเล่อได้ยินคำก็สะบัดมือส่งไม้กลองหนึ่งไม้ให้นางโดยไม่ได้รั้งรอแต่อย่างใด เมื่อแม่นางน้อยรับไปแล้ว นางก็ชูมันขึ้นสูงอย่างยินดีปรีดาพลางประกาศเสียงลั่นต่อทุกคนข้างนอก

“ประมูล ผู้ให้ราคาสูงสุดจะได้ไป ผู้ที่ต้องการก็ให้รีบส่งเสียงบอกราคาต่อข้ามา”

หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจเรื่องที่แม่นางน้อยชิงโอกาสทำการค้าของตนไป และไม่ได้ใส่ใจผู้คนข้างนอก หากแต่มองไปยังพวกของหญิงในหน้ากากทั้งสามคน รอคำตอบจากพวกเขา

“ข้าไม่ต้องการแล้ว” ชายหนุ่มผู้สง่างามส่ายหน้ายิ้มๆ ผู้ฝึกตนชุดดำที่เปี่ยมด้วยท่าทีดุร้ายก็ส่ายหน้าเช่นกัน มีเพียงหญิงสวมหน้ากากที่คิดสักพัก แล้วเอ่ยปากว่า

“ข้าจะซื้อหนึ่งไม้”

“ข้าให้!” หวังเป่าเล่อสะบัดมีเต็มแรงเพื่อส่งไม้กลองหนึ่งไม้ไปให้ เมื่อหญิงสวมหน้ากากรับไปแล้วก็เพียงมองหวังเป่าเล่อ แต่มิได้เอ่ยคำต่อ

ฉะนั้นไม้กลองที่สามารถให้ได้ทั้งสามไม้ ตอนนี้ก็เหลืออีกหนึ่งไม้ หวังเป่าเล่อถือไม้กลองไม้นี้เอาไว้ เมื่อเห็นว่าการค้าของแม่นางน้อยกำลังครึกครื้น มีคนเสนอราคาถึงหนึ่งหมื่นผลึกสีชาด เขาจึงใจเต้นขึ้นมาและกำลังคิดว่าจะเอาไปประมูลดีหรือไม่

และในขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังใคร่ครวญอยู่นี้เอง จู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งก้าวออกมาจากกลุ่มคนสองสามก้าว แล้วตะโกนเสียงลั่นมาทางหวังเป่าเล่อ

“สหายเต๋าเซี่ย ไม้กลองในมือท่านนั้น ถือว่าเห็นให้เกียรติข้า ขายให้ข้าเป็นอย่างไร?”

หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองแล้วยินดีขึ้นมาทันใด ผู้ที่เอ่ยคำก็คือพี่ชายผู้สูงส่งที่มีผมมันวาวม้วนเป็นทรงสูง ซึ่งก่อนหน้านี้ห่วงหน้าตาเป็นหนักหนาผู้นั้น ทั้งที่คนผู้นี้มีความสามารถไม่ธรรมดาเลย แต่กลับต้องมาพบเจอกับแม่นางกระพรวนที่กำลังบันดาลโทสะ ทำให้ไม่อาจคว้าไม้กลองมาได้ เขาจึงรู้สึกคับข้องใจเสียอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นว่าในมือของหวังเป่าเล่อมีไม้กลองที่ยังขายได้อีกหนึ่งไม้ จึงคิดว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเคยให้เกียรติเขามาก่อนจึงได้เอ่ยปากไปดังนั้น

แต่หากเป็นก่อนนี้ หวังเป่าเล่อจะต้องให้เกียรติเขาด้วยการลดราคาให้แน่นอน เพราะเป้าหมายหลักของเขายังคงคือการหาเงิน ทว่ายามนี้เขาแสดงฝีมือออกมาให้ประจักษ์แล้ว ในเวลาเดียวก็มีคนคอยหนุนอยู่รอบกายด้วย แม้ว่าในที่แห่งนี้เขาจะมีเบื้องหลังที่อ่อนด้อย แต่ในสายตาของคนอื่นๆ ก็ยิ่งใหญ่มากพอที่จะเห็นว่าเขาเป็นคนในระดับเดียวกันแล้ว

ช่วงเวลานี้ก็เหมือนกับความคิดของเขาตอนได้เห็นหลี่หลินจื่อครั้งเพิ่งขึ้นเรือมานั่นเอง เพราะเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะไปสร้างเส้นสายของตนแล้ว ชายหนุ่มจึงหัวเราะลั่น แล้วโยนไม้กลองในมือไปให้

“ในเมื่อเป็นสหายเต๋าเกาเอ่ยปาก ย่อมต้องให้เกียรติท่าน ไม่ต้องมาลดราคาอันใด ข้าเซี่ยต้าลู่ขอคบหาท่านเป็นสหาย!”

ต่อให้เป็นพี่ชายผู้สูงส่งก็ตาม เมื่อเขารับไม้กลองไปแล้วก็ยังต้องนิ่งเหม่อไปพักหนึ่ง นั่นเพราะ ไม้กลองของแม่นางน้อยถูกประมูลไปด้วยราคาสิบกว่าล้าน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเตรียมพร้อมจะจ่ายในราคาเดียวกันเอาไว้แล้ว แต่ยามนี้เพราะอีกฝ่ายให้เกียรติตน แม้สักอีแปะเดียวเขาก็ยังไม่เอา…

ความใหญ่หลวงของ ‘เกียรติ’ ที่ได้มาในครานี้ทำให้เขาคล้อยตามอย่างสุดหัวใจ แม้แต่ดวงตาก็ยังแดงก่ำขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่ามิใช่เพราะอารมณ์ในด้านลบ หากแต่เพราะความตื้นตันใจ!

แต่เล็กจนโต เขาห่วงหน้าตาเป็นที่สุด ทว่าต่อหน้าผู้คนตั้งมากมายในวันนี้ หากจะเปรียบเปรยว่าหน้าตาที่อีกฝ่ายมอบให้ตนนั้นยิ่งใหญ่ทัดเทียมฟ้าดินก็ไม่ได้เกินเลยแต่อย่างใด

ด้วยความตื้นตันนั้น พี่ชายผู้สูงส่งก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา

“น้องต้าลู่ ข้าคบเจ้าเป็นสหาย แต่ข้ารู้ว่าพวกท่านสกุลเซี่ยล้วนยึดถือในหลักการ ฉะนั้นพวกเราสานไมตรีก็ส่วนสานไมตรี แต่การค้านั้นก็ยังต้องทำอยู่ เจ้าให้เกียรติข้า ข้าก็จะให้เกียรติเจ้า ในตัวข้าตอนนี้มีอยู่ไม่มากนัก ถือว่าข้าเกาชวี่ติดค้างเจ้าสิบล้านผลึกสีชาดก็แล้วกัน!”

เมื่อหวังเป่าเล่อได้ฟังคำก็รู้สึกขึ้นมาทันใดว่าแม้คนผู้นี้จะห่วงหน้าตาหนักหนา แต่ก็ยังเป็นคนที่มีนิสัยน่ารัก ยิ่งไปกว่านั้นหากคบหากับคนเช่นนี้ให้ดีๆ ก็มิต้องคอยระวังว่าอีกฝ่ายจะหันมาหักหลังตน

เพราะอย่างไรเสีย…สิ่งที่เขาห่วงที่สุด ก็คือหน้าตา!

ซึ่งหากวันใดเกิดมีเรื่องทำนองหักหลังพวกพ้องแพร่ออกไป เขาก็ต้องเสียหน้าจนหมดสิ้น

ครั้นแล้ว หวังเป่าเล่อจึงหัวเราะออกมา มิได้ปฏิเสธไปต่อหน้าผู้คน หากแต่โบกไม้โบกมือ ซึ่งการกระทำดังนี้ยิ่งทำให้พี่ชายผู้สูงส่งรู้สึกสบายใจนัก เขาประสานฝ่ามือกุมหมัดคราวะหวังเป่าเล่อคราวหนึ่ง แล้วนั่งลงข้างๆ แม่นางน้อย เป็นทีว่าต้องการหนุนหวังเป่าเล่อ

ดังนี้เอง ไม้กลองทั้งสิบไม้ก็ถูกแบ่งสรรปันส่วนเสร็จสิ้น เห็นได้ว่าไม้กลองทุกไม้ล้วนกำลังเปล่งรัศมีและกะพริบอีกหน คล้ายว่าการทดสอบครานี้กำลังจะสิ้นสุดลง แม้คนอื่นที่ไม่ได้ไม้กลองมาจะรู้สึกหดหู่ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกและทำได้เพียงแค่เงียบ ทว่าในช่วงเวลาเช่นนี้… กลับมีเรื่องหนึ่งที่หวังเป่าเล่อคาดคิดไม่ถึงเกิดขึ้น

เดิมทีเขานึกว่าตนขัดโชคของแม่นางกระพรวนได้แล้ว เพราะไม่ว่าผู้ที่ซื้อไม้กลองของแม่นางน้อยไป หรือว่าท่านที่รับไปจากหญิงสวมหน้ากากก็ล้วนเป็นผู้ที่คล้ายว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับแม่นางกระพรวนมาแต่ไหนแต่ไร นั่นเพราะไม่ว่าอย่างไรต่อให้เป็นคนที่อีกฝ่ายนาบตราทาสศึกเอาไว้ แต่ก็มีจำนวนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งหลายคนก็อยู่ที่นี่แล้ว ฉะนั้น ความเป็นไปได้ที่คนอื่นๆ นอกนั้นจะทาสศึกของนางย่อมมีไม่มาก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาสำคัญท้ายสุดนี้…

ผู้ฝึกตนที่หน้าตาไม่เอาไหน ร่างกายผอมแห้ง ทั้งยังเคยขัดแย้งกับแม่นางกระพรวนมาก่อนหน้านี้ เขาสามารถคว้าไม้กลองมาได้เพราะไปช่วงชิงมาจากภูผาใหญ่ทรงหม้อหลอมของผู้อื่น คนผู้นี้กลับเดินไปยังข้างกายของแม่นางกระพรวน น้อมตัวพลางยกไม้กลองในมือ…ให้กับนาง!

เหตุการณ์นี้ทำให้หวังเป่าเล่อต้องหรี่ตาลง ฝ่ายแม่นางกระพรวนก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาทั้งแววตาเหยียดหยัน ความจริงแล้วนี่ต่างหากคือแผนการที่แท้จริงของนาง การที่นางไปช่วงชิงไม้กลองหนแล้วหนเล่าก่อนหน้านี้ เป็นเพียงสิ่งที่ทำให้เห็นในทางแจ้งเท่านั้น นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการขัดขวางไม่ให้ตนได้ไม้กลองมาครอง จึงใช้กลยุทธลอบตีเฉินชาง[1] แม้ไม่อาจกระตุ้นให้คนอื่นๆ รุมโจมตีหวังเป่าเล่อได้ แต่สำหรับนางแล้วก็นับว่าบรรลุเป้าหมายเช่นกัน

สิ่งที่น่าเสียดายเพียงประการเดียวก็คือตนต้องใช้ทาสศึกคนสุดท้ายไป เดิมที่นางคิดว่าจะใช้ทาสศึกผู้นี้ในการลั่นกลองน้อมดาราในท้ายที่สุด เมื่อถึงยามนั้นก็จะได้ใช้เคล็ดวิชาลับเพื่อให้ได้วาสนาแห่งโชคของอีกฝ่ายมา เพื่อทำให้โอกาสที่ตนจะได้ครองดวงดาราพิเศษมีสูงขึ้น

ส่วนเรื่องที่การนาบตราทาสศึกของตนถูกเปิดโปงนั้น นางกลับไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด ขอเพียงตนเองได้ดวงดาราพิเศษมา ยามนางกลับไปก็จะทำให้ฐานะในสำนักเก้าวิหคเพลิงยิ่งสูงส่งขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ต่อให้เหล่าทาสศึกที่มีความสามารถเหล่านั้นเกิดโกรธาขึ้นมา แล้วจะทำอันใดนางได้?

…………………………………………………………

[1] กลยุทธ์ลอบตีเฉินชัง แสร้งทำเป็นจะโจมตีด้านหน้า แต่เข้าจู่โจมในพื้นที่ที่ข้าศึกไม่สนใจ เข้าทำนองที่สำนวนไทยว่า”น้ำลอดใต้ทราย”

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset