แม้ว่าจางเว่ยอวี่จะไร้ประโยชน์แต่ยังมีวิสัยทัศน์อยู่ เขามองออกว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้ซ่อนพลังเอาไว้และเป็นผู้บำเพ็ญระดับหกตัวจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะ “ทหารวังใน” อ่านคนมานับไม่ถ้วน จางเว่ยอวี่ซักถามคนมากกว่าบางคนที่เคยเจอในชีวิตเขาเสียอีก
เขามองที่มาของหลี่ว์ซู่ไม่ออกแต่สามารถมองออกว่าหลี่ว์ซู่นิสัยไม่เลว
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ต้องการปฏิสัมพันธ์กับหลี่ว์ซู่มากนัก จางเว่ยอวี่รู้ว่าจิตใจของหลี่ว์ซู่ไม่ได้อยู่ที่นี่ ถึงพวกเขาต่างมีความลับของตัวเองแต่ทุกคนก็ได้มารู้จักกันแล้ว แต่หวังว่าเมื่อถึงเวลาแยกกันก็ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ต่อกัน
ในตอนเช้า หลี่ว์ซู่กำลังฝึกกระบี่ จางเว่ยอวี่กลับเข้าบ้านมา ในเวลานี้หลี่ว์ซู่ฝึกกระบี่โดยไม่ต้องหลบจางเว่ยอวี่อีกต่อไป
อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายไม่เคยถามว่าวิชากระบี่ไปเรียนมาจากไหนและหลี่ว์ซู่ก็เชื่อว่าวิชากระบี่นี้ไม่เคยมีในโลกของจักรวาลหลี่ว์ด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่แน่ใจว่าจางเว่ยอวี่จะเดาเขาไปทางไหน
ส่วนความลับของจางเว่ยอวี่ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามันอาจเกี่ยวข้องกับธาตุแท้จริงของโลกจักรวาลหลี่ว์ สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขามีส่วนร่วมได้และเขาไม่พร้อมที่จะเข้าร่วม
เขารู้ตัวว่าสติปัญญาของตนไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก ตอนที่ดูภาพยนตร์การต่อสู้ทางการเมืองบางเรื่อง เขาก็รู้สึกว่าความคิดของนักการเมืองช่างซับซ้อนจริงๆ เดินก้าวหนึ่งวางแผนไปอีกสิบก้าวยังสงบมากกว่า
อย่างเรื่องการต่อสู้กันไปมาของกลุ่มโจรในนิยายเหลียงซานป๋อ คนอย่างซ่งเจียงทิ่ยิ้มแย้มร่างเริงเมื่อเห็นศัตรูของเขา จากนั้นก็ไปฆ่ายกครัวครอบครัวหลี่ขุย
แต่เขาไม่ใช่ ถ้าเขาฆ่าได้ เขาก็กำจัดตรงนั้นเลย…
เขารู้ว่าตนเองไม่ทางเป็นนักวางแผนกลยุทธ์ที่ดีได้ ศัตรูของเขาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ประเภทหนึ่งคือเขาสามารถเอาชนะได้และฆ่าตอนนั้นได้เลยและอีกประเภทหนึ่งคือเขาไม่สามารถเอาชนะในตอนนั้นได้ วันหลังค่อยกำจัด
บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าตนเองเป็นคนซื่อๆ และมีความคิดที่ไม่ซับซ้อน
ดังนั้นในเมื่อไม่ถนัดเรื่องพรรค์นั้นก็อย่าไปยุ่งเสียดีกว่า
เมื่อจางเว่ยอวี่กลับมา หลี่ว์ซู่ไม่ได้แม้แต่ถามว่าไปไหนมา จางเว่ยอวี่ก็ไม่ได้คิดจะบอกเรื่องที่เขาได้พบกับหลิวอี้เจาเมื่อวานนี้
ในเวลานี้ หลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ ทานอาหารเช้าแล้ว จางเว่ยอวี่เหลือบมองที่โต๊ะและพบว่าอาหารส่วนใหญ่ไม่ได้ลดไปมากนัก โดยเฉพาะขนมที่พกติดตัวสะดวกแต่ซุปโดนกินจนเกลี้ยง
จางเว่ยอวี่เป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยม เขารู้ว่าหลี่ว์ซู่อาจเดาออกว่าเมื่อวานคืนเขาไปที่ไหนมา จึงจงใจเรื่องเหลือไว้เขา
มีเพื่อนเก่าไปที่ถ้ำนั้น แล้วเพื่อนเก่าเหล่านั้นเห็นอาหารที่จางเว่ยอวี่เอาไปก็รู้สึกซาบซึ่งใจ แค่จางเว่ยอวี่รู้สึกเจ็บใจตอนนั้นที่นาจาบุกวังหลวงชั้นใน ตอนนี้กลายเป็นสภาพเช่นไรล่ะ
ที่จริงทุกคนปกปิดชื่อแซ่ไปเป็นผู้ช่วยในคฤหาสน์ของขุนนางก็ได้ แม้แต่ซ่อนตัวที่วังของจอมทัพสวรรค์ทั้งสี่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพราะชื่อเสียงของทหารวังในเป็นที่ต้องการของใครๆ
ถึงคนจะสูญพลังแต่ยังมีวิสัยทัศน์ ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มทหารวังในเป็นกองกำลังหลักในการช่วยเหลือองค์ราชาจัดการธุระส่วนตัว แค่ความลับจากการสอบสวนเพียงอย่างเดียวนั้นก็มีนับไม่ถ้วนแล้ว ความลับเหล่านั้นมีค่าเท่าไหร่กัน ไม่มีใครสามารถบอกได้
แต่ทุกคนไม่ได้ทำเช่นนั้นแต่ยอมทนความยากจนเฝ้าอยู่ในละแวกเมืองเถียนเกิ่งไม่จากไปไหน
แต่ก็มีผู้ที่ทนไม่ได้แต่น้อยมาก
ผู้ที่จากไปตอนนี้อาจซ่อนตัวอยู่สุขสบายในวังของจอมทัพสวรรค์หรือเหล่าขุนนางก็ได้ ส่วนคนที่ยังอยู่กลับมีความมุ่งมั่นมากขึ้น
จางเว่ยอวี่เชื่อว่านี่เป็นกระบวนการฝึกฝน คนที่อยู่รอดท้ายสุดถึงจะเป็นคนที่ภักดีอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้นจางเว่ยอวี่ไม่เชื่อว่ากลุ่มเขาอยู่อย่างโดดเดี่ยว หลังจากได้พบกับหลิวอี้เจา เขาก็คิดถึงคำถามนี้ มีคนมากมายในโลกจักรวาลหลี่ว์ต้องรออยู่อย่างพวกเขาเองหรือไม่
รอการกลับมาขององค์ราชา รอยุคที่ทุกคนอยู่ใต้บัลลังก์ขององค์ราชา!
จางเว่ยอวี่หันกลับมาและขอบคุณหลี่ว์ซู่ เขายิ้มพร้อมกับฝึกกระบี่ไป “ขอบคุณอะไรหรือ”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มาแล้วหมายความว่าทุกอย่างในอุปกรณ์เก็บของของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋สามารถหยิบออกไปกินได้ อาหารไม่ใช่สิ่งที่หลี่ว์ซู่ต้องกังวลอีกต่อไปและเขารู้สึกไม่ค่อยถูกใจกับอาหารในโลกจักรวาลนี้
ที่จริงแล้วอาหารเลิศรสคือการแสวงหาทางจิตวิญญาณเพื่อตอบสนองความปรารถนาทางวัตถุ ที่แห่งนี้ไม่รู้ว่ามีศึกสงครามมากี่ปีแล้ว จะมีใครมาประดิดประดอยเรื่องอาหาร ถึงจะมีอาหารรสเลิศแต่ก็เทียบไม่ได้กับของโลก
เพราะตอนนี้ตราแผ่นดินของเขายังใช้ไม่ได้ จะหยิบอะไรออกมาก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นของในมือของหลี่ว์ซู่ก็เพียงพอที่จะเลี้ยงกองทัพได้กองหนึ่ง …
เดี๋ยวนะ อยู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้โลกที่วุ่นวายเช่นนี้ อยากจะรบก็รบกัน ส่วนเขายังมีตรีศูลที่ฮุ่นตุ้นกินเหลือไว้สองหมื่นกว่าด้ามแล้วก็เกราะดำอีกหกสิบสี่ชุด…
ชุดเกราะสีดำนั่นเป็นของชั้นดี ชุดเกราะดำที่เผ่าชาวบาดาลระดับต่ำสวมใส่สามารถต้านการโจมตีของปรมาจารย์หุ่นเชิดได้ ถ้าคนระดับปรมาจารย์หุ่นเชิดสวมใส่จะเป็นอย่างไร
เมื่อหลี่ว์ซู่คิดเรื่องนี้ก็รู้สึกว่าความคิดของเขาตลกเหลือเกิน เขาจะไปหาระดับ 1 หกสิบสี่คนจากไหน
อย่างไรเสีย หลี่ว์ซู่กำลังคิดเกี่ยวกับพลังของปรมาจารย์หุ่นเชิดคงไม่ได้ธรรมดาๆ แบบระดับ 1 ตอนนี้อวิ๋นอี่และพยัคฆ์จื๋อดูเหมือนจะจงใจกดพลังของตนลงไปที่ระดับ 1
เมื่อคิดเช่นนี้ หลี่ว์ซู่ยิ่งรู้สึกว่าองค์ราชาปรมาจารย์หุ่นเชิดรอคอยนั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับราชาแห่งทวยเทพของโลกของจักรวาลนี้เพราะคนอื่นไม่มีคุณสมบัติพอที่จะขับไล่พวกเขาได้ …
หลี่ว์ซู่จึงถามจางเว่ยอวี่ “อืม…คุณรู้ไหมว่าที่ไหนเก็บหนังสือไว้มากที่สุด หนังสือจำพวกประวัติศาสตร์พวกนั้น? “
เขาได้แต่ถามเช่นนี้ หลี่ว์ซู่ต้องการหาข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเส้นทางกลับโลกจากบันทึกในจักรวาลนี้แต่เขาก็อธิบายละเอียดไม่ได้
จางเว่ยอวี่ครุ่นคิดสักพักและพูดว่า “ก็ต้องเป็นห้องหนังสือในวังราชาแห่งทวยเทพ”
“พูดอะไรที่เป็นไปได้หน่อย” หลี่ว์ซู่พูดด้วยใบหน้านิ่งเฉย
“สำนักกระท่อมกระบี่ก็มีเยอะนะ เหมือนกับว่าหนังสือจำนวนมากจากวังหลวงมอบให้สำนักกระท่อมกระบี่พิมพ์” จางเว่ยอวี่พูด
“ขอละเอียดกว่านี้หน่อย ผมให้โอกาสคุณครั้งสุดท้าย ถ้าไม่พูด ผมจะไม่เกรงใจนะ” หลี่ว์ซู่พูดอย่างใจเย็น
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่, +666!]
นี่เป็นครั้งแรกที่จางเว่ยอวี่เจอคนที่พูดเรื่องต่อยตีเหมือนกับการดื่มน้ำชา…
“ในคฤหาสน์ของท่านหลี่น่าจะมีหนังสืออยู่บ้าง” จางเว่ยอวี่พูด “นายลองไปดูที่นั่นก็ได้”
หลี่ว์ซู่หันกลับมาพาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปคฤหาสน์เจ้าเมืองหลี่ อีกฝ่ายก็ไม่ได้ขี้เหนียวและเชิญชวนหลี่ว์ซู่ไปดูห้องหนังสือของเขาอย่างกระตือรือร้น
และแล้วเมื่อหลี่ว์ซู่เดินเข้ามาในห้องหนังสือของเจ้าเมืองหลี่ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
หนังสือเต็มฝาหนัง…เป็นบทกวีขององค์ราชา…ที่นี่รวบรวมไว้ครบถ้วนมากกว่าตระกูลอวี่เสียอีก หลี่ว์ซู่ยังเห็น “บทรวบรวมขององค์ราชา” …
หลี่ว์ซู่เอ่ยปากชมเชยแม้ในใจเขาจะบ่น “พระอัฉริยะภาพของราชาแห่งทวยเทพนั้นไม่มีใครเทียบได้ในตอนนี้ … “
เดิมทีหลี่ว์เสี่ยวอวี๋สนใจไปหยิบหนังสือกลอนขององค์ราชาแต่พอเปิดอ่านไม่ทันไรก็ต้องตกใจแต่ก็ไม่พูดอะไร
หลี่ว์ซู่พาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลับที่พัก ประโยคแรกที่เขาเอ่ยปากถามจางเว่ยอวี่เมื่อหลี่ว์ซู่เจอเขาก็คือ “สำนักกระท่อมกระบี่อยู่ที่ไหน”