เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 3 ลองอาหาร ร่วมกันจับโจร

เมื่อกล่าวจบ หญิงกลางคนนางหนึ่งเปิดประตูยกถาดอาหารเข้ามา “นี่เป็นอาหารขึ้นชื่อของห้องครัวจวนเรา คุณหนูลองดูสิเจ้าคะ!”
นางรับรองมู่อวิ๋นซี พลางยกถาดอาหารเข้ามาจากด้านนอก
“วางลงเถิด อีกสักครู่ข้าจะกิน” มู่อวิ๋นซีมิได้ขยับ
หญิงกลางคนผู้นี้นางจำได้ ยายหวาง มิมีความชอบอื่นใด หากชมชอบเรื่องกินยิ่งนัก ชาติก่อนหลังจากเรื่องของนางกับพี่ชายแดงออกมา เป็นหญิงผู้นี้ที่พุ่งเข้ามาตีขานางจนหัก
“คุณหนู นี่เป็นน้ำใจของนายท่าน คุณหนูอย่าทำท่านเสียใจเลยนะเจ้าคะ” ยายหวางยิ้มร่าเข้ามาจับแขนมู่อวิ๋นซีดึงเข้าไปทางโต๊ะ
“ข้าจัดการเองได้!”
มู่อวิ๋นซีดึงแขนออกจากแขนยายหวาง และนั่งลงหน้าโต๊ะ “มามาชื่อกระไรรึ?”(มามาเป็นคำเรียกหญิงรับใช้ที่มีอายุ)
“สามีข้าน้อยแซ่หวางเจ้าค่ะ” ยายหวางจัดอาหารให้กับมู่อวิ๋นซีอย่างขะมักเขม้น “คุณหนูลองเต้าหู้ผัดหอยเป๋าฮื้อจานนี้สิเจ้าคะ นายท่านตั้งใจสั่งห้องครัวทำเลยนะเจ้าคะ นายท่านรักใคร่คุณหนูจริงๆ”
ใช่ รักใคร่นางจริงๆ
มู่อวิ๋นซีซ่อนแววหยามหยันในดวงตาไว้มิด หันไปทางยายหวาง “หวางมามาเคยกินเต้าหู้ผัดหอยเป๋าฮื้อหรือไม่?”
“คุณหนูล้อเล่นกระไรเจ้าคะ อาหารเลิศรสเยี่ยงนี้อย่างข้าน้อยจะกินได้เยี่ยงไร?”
“งั้นเจ้าลองดูหน่อยสิ” มู่อวิ๋นซีคืบเต้าหู้ผัดหอยเป๋าฮื้อชิ้นหนึ่งยื่นให้ยายหวาง
ยายหวางสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ยิ้มประจบว่า “นี่เป็นอาหารที่นายท่านตั้งใจสั่งให้คุณหนูเลย หากข้าน้อยกิน นายท่านต้องลงโทษแน่ คุณหนูทานเถอะเจ้าค่ะ เย็นแล้วจะไม่อร่อย”
“เจ้าไม่กิน ข้าก็ไม่กิน” มู่อวิ๋นซีวางตะเกียบลง “อาจารย์เคยกล่าวไว้ ไม่ควรทานอาหารเพียงผู้เดียว”

สีหน้ายายหวางชะงักอึ้ง พลางยิ้มประจบว่า “คุณหนูไม่ทราบ ที่นี่คือจวนตระกูลมู่ ฮูหยินใหญ่ของครอบครัวลูกคนโตในจวนเราเป็นองค์หญิงใหญ่ในรัชกาลปัจจุบัน ดังนั้นกฎของจวนเคร่งครัดนัก มิอาจให้บ่าวร่วมรับอาหารพร้อมเจ้านายได้”
“เจ้าพูดอะไร?” มู่อวิ๋นซีมองยายหวางอย่างสงสัย กะพริบตาถาม “ข้าไม่เข้าใจ ยังไงซะอาจารย์สั่งแล้วว่าห้ามมิให้ข้าทานอาหารเพียงลำพัง เจ้าไม่กิน ข้าก็ไม่กิน”
มู่อวิ๋นซีลุกขึ้นยืน
สีหน้ายายหวางเริ่มย่ำแย่ “คุณหนู นี่เป็นน้ำใจนายท่าน หากนายท่านรู้ว่าคุณหนูไม่ทาน คงเสียใจมากแน่”
“หากอาจารย์รู้ว่าข้ากินอาหารเพียงลำพัง มิทราบว่าจะเสียใจสักเพียงใด” มู่อวิ๋นซีสบตากลับยายหวาง
“หรือไม่ เจ้ากินสักสองคำ? เจ้ากิน ข้าก็กิน เยี่ยงนี้อาจารย์ข้ามิต้องเสียใจ ท่านพ่อเองก็มิต้องเสียใจ”
หล่อนจะกล้ากินได้เยี่ยงไร? หล่อนเห็นมู่เซิ่งใส่ยาลงในอาหารจานนี้กับตาตนเองเลยทีเดียว
“ข้าน้อยมิกล้าทำผิดกฎเจ้าค่ะ”
“งั้นก็รบกวนยายหวางยกอาหารกลับไปเถอะ ข้านั่งรถม้ามาหลายวัน ทานไม่ลง เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก จะพักผ่อนล่ะ” มู่อวิ๋นซีไม่เจรจากับนางต่อ และเอนตัวพิงตั่งนอนที่อยู่ติดผนังไป(ตั่งนอนก็คือโซฟาโบราณ)
“กิน!ข้าน้อยกิน!”
ยายหวางเสี่ยงตาย คีบเต้าหู้ผัดหอยเป๋าฮื้อหนึ่งชิ้นเข้าปากอย่างเป็นไงเป็นกัน กล้ำกลืนลงไป “ข้าน้อยกินแล้ว เชิญคุณหนูเจ้าค่ะ!”
“มิถูกปากรึ?” มู่อวิ๋นซีมองยายหวางอย่างสงสัย
“จะเป็นไปได้เยี่ยงไร? อร่อยมาก คุณหนูชิมดูสิเจ้าคะ”
“แต่ข้าดูท่าทางเจ้าดูจะมิถูกปากเอามากๆเลย ช่างเถอะ ข้าไม่กินละกัน”

ใบหน้ายายหวางแดงก่ำเป็นสีเลือดหมู ในใจด่ามู่อวิ๋นซีไม่หยุดหย่อน แต่กลับยิ้มประจบ “คุณหนูดูสิเจ้าคะ ข้าน้อยลองชิมให้อีกคำนะเจ้าคะ”
นางกัดฟันคีบเข้าปากอีกคำ กัดกินอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทำท่าทางราวกับเอร็ดอร่อยหนักหนา “อร่อยมากจริงๆนะเจ้าคะ คุณหนูลองดู”
มู่อวิ๋นซีไม่แกล้งนางอีก นั่งลงอย่างว่าง่าย และทานเต้าหู้ผัดหอยเป๋าฮื้อจานนั้นไปกว่าครึ่งท่ามกลางสายตาจับจ้องปนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของยายหวาง
“หวางมามา ข้าง่วงแล้วล่ะ!”
“นังแพศยา!”
ยายหวางสบถออกมาหนึ่งคำ ตบหน้าตนเรียกสติ เดินเข้าหามู่อวิ๋นซีเพื่อถอดรองเท้านางออก ใช้สองมือจับคอเสื้อนางออกแรงกระชาก และดึงฉีกชุดของนางออก จากนั้นกระชากเสื้อตัวในขาดออก
นางกะพริบตาแดงก่ำจับจ้องรอยปานรูปดอกไม้ที่ไหล่มู่อวิ๋นซี พลางยิ้มมุมปากอย่างมาดร้าย “สวรรค์ให้หนทางเจ้าเดินกลับไม่เดิน นรกไร้ประตูเจ้ากลับเดินเข้าหา สิบหกปีก่อนปล่อยเจ้าไปครั้งหนึ่ง ยังหาญกล้ากลับมาอีก?”
“เชอะ!”
นางสบถออกมาหนึ่งคำ “นังแพศยา! เต้าหู้ผัดหอยเป๋าฮื้อยังไม่กิน ข้ารับประกันเลยว่าต่อไปเจ้าต้องคุกเข่าขอร้องข้าให้กินอาจมแทน”
ยายหวางคว้าจับผ้าห่มปิดร่างมู่อวิ๋นซีลวกๆ เก็บถาดอาหาร ดับเทียนและปิดประตูห้องออกไป
ยามนางออกจากเรือน เห็นมู่เซิ่งที่ยืนรออยู่หน้าเรือน ยายหวางกุลีกุจอยิ้มประจบเข้าไปหา

“นายท่าน วางใจเถอะเจ้าค่ะ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นังแพศยานั่นหลับเป็นตายราวกับหมู ข้าน้อยจัดการฉีกกระชากเสื้อผ้านางออกจนหมดแล้ว นายท่าน…มียาแก้พิษหรือไม่เจ้าคะ? เพื่อให้นางตายใจ ข้าน้อยจำต้องชิมเต้าหู้ผัดหอยเป๋าฮื้อสองคำแทนนาง”
มู่เซิ่งมองยายหวางด้วยสีหน้าคล้ายจะยิ้ม โยนยาพิษให้นาง “จะตะกละก็รู้จักเวล่ำเวลาบ้าง หากไร้ซึ่งชีวิต เจ้าจะกินอะไรได้กันล่ะ?”
“เจ้าค่ะ!เจ้าค่ะ!” ยายหวางยิ้มประจบ “ข้าน้อยมิทันระวังเองเจ้าค่ะ”
“เจ้ายืนเฝ้าตรงนี้ หากอีกครู่หนึ่งด้านนั้นเอะอะขึ้นมา เจ้ารีบพุ่งเข้าไปทำลายโฉมหน้านางซะ” สายตามู่เซิ่งเต็มไปด้วยความมาดร้าย
“นายท่านวางใจได้เจ้าค่ะ” ยายหวางแสยะยิ้ม “ข้าน้อยรับประกันว่าจะให้นางเปิดปากพูดไม่ได้ เดินไม่ได้เลยเจ้าค่ะ”
มองตามมู่เซิ่งที่เดินไปไกล ยายหวางกวักมือเรียกสาวใช้มาเก็บถาดอาหาร และมองหาไม้กระบองที่ต้องใช้สองมือประคองถึงจะถือมั่นยืนแอบหลบภายใต้ความมืดของช่องทางหลบลม มองดูมู่เซิ่งส่งร่างท่านชายใหญ่เข้าไปในห้องของมู่อวิ๋นซี และหลบออกไปคนเดียว
“มู่อวิ๋นซี! นางแพศยา ไร้ยางอาย กล้ายั่วยวนพี่ชายข้า?”
เสียงแหลมปรี๊ดด่อทอของสตรีทำลายความสงบในยามค่ำคืน ทำให้ยายหวางที่ยืนสัปหงกสะดุ้งตื่น คว้าไม้กระบองผลุนผลันวิ่งเข้าห้องมู่อวิ๋นซี
“คุณหนูจื่อโหรว หลบไปเจ้าค่ะ!”
ยายหวางตะโกนร้องบอกสตรีที่ยืนหน้าประตูด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยว พลางยกเท้าถีบประตูเปิดออก คว้าไม้กระบองพุ่งเข้าไป “นังแพศยา ดูสิข้า…อ๊า!”
ยายหวางเหยียบพลาด ลื่นกระแทกลงกับพื้น
ไม่รอนางยืนขึ้น ภายในห้องสว่างวาบขึ้น เป็นมู่อวิ๋นซีที่จุดตะเกียงแก้วขึ้นมา
นางจับกรอบโคมปิดลงไปอย่างช้าๆ แล้วจึงหันไปมองยายหวางที่นอนแบบบนพื้นมองนางอย่างตะลึง เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “หวางมามา? เหตุใดคารวะข้าเยี่ยงนี้?”
ยายหวางขยี้ตา ไม่กล้าเชื่อภาพเบื้องหน้าตน
หล่อนถอดเสื้อผ้ามู่อวิ๋นซีออกจนหมดแล้วแท้ๆ เสื้อตัวในก็ฉีกขาดไม่เหลือดี ทำไมตอนนี้นางกลับใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย มายืนตรงหน้าหล่อนได้กันล่ะ? หล่อนจำได้ว่ามู่อวิ๋นซีมิได้มีเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนมาด้วยนี่นา
“มู่อวิ๋นซี นังแพศยา! นั่นหลานเจ้านะ เจ้ายังทำได้ลงคอีก!” ในตอนนี้เอง เสียงโกรธขึ้งของมู่เซิ่งดังจากภายนอกเข้ามา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset