หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 949 เอาคืน!

หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกว่าคำพูดของตนไร้ซึ่งความสง่างาม เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนที่ถือยศถือศักดิ์ใดๆ ในสายตาเขานั้น ในเมื่อแม่นางกระพรวนคอยหาเรื่องเขามาหลายหน ทั้งมีเป้าหมายที่ไม่บริสุทธิ์ เช่นนั้นหากตนยังมัวแต่คำนึงถึงความสง่างามยามพูดจาก็ออกจะโง่เง่าเต็มทนแล้ว

ฉะนั้นทำเช่นใดให้นางโกรธเคืองได้เขาก็จะพูดเช่นนั้น เพราะขอเพียงกระตุ้นให้อีกฝ่ายโมโหได้ ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อสมาธิของนาง

สำหรับแม่นางกระพรวน สิ่งนี้ก็คือการราดน้ำมันบนกองเพลิง แต่สำหรับเขาแล้วคือการเติมบุปผาบนผ้าทอลาย[1] ซึ่งผลลัพธ์ของคำพูดของหวังเป่าเล่อก็เป็นดังที่เขาคิดไว้ เพราะมันมีพลังทำลายล้างจริงดังว่า

แม่นางกระพรวนเพิ่งจะพยายามสะกดกลั้นความโกรธในใจได้ แต่เป็นเพราะฟังความหมายแฝงในคำพูดของเขาออก เพียงพริบตาเดียวอารมณ์ของนางก็ปะทุขึ้นมาในทันใด คราวนี้นางสั่นไปทั้งตัว สติกำลังถูกโทสะกลืนกินอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้…ไม่อาจจดจ่ออยู่กับไม้กลองตรงหน้าได้ สมาธิกระเจิดกระเจิงจนเริ่มวอกแวก

และในชั่วพริบตาที่นางวอกแวกไปนี่เอง ไม้กลองข้างกายนางก็หลอมสำเร็จ มันเปล่งรัศมีจ้าออกมา ทว่าหวังเป่าเล่อก็หัวเราะลั่นขึ้นมาในชั่วอึดใจนี้เช่นกัน สองมือผนึกมุทราแล้วชี้มาทันใด

“มา!”

วินาทีที่คำคำเดียวส่งออกมานั้น ฟ้าดินเกิดเสียงเปรี้ยงป้างเลื่อนลั่น สายฟ้ารอบกายเขาแผ่ขยายไปทั่วทิศ ก่อร่างเป็นหลุมดำยักษ์กลางเกลียวสายฟ้าวน บังเกิดแรงดึงดูดมหันต์ต่อวัตถุเวท ทำให้ไม้กลองของแม่นางกระพรวนหายวับไปกับเหมือนคราแรกไม่มีผิดเพี้ยน!

ไม่ว่าแม่นางกระพรวนอยากจะป้องกันอย่างไร แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่ต่อหน้านางก็ยังคงมีเพียงแค่ภาพเรือนลาง ส่วนไม้กลองไม้จริงนั้นกลับไปปรากฏอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อในพริบตาเดียว และถูกเขาคว้าเอาไว้ ชายหนุ่มหรี่ตาพลางหันหน้ามาหาแม่นางกระพรวนที่ยามนี้สั่นเทิ้มไปทั้งตัวและแผดเสียงร้องลั่น

“สะใจหรือไม่เล่า?” ประหนึ่งว่ายังยั่วยุอีกฝ่ายไม่พอ หวังเป่าเล่อกระแอมไอหนหนึ่งพลางเอ่ยปากไปเรียบๆ

ในเวลาเดียวกัน ไม้กลองชุดแรกก็หลอมสำเร็จ หากไม่นับไม้กลองที่หวังเป่าเล่อเอาไปเป็นไม้ที่สองนี้ ไม้กลองชุดที่สองมีทั้งสิ้นสองไม้ ซึ่งเป็นของชายหนุ่มชุดดำที่แบกกระบี่เล่มโตไว้ ส่วนอีกไม้ก็คือของแม่นางน้อยที่ใช้ศาสตร์มืดผู้นั้น

หลังจากพวกเขาทั้งสองคนได้ไม้กลองมาอย่างราบรื่น ในการทดสอบด่านสุดท้ายนี้มีไม้กลองที่หลอมสำเร็จหกไม้ นอกจากของชายหนุ่มผู้สง่างามและหญิงสวมหน้ากากแล้ว ก็ยังมีของชายหนุ่มชุดดำกับแม่นางน้อย และอยู่ที่หวังเป่าเล่ออีกสองไม้!

แม้จะมีเพียงพวกเขาห้าคน แต่ไม้กลองที่เหลืออีกสี่ไม้ก็ปรากฏร่างขึ้นมาราวเก้าในสิบส่วนแล้ว เห็นได้ว่ากำลังจะขึ้นร่างสำเร็จตามมา แม่นางกระพรวนไม่เหลือเวลาพอแล้ว แม้นางจะเกลียดหวังเป่าเล่อเข้ากระดูกดำ แต่นางก็รู้ซึ้งถึงพละกำลังของสระอัสนีที่อยู่รอบกายเขา และรู้ดีกว่าลำพังตัวนางผู้เดียว หรือต่อให้มีทาสศึกสองสามคนร่วมแรงเข้าอีกก็ยังเข้าใกล้ได้ยาก เว้นเสียแต่…

“โน้มน้าวให้ทุกคนที่ยังไม่ได้ไม้กลองไปรุมโจมตี!” สมแล้วที่แม่นางกระพรวนเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่น แม้ในยามที่โทสะเข้าครอบคลุมสติเช่นนี้ นางก็ยังคิดวิธีแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว นางว่าพลางขยับตัวพุ่งตรงไปยังไม้กลองอีกไม้หนึ่ง

นางไตร่ตรองมาดีแล้วว่า เซี่ยต้าลู่ ไม่ใช่ว่าเจ้าสามารถชิงเอาไปหรอกหรือ ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าจะไปชิงเอาไม้กล้องทุกไม้ ต่อให้ในที่สุดแล้วเจ้าจะมาแย่งเอาไป แต่นั่นก็เท่ากับว่าเจ้าไปล่วงเกินคนส่วนใหญ่

แม้ว่าแท้ที่จริงแล้วตัวนางเองจะเป็นผู้ที่ถูกชิงชัง แต่ยามนี้นางไม่ใส่ใจแล้ว ภูมิหลังของนางทำให้นางสามารถทนรับกับความเป็นปรปักษ์เช่นนี้ได้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…นางไม่มีไม้กลอง เพราะไม้กลองล้วนไปอยู่ที่หวังเป่าเล่อหมด นางเชื่อว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ต้องใช้เวลามากมาย ผู้คนที่ไร้ไม้กลองในมือจะต้องพากันพุ่งเป้าไปที่เซี่ยต้าลู่โดยไม่ได้นัดหมายแน่

“เมื่อถึงยามนั้น ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะทำอย่างไร ต่อให้เจ้าคิดจะขายไม้กลอง เมื่อมีข้าคอยขวาง เจ้าก็อย่าได้ฝันว่าจะทำสำเร็จเลย ยิ่งไปกว่านั้น…นี่แค่เป็นเรื่องในทางแจ้งเท่านั้น…” คิดถึงตรงนี้แวววิบวับก็ปรากฏในดวงตาของแม่นางกระพรวน นางย้ายร่างฉับไว ตรงปรี่เข้าไปช่วงชิงภูผาใหญ่ลูกต่อไป

เมื่อเห็นดังนี้ หวังเป่าเล่อก็หรี่สองตาลง เขาจับความคิดของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว และในเวลาเดียวกันก็รู้ชัดว่าหากตนเองได้ไม้กลองมามากเกินไป ต่อให้คิดจะเอาไปขายก็ยังมีเรื่องที่ยังไม่รู้อยู่อีก

“ข้าสามารถเสนอเงื่อนไขว่าให้นางมาซื้อเอาไป แต่หากนางไม่ซื้อแต่กลับไปชิงของผู้อื่นมา ผู้คนที่ถูกแย่งของไปย่อมเป็นศัตรูกับข้าน้อยลงไปด้วย”

“หรือไม่ก็ ข้าเสนอว่าขอเพียงกันนางออกไป ข้าก็จะมอบไม้กลองที่มีให้?”

“แม้วิธีเหล่านี้จะใช้การได้ แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าพลาดโอกาสหาเงินไปหนหนึ่ง…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ไตร่ตรองในใจอย่างฉับไวว่าตนควรทำเช่นใด จึงจะได้สมใจทั้งสองประการ แต่เขากลับล้มเลิกความคิดก่อนหน้านี้ไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอาไม้กลองมาไว้ในมือให้ได้เสียก่อนค่อยว่ากัน ดังนี้แล้วต่อให้ตกหลุมพรางของแม่นางกระพรวน แต่ตนก็ยังเป็นผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า

“ถึงเวลานั้น ค่อยปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์เป็นพอ!” คิดถึงตรงนี้ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายประกาย เขามองไปยังแม่นางกระพรวนที่ยามนี้กำลังเข้าใกล้ภูผาใหญ่ลูกหนึ่งด้วยพลังจู่โจมรุนแรงพร้อมเข้าช่วงชิง จนทำให้ผู้ฝึกตนบนภูผาใหญ่ลูกนั้นต้องคำรามเสียงต่ำแต่ก็ไม่อาจหยุดนางได้

ทางหนึ่งนั้นเพราะพลังปราณของนางแข็งแกร่งนัก อีกทางหนึ่งก็ด้วยภูมิหลังของนางที่ทำให้ต้องยำเกรง ฉะนั้นแม้ผู้ฝึกตนทั้งสามที่ถูกจู่โจมตีจนถอยร่นไปต่างก็ต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ไม่อาจไม่ถอยออกมาได้ แล้วก็จำต้องไปที่ภูผาใหญ่ลูกอื่นแทน ด้วยเหตุนี้ ในช่วงเวลาสุดท้ายที่ไม้กลองชุดที่สามก่อร่างได้เก้าในสิบส่วน จึงเกิดเหตุการณ์ที่ต่างออกไปจากสองชุดแรก

ไม้กลองที่ก่อร่างได้เร็วที่สุดก็คือของแม่นางกระพรวน ในขณะที่นางกำลังใช้พลังปราณ หลังจากนั้นเพียงสิบกว่าอึดใจไม้กลองของนางก็เปล่งรัศมีออกมา แม้นางจะมีแผนการในใจอยู่แล้ว แต่นางก็ยังขัดขวางไม่ให้หวังเป่าเล่อมาชิงเอาไปอย่างสุดกำลัง

เพียงแต่ผลสุดท้าย… ก็ไม่ต่างอะไรกับครั้งก่อนๆ เมื่อหวังเป่าเล่อผนึกมุทราและชี้นิ้วไป ไม้กลองไม้ที่สามก็มาปรากฏต่อหน้าเขาในทันใด ส่วนแม่นางกระพรวนก็ได้แต่โกรธจนตัวสั่นอยู่ตรงนั้น นางหันมาจ้องหวังเป่าเล่อคราวหนึ่ง แล้วพุ่งตัวออกไปยังภูผาใหญ่ลูกอื่นอีกหน

ไม่นานนัก การช่วงชิงไม้กลองชุดที่สามก็เข้าสู่ความโกลาหลใหญ่หลวง ไม้กลองสามไม้สุดท้ายนี้ หวังเป่าเล่อก็ยังฉกมาจากมือของแม่นางกระพรวนได้ไม้หนึ่ง ส่วนอีกสองไม้ไม่ได้ถูกหวังเป่าเล่อใช้วิธี ‘ย้ายบุปผาต่อต้นใหม่’ ฉกเอาไป เพราะก่อร่างสำเร็จในเวลาใกล้เคียงกัน อีกทั้งแม่นางกระพรวนไปชิงมาไม่ทัน

ดังนี้ผู้ที่ครอบครองไม้กล้องจึงมีทั้งสิ้นเพียงเจ็ดคนเท่านั้น!

ซึ่งก็คือ ชายหนุ่มผู้สง่างาม หญิงสวมหน้ากาก แม่นางน้อยและชายหนุ่มชุดดำ ต่อมาก็คือเจ้าอ้วนและผู้ฝึกตนผอมแห้งที่หวังเป่าเล่อไม่เคยข้องแวะด้วยมาก่อน คนผู้นี้เคยประมือกับแม่นางกระพรวน เมื่อถูกนางขับไล่ไป เขากลับไปชิงไม้กลองอีกไม้มาได้สำเร็จ

ทั้งหกคนนี้มีไม้กลองคนละไม้ ส่วนที่เหลืออีกสี่ไม้ล้วนอยู่ในมือของหวังเป่าเล่อผู้เดียว!

ครั้นแล้ว โดยมิได้นัดหมาย อีกยี่สิบกว่าคนที่ไม่ได้ไม้กลองต่างพร้อมใจจ้องตาเป็นมันมาที่หวังเป่าเล่อซึ่งอยู่ในสระอัสนี

เวลาเดียวกันนั้น จู่ๆ แม่นางกระพรวนที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยปาก

“ทุกท่าน ข้าให้คำสาบานว่าจะไม่เข้าไปช่วงชิงไม้กลองในมือของเซี่ยต้าลู่กับพวกท่าน หากตระบัดสัตย์ก็ขอให้จิตแห่งเต๋าของข้าสลายเป็นจุณ!”

“แต่ข้ารังเกียจเจ้าหัวขโมยผู้นี้เป็นที่สุด ฉะนั้นข้าจะเป็นแรงหนุนให้พวกท่าน ข้ามีวิธีหนึ่ง ยามข้าใช้เคล็ดวิชาจะไม่อาจเคลื่อนที่ไปที่ใดได้ แต่สามารถสะกดสระอัสนีรอบกายเจ้าหัวขโมยไว้ได้พักใหญ่” ว่าพลาง ไม่รอให้ทุกคนตอบรับ นางก็ลงนั่งขัดสมาธิ ในผู้ฝึกตนทั้งหมดก็มีอยู่หกคนที่เป็นทาสศึกของนางแล้ว พวกเขาต่างพากันพุ่งตัวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ในยามที่มีพวกเขาคอยคุ้มกันอยู่ แม่นางกระพรวนก็โยนลูกกระพรวนในข้อมือขึ้นไปกลางอากาศ กัดปลายลิ้นเป็นแผลแล้วพ่นเลือดสดในปากใส่ลูกกระพรวน

แสงสีเลือดพลันครอบคลุมไปทั่วฟ้า ลูกกระพรวนส่งเสียงดังออกมาติดต่อกันแทบไม่หยุด ทำให้เกิดคลื่นเสียงรุนแรงสาดซัดไปทางหวังเป่าเล่อ

ดังพายุคลั่งโหมกระหน่ำที่ทำให้สระอัสนีรอบตัวหวังเป่าเล่อเกิดการบิดตัวอย่างรุนแรง ปรากฏเป็นร่องรอยที่เห็นได้ว่าถูกสะกดให้อ่อนกำลังลง

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อต้องหรี่ตาลง แต่เขาก็เคยคำนึงถึงเหตุการณ์ทำนองนี้มาก่อนหน้าแล้ว จึงแค่นเสียงเย็นอยู่ในใจ กำลังจะเอ่ยปากแก้ไขสถานการณ์ แต่ในชั่วพริบตาที่เขากำลังจะพูด…

ทันใดนั้น… ชายหนุ่มชุดดำแบกกระบี่เล่มโตที่สามารถก่อร่างไม้กลองได้ด้วยตนเอง ก็มองมายังหวังเป่าเล่อจากไกลๆ คราวหนึ่ง เพียงแค่ขยับตัว ร่างของเขาก็เข้ามาจนใกล้

เขามิได้เข้ามาภายใน หากแต่หยุดอยู่ข้างนอกสระอัสนี แล้วพยักหน้าให้หวังเป่าเล่อ ก่อนจะปักกระบี่เล่มโตลงในพื้นดิน แล้วหันหลังให้เขา ลงนั่งขัดสมาธิ

นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว หญิงสวมหน้ากากก็สาวเท้าเดินเข้ามา ก่อนนั่งลงขัดสมาธิโดยไม่ได้เอ่ยปากสักคำ นางยังคงมีความเป็นนางอย่างชัดเจนเช่นเดิม สุดท้ายคือชายหนุ่มผู้สง่างามจากสำนักเสริมแห่งสำนักที่หนึ่งผู้นั้น เขายิ้มพลางส่ายหน้า

“อย่างไรข้าก็ไม่คุ้นกับการเป็นหนี้บุญคุณคน แม้การช่วยเหลือคราวนี้มิได้เป็นผลใดกับเจ้า แต่ก็นับว่าชดใช้บุญคุณเจ้าคราวหนึ่งก็แล้วกัน” ว่าพลางชายหนุ่มผู้สง่างามก็สาวเท้าเข้ามาที่ละก้าวแล้วนั่งลงนอกสระอัสนี

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้แม่นางกระพรวนมีสีหน้าไม่น่าดูขึ้นทันตา ส่วนคนอื่นๆ ที่เดิมทีไอสังหารพุ่งพล่านและกำลังจะพุ่งตัวเข้าไปอยู่แล้ว ต่างก็ต้องพากันสะกดความฮึกเหิมภายในใจเอาไว้

…………………………………………………………

[1] เติมบุปผาบนผ้าทอลาย หมายถึง การทำสิ่งที่เกินเลยจากความจำเป็น

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset