ขณะเดินทางมายังหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ หลุมดำพลังปราณทั้ง 5 ของโจวเหว่ยชิงก็ได้ดูดกลืนพลังปราณภาย นอกเข้ามาด้วยความเร็วเต็มอัตรา ดังนั้นตอนนี้พลังปราณสวรรค์ของเขาอย่างน้อยครึ่งหนึ่งจึงได้ฟื้นกลับคืนมาแล้ว ในขณะที่เขายกมือขวาขึ้น ไอหมอกน้ำแข็งก็พวยพุ่งออกมา จากนั้นธนูราชันปรากฏตัวขึ้นในมือของเขา
เมื่อมองเห็นธนูราชัน ดวงตาของมู่เอินก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที “ช่างเป็นธนูที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้! ลายเส้น ความแข็งแกร่ง รูปแบบ หรือแม้กระทั่งพลังปราณสวรรค์ที่สัมผัสได้ สิ่งนี้ควรทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่ง แน่นอนว่ามันทรงพลังมาก หากเจ้ามีมณีมากกว่านี้ ข้าสงสัยนักว่าธนูนี้จะมีพลังทำลายล้างมากถึงขนาดไหนกันแน่ ชื่อของมันคือ?”
โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “ธนูราชัน” ในปีนี้เขามีอายุ 14 ปี และอาจกล่าวได้ว่าช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของเขาคือช่วงที่เขาติดตามมู่เอิน ในเวลานั้น เขาไม่รู้ว่ามู่เอินป็นจ้าวมณีที่ทรงพลังจากหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาใช้เวลาไปกับการกินดื่มและเที่ยวรอบโลกอย่างสนุกสนาน แน่นอนว่าสิ่งนี้อยู่ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ ของแม่ทัพโจว ไม่เช่นนั้นการไปเยี่ยมเยียนหอโคมเขียวและเล่นการพนันคงจะถูกเพิ่มเข้าไปในรายการเที่ยวเล่นของพวกเขาแล้ว
“ ‘ธนูราชัน’ หรือว่า ‘บังคับสอดตัวเองเข้าไปในตัวใครซักคน’ [1] ? (คือออกเสียงคล้ายกัน) ชื่อช่างลามกเสีย จริงๆ”
โจวเหว่ยชิงพูดไม่ออก “อาจารย์! ความคิดของท่านนั่นแหละที่ลามก!”
มู่เอินพูดว่า “มาที่ห้องของข้าแล้วเล่าให้ข้าฟังว่าปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง ข้าจินตนาการไม่ออกเลยว่าระดับปราณสวรรค์ของเจ้าพุ่งขึ้นถึงสี่ระดับในเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร อีกทั้งยังเจ้าปลุกมณีสวรรค์ของเจ้าได้ด้วย”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “อาจารย์ ตอนนี้ข้าอยู่ในระดับที่ 5 แล้ว! ฮี่ๆ ข้าเป็นศิษย์ของท่าน เพราะฉะนั้นก็ย่อมเป็นอัจฉริยะเหมือนท่าน”
มู่เอินครุ่นคิดสักครู่แล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “นั่นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมาก อย่างน้อยเจ้าก็ได้รับความอัจฉริยะของข้าไปบ้าง”
ขณะที่พวกเขาเข้าไปในบ้านไม้ของมู่เอิน โจวเว่ยชิงเห็นว่าข้างในระเกะระกะมาก ผนังห้องเรียงรายไปด้วยภาพของหญิงงามร่างกายเปลือยเปล่า และบางภาพก็ยังมีรอยแปลกๆ สีขุ่นๆ กระเซ็นติดอยู่
โจวเหว่ยชิงใช้เวลาสักครู่ในการหาที่นั่งที่สะอาดๆ จากนั้นเขาก็เล่าให้มู่เอินฟังเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เนื่องจากมู่เอินเป็นอาจารย์ที่เขาเคารพนับถือ โจวเหว่ยชิงจึงไม่ได้ปกปิดเรื่องราวใดๆ กับเขาเลยแม้แต่น้อย
หลังจากฟังเรื่องเล่าของเขาและมองสำรวจไพฑูรย์ตาแมวสองสีอย่างถี่ถ้วนแล้ว มู่เอินก็บอกให้โจวเหว่ยชิงแสดงทักษะธาตุที่เขากักเก็บเอาไว้ ในที่สุดเขาก็เชื่อว่าเรื่องทั้งหมดที่โจวเหว่ยชิงเล่าเป็นความจริง
“ให้ตาย! ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอ!…ความสามารถของเจ้าแข็งแกร่งกว่าบิดาของเจ้าเสียอีก! ไม่แปลกใจเลยที่ข้าค้นพบว่าปิงเอ๋อร์ไม่ใช่สาวบริสุทธิ์อีกต่อไป เจ้าเป็นคนลงมือนั่นเอง! อิจฉา อิจฉาโว๊ยยยย! ข้าทั้งอิจฉาและเกลียดเจ้า!” ดวงตาของมู่เอินเกลือกกลิ้งไปมา
“อาจารย์ ข้าควรบอกคนอื่นๆ ในหน่วยเกี่ยวกับทักษะธาตุของข้าหรือไม่?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้
มู่เอินส่ายหัวทันที สีหน้าของเขาดูชั่วร้ายขึ้นมาวูบหนึ่งขณะที่เขายิ้มออกมา “ทำไมต้องบอกพวกเขาด้วย? เมื่อช่วงเวลาสำคัญมาถึง บางทีเจ้าอาจทำให้พวกเขาตกตะลึงก็เป็นได้ หึๆ เจ้าและปิงเอ๋อร์จะออกไปทำภารกิจพร้อมกับพวกเรา แต่ส่วนใหญ่พวกเจ้าจะเป็นผู้สังเกตการณ์มากกว่า ในช่วงเวลานั้น เจ้าแค่ตามอยู่ข้างๆ ข้าก็พอ เมื่อพวกเรากลับมา ข้าจะเริ่มสอนทักษะการยิงธนูของข้าให้เจ้า เนื่องจากเจ้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์อยู่แล้ว มีหลายสิ่งที่เจ้าต้องเรียนรู้ อาจารย์ของเจ้าจะสั่งสอนเจ้าด้วยตัวเองอย่างสุดความสามารถแน่นอน”
“อาจารย์ ท่านอย่าใช้คำว่าสั่งสอนด้วยตัวเอง[2] ที่นี่จะได้ไหม? อ่า ใช่แล้ว เมื่อไหร่ท่านจะพาข้าไปแอบดูผู้หญิงอาบน้ำที่โรงอาบอีกครั้งล่ะ? แล้วก็ยังต้องไปโรงเตี๊ยมเหลาสุราเพื่อฝึกใช้สายตาประเมิน ‘ขนาดหน้าอก’ อีกด้วย? อ๊า ใช่แล้ว ครั้งสุดท้ายที่เราขโมยไก่ของใครสักคนมาปิ้งกิน คราวนั้นรสชาติของมันน่าทึ่งมากจนข้าลืมไม่ลงมาถึงทุกวันนี้เลยทีเดียว! อาจารย์! ท่านยังไม่ได้สอนวิธีปรุงรสกับย่างไก่ตัวนั้นให้ข้าเลย!”
“อ้อ อาจารย์ ข้าคิดว่ารสนิยมของข้าเริ่มแตกต่างไปจากของท่านแล้ว…ข้าคิดว่าตอนนี้ผู้หญิงที่มีสะโพกใหญ่นั้นเข้าท่ากว่า… ”
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร! ไม่ใช่ว่าข้างล่างใหญ่อย่างเดียว พวกนางจะต้องร้อนแรงด้วย! เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก เจ้าเด็กเหลือขอ…”
หากมีวลีที่จะอธิบายอาจารย์เช่นมู่เอิน ก็คงจะเป็น ‘มีเพียงหนึ่งเดียว’ แน่นอน
โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่างก็ได้รับมอบบ้านไม้หลังเล็กๆ ให้อาศัยอยู่ ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาต้องดูแลอาหารการกินของตัวเองและจะไม่มีคนรับใช้หรืออะไรประเภทนั้นเด็ดขาด แน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโจวเหว่ยชิงต้องเป็นคนเตรียมอาหารสำหรับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ สำหรับมู่เอินนั้น ในเมื่อตัวเขามีศิษย์อาศัยอยู่ที่นี่เช่นกัน เช่นนั้นเขาจะใช้ประโยชน์จากโจวเหว่ยชิงได้อย่างไร ท้ายที่สุดแล้วโจวเหว่ยชิงจึงต้องเตรียมอาหารไว้เผื่อคนทั้ง 2 ด้วย
โจวเหว่ยชิงเห็นว่าสมาชิกคนอื่นๆ ของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์มักจะหลบอยู่ในห้องของตัวเอง แม้ว่าหลัวเขอตี้จะเดินทางออกไปในช่วงบ่ายอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าเขาน่าจะออกไปดื่ม ส่วนมู่เอินนั้นอยู่ในห้องของตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังดูรูปบนกำแพงและ ‘ฝึกฝนมือของเขา’ หรือเขากำลังฝึกปราณสวรรค์อยู่กันแน่
สำหรับโจวเหว่ยชิง เขาใช้เวลานั้นฝึกปราณสวรรค์อย่างหนักหน่วง นี่ไม่ได้หมายความว่าโจวเหว่ยชิงเป็นคนขยัน แต่เพราะในขณะที่เขามีทักษะยอดเยี่ยมมากมาย พลังปราณสวรรค์ของเขากลับไม่เพียงพอที่จะใช้มันได้ นั่นทำให้เขาเจ็บปวดใจมาก นอกจากนี้ เขายังรู้สึกได้ชัดเจนว่าความเร็วในการดูดกลืนของวิชาเทพอมตะนั้นได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่านับตั้งแต่เขาสำเร็จวิชาส่วนแรก ดังนั้นหลุมดำพลังปราณทั้ง 5 จึงดูดกลืนพลังปราณภายนอกเข้ามาในอัตราความเร็วที่จ้าวมณีสวรรค์คนใดก็ไม่อาจทำได้
อย่างไรก็ตาม โจวเหว่ยชิงก็ยังคงกังวลลึกๆ เกี่ยวกับเทคนิคเทพอมตะ เขารู้สึกเจ็บปวดมากทุกครั้งขณะที่ทะลวงผ่านจุดตาย แต่ก็ยังโชคดีที่เขามีพลังจากไข่มุกสีดำคอยช่วยเหลือเสมอ อนิจจา การเริ่มฝึกวิชาเทพอมตะนี้ก็เหมือนขึ้นหลังเสือ จะลงก็ลงไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงได้แต่หวังว่าจะสำเร็จวิชานี้และทะลวงจุดตายทั้ง 36 จุดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะถึงยังไงซะ เจ็บตอนนี้ก็ยังดีกว่าตาย นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขากระตือรือร้นในการฝึกฝนมากขนาดนี้
ขณะนี้โจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และมู่เอินกำลังนั่งล้อมรอบซุปของโจวเหว่ยชิงอยู่ ในซุปนั้นประกอบด้วยหน่อไม้และผักชนิดอื่นๆ ที่ดูแปลกประหลาดจากป่าดารา
“เหว่ยน้อย เสือขาวตัวน้อยของเจ้าไม่หิวเหรอ?” มู่เอินมองไปที่เสือขาวตัวน้อยซึ่งนั่งอยู่ในตักของโจวเหว่ยชิง เขาไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยนี้เป็นอสูรสวรรค์จริงๆ หรือไม่ แต่เขาบอกกับโจวเหว่ยชิงว่า แม้มันจะเป็นอสูรสวรรค์ มันก็ยังเป็นเด็กและต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่ามันจะเติบโตขึ้น แน่นอนว่าการเลี้ยงมันเป็นสัตว์เลี้ยงนั้นไม่ได้แย่อะไร
โจวเหว่ยชิงเคี้ยวหน่อไม้ที่เขาเพิ่งขุดขึ้นมาแล้วพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เจ้าตัวน้อยนี้ยังคงแข็งแรงแม้มันจะไม่ได้กินอะไรเลย เพราะฉะนั้นข้าจึงไม่ได้ให้อาหารมัน”
สายตาของมู่เอินเผยให้เห็นถึงความสงสัย “แปลกมาก ข้าคิดว่าถ้ามันไม่ใช่อสูรสวรรค์มันก็คงตายไปนานแล้ว แต่ว่าถ้ามันเป็นอสูรสวรรค์จริง ข้าก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอสูรสวรรค์ที่มีรูปร่างคล้ายเสือขาวเช่นนี้มาก่อน หรือว่ามันจะเป็นโรคผิวหนัง?”
“อะไรนะ?! เป็นไปได้หรือ?” โจวเหว่ยชิงมองดูเสือขาวตัวน้อยด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ราวกับว่าเขากำลังจะเขวี้ยงมันออกจากตักด้วยความกลัวว่ามันจะเป็นโรคติดต่อ
เสือขาวตัวน้อยดูเหมือนจะรู้สึกถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น มันส่ายศีรษะไปมาอย่างน่ารักน่าชังและคำรามใส่มู่เอิน
“เอ๊ะ เจ้าตัวน้อยนี้ช่างฉลาดจริงๆ! ดูเหมือนมันจะเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดด้วย เหว่ยน้อย หากเจ้าตัวน้อยๆ นี้เป็นอสูรสวรรค์ เจ้าก็โชคดีจริงๆ! ยิ่งอสูรสวรรค์มีระดับสูงเท่าไหร่ มันก็ยิ่งฉลาดมากเท่านั้น เฮ้อ เสียดายที่เจ้าตัวน้อยนี้ยังคงเป็นเด็ก ไม่เช่นนั้นหากมันตัวใหญ่กว่านี้สักเล็กน้อย เจ้าก็สามารถใช้มันเป็นพาหนะได้”
เมื่อเสือขาวตัวน้อยได้ยินดังนั้น ดวงตาเล็กๆ ของมันเบิกกว้าง มันหยุดสั่นหัวราวกับจะบอกว่า อะไรนะ! พวกเจ้าเป็นแค่มนุษย์ กล้าจะใช้ข้าเป็นม้าเชียวรึ!?
มู่เอินยิ้มแย้มและหัวเราะร่าขณะที่เขาสูบท่อยาสูบของเขาต่อ ซ่างกวนปิงเอ๋อเสตาหลบเขาอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้ความอยากอาหารลดลง
“เหว่ยน้อย หากเจ้าตัวน้อยนี้เป็นอสูรสวรรค์จริงๆ มันก็น่าจะเป็นราชาแห่งสัตว์ร้ายเพราะว่ามันเป็นอสูรสวรรค์ประเภทเสือ อย่างน้อยเจ้าตัวจ้อยนี่ก็น่าจะระดับเทวะขึ้นไป ดูแลมันให้ดีๆ ล่ะ ดูจากอายุของมันแล้ว แม้ว่าเจ้าจะไม่ทันได้ใช้งานมัน แต่บางทีเจ้าอาจจะมอบให้กับลูกๆของเจ้าก็เป็นได้”
“ผู้อาวุโสมู่เอิน ท่านพูดอะไรน่ะ!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกเขินอายมาก เธอเตะขาโจวเหว่ยชิงเล็กน้อยก่อนจะรีบกินจนหมดชาม
มู่เอินพูดอย่างเข้าอกเข้าใจ “เดี๋ยวเจ้าก็ชินเอง…อืม เหว่ยน้อย ข้าว่าจะขอตัวปิงเออร์จากหัวเฟิงมาเป็นลูกศิษย์ของข้าอีกคนร่วมกันกับเจ้า”
“อะไรนะ? อย่าเลย ท่านเป็นอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของข้า ด้วยความสามารถอันน่าอัศจรรย์ที่แม้แต่เทพเจ้าและปีศาจก็ยังหวาดกลัวเช่นนี้ ท่านจะยอมลดตัวไปสั่งสอนคนอื่นง่ายๆ ได้อย่างไร! ข้าอยากจะเป็นศิษย์คนเดียวของท่านและไม่อยากจะแบ่งปันความรู้ของท่านกับใครเลย แม้แต่ภรรยาของข้า! ความรู้ทั้งหมดของท่านควรเป็นความลับระหว่างเรา!” น่าขันอะไรเช่นนี้! เขาจะปล่อยให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เรียนรู้จากตาแก่จอมเจ้าเล่ห์ของเขาได้อย่างไร…สวรรค์! จะเป็นอย่างไรถ้าเธอกลายเป็นอันธพาลหญิง ถึงตอนนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว! แม้ว่าหัวเฟิงจะเป็นพวกตัดแขนเสื้อ แต่ยังไงเขาก็ดีกว่าชายชรานิสัยเสียนี่! โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกว่าพวกตัดแขนเสื้อนั้นยอดเยี่ยมขึ้นมาในทันที! แม้ว่าเขาจะรักบิดา แต่อย่างน้อยก็รู้สึกปลอดภัยที่จะให้ภรรยาของเขาเรียนรู้จากหัวเฟิง! ต้องปลอดภัยเอาไว้ก่อน!
ในวันรุ่งขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์มาเยือนยามรุ่งสาง โจวเหว่ยชิงก็ถูกปลุกให้ตื่นโดยมู่เอิน ทว่าด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบคมขึ้นของเขา เขาก็ยังไม่รู้ว่ามู่เอินเข้ามาในห้องของเขาโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวได้อย่างไร
“อรุณสวัสดิ์ท่านอาจารย์ ทำไมท่านตื่นเช้าขนาดนี้?” โจวเหว่ยชิงฝึกปราณมาตลอดทั้งคืนและเพิ่งเริ่มนอนเมื่อไม่นานมานี้เอง ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ท่านอนของเขายังสบายเกินไป ทำให้เขายังคงง่วงงุนอยู่มาก “อย่ามัวพูดจาไร้สาระ ตื่นขึ้นมาเร็วๆ พวกเราจะไปทำภารกิจหลังทานอาหารเช้า” มู่เอินคว้าผ้านวมออกจากตัวของโจวเหว่ยชิงทันที
โจวเหว่ยชิงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปีนป่ายออกมาจากเตียง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามู่เอินนั้นแต่งตัวแตกต่างจากเมื่อวานมาก เขาสวมชุดสีเทาสง่างาม ดูไม่เหมือนชายชราเกียจคร้านและซุกซนเมื่อวานนี้นัก ตอนนี้ตัวเขากลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและดูมีกำลังวังชาอย่างน่าเหลือเชื่อ
โจวเหว่ยชิงแต่งตัวตัวอย่างรวดเร็วและติดตามมู่เอินเข้าสู่ลานกว้าง เขาพบว่ามู่เอินได้เตรียมอาหารเช้าไว้แล้ว ขณะนี้คนที่เหลือทั้งหมดต่างก็นั่งกินข้าวกันอยู่ในลานกว้างนี้ด้วย เมื่อเขาหันไปเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาก็พบว่าเธอแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ธนูอุษาม่วงคันเดิมของเธอหายไปและตอนนี้เธอก็กำลังถือคันธนูสีเขียวขนาดเล็กอยู่ ธนูอุษาม่วงถือเป็นธนูที่ยาวและค่อนข้างใหญ่ แต่ธนูสีเขียวอันใหม่ที่เธอถืออยู่นั้นมีขนาดเล็กเกือบครึ่งหนึ่งของธนูอุษาม่วง
มู่เอินตบหัวของเขาและพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องมองแล้ว นั่นคือธนูที่หัวเฟิงมอบให้กับเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนนั้น แน่นอนว่าเขาใจกว้างมาก ธนูวิญญาณมรกตนั้นเบาและมีอัตราการยิงที่สูงมาก นั่นเป็นหนึ่งในคันธนูที่ดีที่สุดสำหรับจ้าวมณีธาตุลม แน่นอนว่าดีกว่าธนูอุษาม่วงที่มีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก
โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “อาจารย์ ดูสิ อาวุโสหัวเฟิงใจดีๆ มากเลยทีเดียว เขาถึงขั้นมอบของขวัญให้กับลูกศิษย์เป็นการต้อนรับ…ข้าติดตามท่านมานาน อย่างน้อยก็ 2 ปีแล้ว ท่านจะไม่มอบธนูดีๆ ให้ข้าสักคันหรือ?”
มู่เอินส่งเสียงหึในลำคอและพูดว่า “เพราะหัวเฟิงนั้นร่ำรวย แต่ข้ากลับยากจนนัก ถึงแม้ข้าจะมีเงิน แต่มันก็ถูกใช้ไปกับอาจารย์หญิงชั่วคราว[3] ของเจ้าหมดแล้ว เฮ้อ…เหว่ยน้อย ให้อาจารย์สอนบทเรียนชีวิตให้กับเจ้าตอนนี้เถิด นั่นคือเจ้าควรพึ่งพาตนเอง!”
โจวเหว่ยชิงเพิ่งตักซุปใส่ในปาก เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์ เขาก็เกือบจะพ่นซุปนั้นออกมาจนหมด โจวเหว่ยชิงพลันคิดกับตัวเอง: อาจารย์ฮูเหยียนนั้นถือว่าเป็นคนขี้เหนียวแล้ว ดูเหมือนว่าอาจารย์มู่เอินนั้นจะขี้เหนียวพอๆ กับเขาเลยทีเดียว! บางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ!!
……………………………………………………….
[1] นักเขียนเล่นคำ – 霸王弓 (ธนูราชัน) 霸王攻 (บังคับตัวเองเข้าไปในตัวใครซักคน) คำว่า 弓 และ 攻 เสียงเหมือนกัน]
[2] 调教 จริงๆแล้วแปลว่าสั่งสอน แต่ตอนนี้ในอินเตอร์เน็ตมักจะใช้ไปในทางเหน็บแนมว่าสอนสวาท สั่งสอนด้วยร่างกาย
[3] 师母 หมายถึงอาจารย์หญิง ในบริบทแปลว่าหญิงนางโลมค่ะ ( ͡° ͜ʖ ͡°)
Related