หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 1024 คำสาปวิญญาณเพลิง

ในขณะที่ชีวิตที่น่าสังเวชของเซี่ยไห่หยางยังคงดำเนินต่อไป การฝึกเวทผนึกดาราของหวังเป่าเล่อก็มีความก้าวหน้าไม่หยุด ตอนนี้สะเก็ดดาวทั้งหมดที่เขาใช้ก่อแผนที่ดวงดาวเทพวัวได้ถูกแทนที่ด้วยดาวเคราะห์ทั่วไป

ขณะเดียวกันก็ทำให้มันมีพลังจนน่าตระหนก และทำให้หวังเป่าเล่อเริ่มลงมือฝึกฝนเวทผนึกดาราขั้นที่สาม เพียงแต่ด้วยระดับการฝึกตนของเขาเป็นเพียงดาวพระเคราะห์ขั้นกลาง จึงไม่อาจฝึกได้รวดเร็วเท่าสองขั้นก่อนหน้า และค่อยๆ ช้าลง จุดสนใจของเขาจึงค่อยๆ ย้ายจากเวทผนึกดารามาเป็นคำสาปวิญญาณเพลิง

“วิญญาณเพลิง เหยียนหลิง…” ภายในหอคอยของตนเอง หลังจากสัมผัสคำสาปวิญญาณเพลิงแล้ว หวังเป่าเล่อก็ตบหน้าผากตนเอง กล่าวอยู่ในใจว่าอาจารย์นะอาจารย์ นี่ท่านตั้งชื่อตามอำเภอใจนี่นา ยังตั้งชื่อร่างอวตารตามอำเภอใจหรือว่าคำสาปนี้ที่แท้เกี่ยวข้องกับเทพวัว

ความจริงก็คือชื่อของเทพวัวคือเหยียนหลิง

หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก พักเรื่องชื่อไว้ก่อนและเริ่มศึกษาคำสาปวิญญาณเพลิง คำสาปนี้มีพื้นฐานมาจากพลังแห่งเปลวเพลิง เป็นโครงของภาษาโบราณเล็กๆ นับไม่ถ้วน โดยใช้พลังชีวิตของตนเป็นแรงฉุดและก่อเป็นเวทคำสาป!

มันแตกต่างจากเวทคำสาปที่หวังเป่าเล่อเคยเข้าใจมาก่อน เวทคำสาปทั่วไปส่วนใหญ่ยืมพลังแห่งฟ้าดิน หรือความสามารถลึกลับที่ไม่อาจคาดเดา เพื่อที่จะส่งผลไปสาปแช่งศัตรู

แม้ว่าพลังของเวทคำสาปนี้จะไม่เลว แต่ในท้ายที่สุดก็ยืมพลังจากภายนอกเท่านั้น ร่างของตนก็เป็นเพียงสื่อกลาง ใช้เพื่อดึงดูดและโอนย้ายพลังที่ยืมมา

หากต้องการจะหลุดพ้นก็ไม่ยาก และถึงจะแก้คำสาปก็ใช่ว่าจะไร้วิธี และหากมีความเตรียมพร้อม ทำให้ผู้ที่ร่ายเวทคำสาปถูกแรงสะท้อนกลับก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

สรุปแล้วมันมีพลังปานกลางแต่ข้อเสียมากเกินไป แม้จะง่ายในตอนเริ่มต้นแต่ข้อจำกัดก็มากเกินไป และพลังแห่งฟ้าดินดูเหมือนจะไม่สิ้นสุด แต่จริงๆ แล้วจุดจบยังมีอยู่ ร่างที่เป็นสื่อกลางก็มีขีดจำกัดเช่นกัน ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ จึงนำไปสู่เส้นทางสายเวทคำสาปด้วยเพียงช่องทางเล็กๆ เท่านั้น

นี่แทบจะเป็นข้อดีและข้อเสียของเวทคำสาปเกือบทั้งหมดในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ดังนั้นแม้จะมีผู้เชี่ยวชาญเวทคำสาปเป็นจำนวนมากภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แต่กลับแทบจะไม่มีรุ่นที่มีชื่อเสียงเลย

อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถทำร้ายผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับดาราจักรจนถึงระดับจักรพิภพได้แล้ว เช่นนั้นมีหมื่นเวทก็สูญเปล่า!

แต่เวทคำสาปของปรมาจารย์แห่งไฟ โดยมากใช้ชีวิตและดวงจิตมาเป็นคำสาปแห่งความแค้น ไม่ว่าจะในระดับใด กล่าวได้ว่าทั้งสองฝ่ายสูญเสียไม่ต่างกันนัก นี่ก็เป็นสาเหตุที่หากปรมาจารย์แห่งไฟสำแดงสามคำสาปหลัก ค่าตอบแทนที่เกิดขึ้นก็คือความล่มสลายของตนเอง

แต่ข้อดีก็น่าตระหนกเช่นกัน ข้อแรกความปรารถนาไม่มีที่สิ้นสุด ความแค้นก็ไม่สิ้นสุดเช่นกัน ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้นี้ บางระดับก็ไร้ขอบเขตยากที่จะไปวัดขนาดได้ ดังนั้นจึงทำให้เวทนี้แทบจะไม่มีที่สิ้นสุด

อีกประการหนึ่งคือเมื่อสำแดงออกไปแล้ว ก็ยากมากที่จะป้องกันและไร้ทางหลุดพ้น ส่วนการแก้ไข…เพราะพลังแห่งคำสาปมาจากความแค้นและความปรารถนาที่ยากจะสงบของผู้ร่ายเวท ไม่ใช่พลังแห่งฟ้าดิน ดังนั้นคำสาปเฉพาะจึงก่อตัวขึ้น มีเพียงผู้ร่ายเวทเท่านั้นจึงจะสามารถทำลายได้!

หลังจากศึกษาคำสาปวิญญาณเพลิงอย่างรอบคอบแล้ว ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏประกายลึกล้ำ ตกอยู่ในภวังค์ หลังจากนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดพึมพำ

“เวทนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่อยู่ในภาวะสงบ… เหมาะสำหรับการฝึกฝนในภาวะทุกข์ยาก ยิ่งทุกข์ยาก ยิ่งอนาถ ยิ่งไม่สงบ ความแค้นก็ยากจะดับ…ชีวิตนี้ของท่านอาจารย์ แม้มีประสบการณ์ล้มลุกคลุกคลานมานับไม่ถ้วน ผ่านเสียงกรีดร้องมามากมาย สุดท้ายก็กลายแต่ละย่างก้าว สร้างเวทคำสาปที่เพียงพอจะทำให้จักรพรรดิสวรรค์หวาดผวา”

“และหากยังคงฝึกฝนเวทนี้ต่อไป อุปนิสัยจะดุร้ายรุนแรงขึ้นในเวลาเดียวกัน ตนเองก็จะเปลี่ยนเป็นมืดมน ดังนั้น… อาจารย์ให้ข้าฝึกเวทผนึกดาราก่อน เพื่อสร้างพลังอำนาจและใช้สิ่งนี้ลดผลกระทบ แล้วยังสามารถขจัดความมืดมนและความดุร้ายออกไปได้…”

“แต่ยังมีข้อเสียข้อหนึ่ง ก็คือการฝึกเวทคำสาปนี้ต้องเพียบพร้อมด้วยพลังชีวิตที่ไม่สิ้นสุด มีเพียงวิธีนี้จึงจะสามารถลดความสูญเสียลงอย่างไร้ขีดจำกัดได้ จนถึงขั้นไม่เกิดการสูญเสีย”..Aileen-novel

หวังเป่าเล่อระลึกถึงสิ่งที่อาจารย์กล่าวในความเงียบ หลังจากครึ่งปี เขาจะไปอวยพรวันเกิดกับเจ้าแห่งสวรรค์ ที่นั่น อาจารย์ได้เปลี่ยนชะตาฟ้าลิขิตให้กับตัวเอง

แม้ว่าจะไม่ทราบความเฉพาะเจาะจงของสิ่งที่เรียกว่าชะตา แต่ในขณะนี้ หลังจากหวังเป่าเล่อไตร่ตรองแล้วก็ได้คาดเดาอยู่ในใจ

“อย่างมากที่สุดพลังชีวิตทำได้เพียงใช้สวรรค์มาอธิบาย…” ขณะที่หวังเป่าเล่อพึมพำ ดวงตาก็ค่อยๆ เผยให้เห็นถึงความลังเลวูบหนึ่ง ความลังเลนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และครอบงำดวงตาทั้งคู่ ในไม่ช้าก็แทรกซึมเข้าสู่ภายในใจ

“แต่เวทคำสาปนี้ได้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าทั้งชีวิตต้องพบกับความไม่สมปรารถนาอย่างรุนแรง แค้นที่ยากจะดับ จึงจะสามารถฝึกฝนได้สำเร็จยิ่งขึ้น เหตุใดท่านอาจารย์จึงถ่ายทอดให้แก่ข้า” หวังเปาเล่อเงียบไปสักพัก ในชีวิตของเขาจนถึงตอนนี้ ถึงแม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าราบรื่น แต่ก็ยังห่างไกลจากทุกข์ยาก ตามเหตุผลแล้วเขาไม่เหมาะที่จะฝึกฝนคำสาปนี้ั

“อาจเป็นเพราะอาจารย์เห็นอะไรบางอย่าง…ที่ไม่อาจบอกข้าได้? บางทีข้าอาจคิดมากเกินไป” หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะ เขารับรู้ได้ว่าอาจารย์มีความจริงใจต่อตนเอง ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวสำหรับเรื่องนี้ก็คือชีวิตของคนคนหนึ่งมักจะผันแปรอยู่เสมอ อาจารย์หวังให้เขาสามารถได้รับพลังที่ผุดขึ้นหลังจากพบกับความผันแปรเหล่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ในภาวะราบรื่นของตนเติบโตได้ ภาวะทุกข์ยากเป็นครั้งคราวของตนก็สามารถเติบโตได้เช่นกัน

“ไม่ว่าระดับใด ก็นับเป็นหลักประกัน” หลังจากหวังเป่าเล่อใคร่ครวญแล้ว รู้สึกว่าความคิดของตนเองนั้นน่าจะถูกต้อง ดังนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึก ตั้งสติ และเริ่มฝึกคำสาปวิญญาณเพลิง

ด้วยเหตุจากอุปนิสัยและเพราะเขาไม่มีความคับข้องใจและความเกลียดแค้นมากนัก ดังนั้นในการฝึกฝนนี้หวังเป่าเล่อจึงไปได้ช้ามาก แต่เขามีความเพียรพยายาม หลังจากที่เขาตระหนักว่าคำสาปนี้เท่ากับเป็นหลักประกัน เขาก็ยิ่งใส่ใจมากขึ้น ในเวลาต่อมา แม้จะคืบหน้าไปได้ช้ามากแต่เขาก็ยังคงทุ่มเทจิตใจทั้งหมดอยู่กับมัน ทำความคุ้นเคยกับเวทคาถาครั้งแล้วครั้งเล่า และครั้งแล้วครั้งเล่าที่นำพลังชีวิตมาหลอมรวมภาษาโบราณตัวเล็กที่ก่อจากเปลวเพลิงเหล่านั้น

ด้วยวิธีนี้ ในไม่ช้าสามเดือนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเหลือเวลาอีกเพียงครึ่งเดียวก่อนจะถึงวันออกเดินทางไปอวยพรวันเกิด การอาบน้ำให้เทพวัวของเซี่ยไห่หยางก็จบลงในที่สุด

เป็นเพราะใช้เวลาน้อยกว่าที่หวังเป่าเล่อคาดการณ์ไว้มากนัก ด้วยเซี่ยไห่หยางดูเหมือนจะมีความเข้าใจแล้ว เขาสรรเสริญเยินยอทั้งวัน หลอกล่อให้วัวเฒ่าสบายอกสบายใจ ดังนั้นเดิมทีที่วางแผนให้เซี่ยไห่หยางเจอกับร่างกายที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างอาบน้ำจึงล่มไป ด้วยคำเยินยอของเซี่ยไห่หยางที่ทำให้ร่างวัวเฒ่าค่อยๆ หดเล็กลง

และหลังจากอาบน้ำให้วัวเฒ่าเรียบร้อยแล้ว เซี่ยไห่หยางก็กลับมาอย่างอ่อนระโหยโรยแรง เมื่อมาคารวะหวังเป่าเล่อ สายตาของเขาก็ปรากฏแววน้อยเนื้อต่ำใจ

“อาจารย์อาสิบหก บอกข้าที อาจารย์ปู่ลงโทษข้าเช่นนี้ เป็นเพราะอาจารย์อาสิบห้าปากโป้งหรือ!”

หวังเป่าเล่อส่งเสียงไอ แอบเห็นใจเซี่ยไห่หยางอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับดูจริงจัง

“เจ้าไม่ควรคลางแคลงใจอาจารย์อาสิบห้าของเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะเจ้ามีความคับข้องใจ”

“ข้า…ต้องเป็นเจ้าสิบห้า เขาพูดคุยกับข้ามากมาย ตั้งใจหลอกให้ข้าพูด พอคล้อยหลังก็เอาไปฟ้อง!” ใบหน้าเซี่ยไห่หยางเต็มไปด้วยความเศร้าและขุ่นเคือง ตอนนี้เขารู้สึกว่าทั่วทั้งดาราจักรไฟนั้น ผู้ที่ดีต่อเขาอย่างแท้จริงก็มีเพียงอาจารย์ของเขาและหวังเป่าเล่อแล้ว ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้ก็มีผู้มาถึงภายในหอคอยของหวังเป่าเล่อ

ผู้ที่มาคือศิษย์พี่เจ็ดของหวังเป่าเล่อ ใบหน้าของเขาบวมช้ำ มีเลือดคั่งเต็มใบหน้า ท่าทีตะลีตะลาน หลังจากเข้ามาก็ไม่ได้สนใจเซี่ยไห่หยาง แต่ร้องคร่ำครวญเรียกหวังเป่าเล่อ

“เจ้าสิบหกน้อย ศิษย์พี่มาโดยไม่บอกกล่าว จะมาขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่ง”

เมื่อเห็นศิษย์พี่เจ็ดย่ำแย่เช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ปวดหัว แอบคิดว่าอาจารย์ท่านเล่นซนอีกแล้ว แต่เซี่ยไห่หยางที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ถูกสภาพย่ำแย่ของพี่เจ็ดทำให้ตกใจในทันที

“อาจารย์อาเจ็ด ท่านเป็นอะไร?”

“เป็นอะไรได้ถ้าไม่ใช่ถูกอาจารย์ปู่เจ้าตี!” นัยน์ตาศิษย์พี่เจ็ดส่อแววเดือดดาล หลังจากตอบเซี่ยไห่หยางก็มองไปทางหวังเป่าเล่อ

“เจ้าสิบหก ข้ามีจดหมายลาตายฝากไว้ที่เจ้า ภายภาคหน้าหากมีวันใดข้าถูกอาจารย์ตีตายแล้ว เจ้าจำไว้ว่าจงเอาจดหมายลาตายส่งกลับไปบ้านเกิดข้า” พูดพลาง ศิษย์พี่เจ็ดก็ถอนหายใจอย่างหนักอก ให้แผ่นหยกแก่หวังเป่าเล่อ หันร่างออกจากหอคอยไป

เมื่อหวังเป่าเล่อถือแผ่นหยกก็ไม่รู้ควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เซี่ยไห่หยางที่อยู่ด้านข้างกะพริบตาปริบๆ รีบเหาะตามออกไป…แม้หวังเป่าเล่อจะตะโกนเรียก เซี่ยไห่หยางก็ไม่ฟัง…

“ไห่หยางเอ๋ยไห่หยาง นั่นเป็นหลุมพรางไว้ดักเจ้า หวังว่าครานี้เจ้าอย่าได้ตกลงไป…” หวังเป่าเล่อหมดคำพูด มองไม่เห็นเงาของเซี่ยไห่หยางแล้ว ได้แต่เพียงถอนหายใจ วางแผ่นหยกไว้ด้านหนึ่ง แล้วนั่งสมาธิต่อไป ขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจความโหดร้ายของอาจารย์ที่มีอยู่ แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุลงที่เขาได้ ดังนั้นเป้าหมายจึงไปอยู่ที่เซี่ยไห่หยาง

ที่ด้านนอกหอคอย ขณะที่เขากำลังนั่งสมาธิอยู่ เซี่ยไห่หยางก็รีบตามอาจารย์อาเจ็ดที่เดินโซเซไป

“อาจารย์อาเจ็ดช้าก่อน ท่านถูกทำโทษด้วยเรื่องใด?”

ศิษย์พี่เจ็ดชะงักฝีเท้า หันมามองเซี่ยไห่หยางอย่างไม่พอใจ

“ทำไม ไห่หยางน้อย เจ้าก็อยากเรียนจากเจ้าสิบห้ามาหลอกให้ข้าพูด จากนั้นก็ไปฟ้องอาจารย์ปู่ว่าข้าว่าร้ายท่านสินะ!”

เซี่ยไห่หยางสะดุ้ง มองอาจารย์อาเจ็ดที่สภาพย่ำแย่ เวลานี้รู้สึกถึงความเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกัน

………………………………………………..

ในขณะที่ชีวิตที่น่าสังเวชของเซี่ยไห่หยางยังคงดำเนินต่อไป การฝึกเวทผนึกดาราของหวังเป่าเล่อก็มีความก้าวหน้าไม่หยุด ตอนนี้สะเก็ดดาวทั้งหมดที่เขาใช้ก่อแผนที่ดวงดาวเทพวัวได้ถูกแทนที่ด้วยดาวเคราะห์ทั่วไป

ขณะเดียวกันก็ทำให้มันมีพลังจนน่าตระหนก และทำให้หวังเป่าเล่อเริ่มลงมือฝึกฝนเวทผนึกดาราขั้นที่สาม เพียงแต่ด้วยระดับการฝึกตนของเขาเป็นเพียงดาวพระเคราะห์ขั้นกลาง จึงไม่อาจฝึกได้รวดเร็วเท่าสองขั้นก่อนหน้า และค่อยๆ ช้าลง จุดสนใจของเขาจึงค่อยๆ ย้ายจากเวทผนึกดารามาเป็นคำสาปวิญญาณเพลิง

“วิญญาณเพลิง เหยียนหลิง…” ภายในหอคอยของตนเอง หลังจากสัมผัสคำสาปวิญญาณเพลิงแล้ว หวังเป่าเล่อก็ตบหน้าผากตนเอง กล่าวอยู่ในใจว่าอาจารย์นะอาจารย์ นี่ท่านตั้งชื่อตามอำเภอใจนี่นา ยังตั้งชื่อร่างอวตารตามอำเภอใจหรือว่าคำสาปนี้ที่แท้เกี่ยวข้องกับเทพวัว

ความจริงก็คือชื่อของเทพวัวคือเหยียนหลิง

หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก พักเรื่องชื่อไว้ก่อนและเริ่มศึกษาคำสาปวิญญาณเพลิง คำสาปนี้มีพื้นฐานมาจากพลังแห่งเปลวเพลิง เป็นโครงของภาษาโบราณเล็กๆ นับไม่ถ้วน โดยใช้พลังชีวิตของตนเป็นแรงฉุดและก่อเป็นเวทคำสาป!

มันแตกต่างจากเวทคำสาปที่หวังเป่าเล่อเคยเข้าใจมาก่อน เวทคำสาปทั่วไปส่วนใหญ่ยืมพลังแห่งฟ้าดิน หรือความสามารถลึกลับที่ไม่อาจคาดเดา เพื่อที่จะส่งผลไปสาปแช่งศัตรู

แม้ว่าพลังของเวทคำสาปนี้จะไม่เลว แต่ในท้ายที่สุดก็ยืมพลังจากภายนอกเท่านั้น ร่างของตนก็เป็นเพียงสื่อกลาง ใช้เพื่อดึงดูดและโอนย้ายพลังที่ยืมมา

หากต้องการจะหลุดพ้นก็ไม่ยาก และถึงจะแก้คำสาปก็ใช่ว่าจะไร้วิธี และหากมีความเตรียมพร้อม ทำให้ผู้ที่ร่ายเวทคำสาปถูกแรงสะท้อนกลับก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

สรุปแล้วมันมีพลังปานกลางแต่ข้อเสียมากเกินไป แม้จะง่ายในตอนเริ่มต้นแต่ข้อจำกัดก็มากเกินไป และพลังแห่งฟ้าดินดูเหมือนจะไม่สิ้นสุด แต่จริงๆ แล้วจุดจบยังมีอยู่ ร่างที่เป็นสื่อกลางก็มีขีดจำกัดเช่นกัน ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ จึงนำไปสู่เส้นทางสายเวทคำสาปด้วยเพียงช่องทางเล็กๆ เท่านั้น

นี่แทบจะเป็นข้อดีและข้อเสียของเวทคำสาปเกือบทั้งหมดในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ดังนั้นแม้จะมีผู้เชี่ยวชาญเวทคำสาปเป็นจำนวนมากภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แต่กลับแทบจะไม่มีรุ่นที่มีชื่อเสียงเลย

อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถทำร้ายผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับดาราจักรจนถึงระดับจักรพิภพได้แล้ว เช่นนั้นมีหมื่นเวทก็สูญเปล่า!

แต่เวทคำสาปของปรมาจารย์แห่งไฟ โดยมากใช้ชีวิตและดวงจิตมาเป็นคำสาปแห่งความแค้น ไม่ว่าจะในระดับใด กล่าวได้ว่าทั้งสองฝ่ายสูญเสียไม่ต่างกันนัก นี่ก็เป็นสาเหตุที่หากปรมาจารย์แห่งไฟสำแดงสามคำสาปหลัก ค่าตอบแทนที่เกิดขึ้นก็คือความล่มสลายของตนเอง

แต่ข้อดีก็น่าตระหนกเช่นกัน ข้อแรกความปรารถนาไม่มีที่สิ้นสุด ความแค้นก็ไม่สิ้นสุดเช่นกัน ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้นี้ บางระดับก็ไร้ขอบเขตยากที่จะไปวัดขนาดได้ ดังนั้นจึงทำให้เวทนี้แทบจะไม่มีที่สิ้นสุด

อีกประการหนึ่งคือเมื่อสำแดงออกไปแล้ว ก็ยากมากที่จะป้องกันและไร้ทางหลุดพ้น ส่วนการแก้ไข…เพราะพลังแห่งคำสาปมาจากความแค้นและความปรารถนาที่ยากจะสงบของผู้ร่ายเวท ไม่ใช่พลังแห่งฟ้าดิน ดังนั้นคำสาปเฉพาะจึงก่อตัวขึ้น มีเพียงผู้ร่ายเวทเท่านั้นจึงจะสามารถทำลายได้!

หลังจากศึกษาคำสาปวิญญาณเพลิงอย่างรอบคอบแล้ว ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏประกายลึกล้ำ ตกอยู่ในภวังค์ หลังจากนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดพึมพำ

“เวทนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่อยู่ในภาวะสงบ… เหมาะสำหรับการฝึกฝนในภาวะทุกข์ยาก ยิ่งทุกข์ยาก ยิ่งอนาถ ยิ่งไม่สงบ ความแค้นก็ยากจะดับ…ชีวิตนี้ของท่านอาจารย์ แม้มีประสบการณ์ล้มลุกคลุกคลานมานับไม่ถ้วน ผ่านเสียงกรีดร้องมามากมาย สุดท้ายก็กลายแต่ละย่างก้าว สร้างเวทคำสาปที่เพียงพอจะทำให้จักรพรรดิสวรรค์หวาดผวา”

“และหากยังคงฝึกฝนเวทนี้ต่อไป อุปนิสัยจะดุร้ายรุนแรงขึ้นในเวลาเดียวกัน ตนเองก็จะเปลี่ยนเป็นมืดมน ดังนั้น… อาจารย์ให้ข้าฝึกเวทผนึกดาราก่อน เพื่อสร้างพลังอำนาจและใช้สิ่งนี้ลดผลกระทบ แล้วยังสามารถขจัดความมืดมนและความดุร้ายออกไปได้…”

“แต่ยังมีข้อเสียข้อหนึ่ง ก็คือการฝึกเวทคำสาปนี้ต้องเพียบพร้อมด้วยพลังชีวิตที่ไม่สิ้นสุด มีเพียงวิธีนี้จึงจะสามารถลดความสูญเสียลงอย่างไร้ขีดจำกัดได้ จนถึงขั้นไม่เกิดการสูญเสีย”..Aileen-novel

หวังเป่าเล่อระลึกถึงสิ่งที่อาจารย์กล่าวในความเงียบ หลังจากครึ่งปี เขาจะไปอวยพรวันเกิดกับเจ้าแห่งสวรรค์ ที่นั่น อาจารย์ได้เปลี่ยนชะตาฟ้าลิขิตให้กับตัวเอง

แม้ว่าจะไม่ทราบความเฉพาะเจาะจงของสิ่งที่เรียกว่าชะตา แต่ในขณะนี้ หลังจากหวังเป่าเล่อไตร่ตรองแล้วก็ได้คาดเดาอยู่ในใจ

“อย่างมากที่สุดพลังชีวิตทำได้เพียงใช้สวรรค์มาอธิบาย…” ขณะที่หวังเป่าเล่อพึมพำ ดวงตาก็ค่อยๆ เผยให้เห็นถึงความลังเลวูบหนึ่ง ความลังเลนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และครอบงำดวงตาทั้งคู่ ในไม่ช้าก็แทรกซึมเข้าสู่ภายในใจ

“แต่เวทคำสาปนี้ได้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าทั้งชีวิตต้องพบกับความไม่สมปรารถนาอย่างรุนแรง แค้นที่ยากจะดับ จึงจะสามารถฝึกฝนได้สำเร็จยิ่งขึ้น เหตุใดท่านอาจารย์จึงถ่ายทอดให้แก่ข้า” หวังเปาเล่อเงียบไปสักพัก ในชีวิตของเขาจนถึงตอนนี้ ถึงแม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าราบรื่น แต่ก็ยังห่างไกลจากทุกข์ยาก ตามเหตุผลแล้วเขาไม่เหมาะที่จะฝึกฝนคำสาปนี้ั

“อาจเป็นเพราะอาจารย์เห็นอะไรบางอย่าง…ที่ไม่อาจบอกข้าได้? บางทีข้าอาจคิดมากเกินไป” หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะ เขารับรู้ได้ว่าอาจารย์มีความจริงใจต่อตนเอง ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวสำหรับเรื่องนี้ก็คือชีวิตของคนคนหนึ่งมักจะผันแปรอยู่เสมอ อาจารย์หวังให้เขาสามารถได้รับพลังที่ผุดขึ้นหลังจากพบกับความผันแปรเหล่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ในภาวะราบรื่นของตนเติบโตได้ ภาวะทุกข์ยากเป็นครั้งคราวของตนก็สามารถเติบโตได้เช่นกัน

“ไม่ว่าระดับใด ก็นับเป็นหลักประกัน” หลังจากหวังเป่าเล่อใคร่ครวญแล้ว รู้สึกว่าความคิดของตนเองนั้นน่าจะถูกต้อง ดังนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึก ตั้งสติ และเริ่มฝึกคำสาปวิญญาณเพลิง

ด้วยเหตุจากอุปนิสัยและเพราะเขาไม่มีความคับข้องใจและความเกลียดแค้นมากนัก ดังนั้นในการฝึกฝนนี้หวังเป่าเล่อจึงไปได้ช้ามาก แต่เขามีความเพียรพยายาม หลังจากที่เขาตระหนักว่าคำสาปนี้เท่ากับเป็นหลักประกัน เขาก็ยิ่งใส่ใจมากขึ้น ในเวลาต่อมา แม้จะคืบหน้าไปได้ช้ามากแต่เขาก็ยังคงทุ่มเทจิตใจทั้งหมดอยู่กับมัน ทำความคุ้นเคยกับเวทคาถาครั้งแล้วครั้งเล่า และครั้งแล้วครั้งเล่าที่นำพลังชีวิตมาหลอมรวมภาษาโบราณตัวเล็กที่ก่อจากเปลวเพลิงเหล่านั้น

ด้วยวิธีนี้ ในไม่ช้าสามเดือนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเหลือเวลาอีกเพียงครึ่งเดียวก่อนจะถึงวันออกเดินทางไปอวยพรวันเกิด การอาบน้ำให้เทพวัวของเซี่ยไห่หยางก็จบลงในที่สุด

เป็นเพราะใช้เวลาน้อยกว่าที่หวังเป่าเล่อคาดการณ์ไว้มากนัก ด้วยเซี่ยไห่หยางดูเหมือนจะมีความเข้าใจแล้ว เขาสรรเสริญเยินยอทั้งวัน หลอกล่อให้วัวเฒ่าสบายอกสบายใจ ดังนั้นเดิมทีที่วางแผนให้เซี่ยไห่หยางเจอกับร่างกายที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างอาบน้ำจึงล่มไป ด้วยคำเยินยอของเซี่ยไห่หยางที่ทำให้ร่างวัวเฒ่าค่อยๆ หดเล็กลง

และหลังจากอาบน้ำให้วัวเฒ่าเรียบร้อยแล้ว เซี่ยไห่หยางก็กลับมาอย่างอ่อนระโหยโรยแรง เมื่อมาคารวะหวังเป่าเล่อ สายตาของเขาก็ปรากฏแววน้อยเนื้อต่ำใจ

“อาจารย์อาสิบหก บอกข้าที อาจารย์ปู่ลงโทษข้าเช่นนี้ เป็นเพราะอาจารย์อาสิบห้าปากโป้งหรือ!”

หวังเป่าเล่อส่งเสียงไอ แอบเห็นใจเซี่ยไห่หยางอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับดูจริงจัง

“เจ้าไม่ควรคลางแคลงใจอาจารย์อาสิบห้าของเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะเจ้ามีความคับข้องใจ”

“ข้า…ต้องเป็นเจ้าสิบห้า เขาพูดคุยกับข้ามากมาย ตั้งใจหลอกให้ข้าพูด พอคล้อยหลังก็เอาไปฟ้อง!” ใบหน้าเซี่ยไห่หยางเต็มไปด้วยความเศร้าและขุ่นเคือง ตอนนี้เขารู้สึกว่าทั่วทั้งดาราจักรไฟนั้น ผู้ที่ดีต่อเขาอย่างแท้จริงก็มีเพียงอาจารย์ของเขาและหวังเป่าเล่อแล้ว ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้ก็มีผู้มาถึงภายในหอคอยของหวังเป่าเล่อ

ผู้ที่มาคือศิษย์พี่เจ็ดของหวังเป่าเล่อ ใบหน้าของเขาบวมช้ำ มีเลือดคั่งเต็มใบหน้า ท่าทีตะลีตะลาน หลังจากเข้ามาก็ไม่ได้สนใจเซี่ยไห่หยาง แต่ร้องคร่ำครวญเรียกหวังเป่าเล่อ

“เจ้าสิบหกน้อย ศิษย์พี่มาโดยไม่บอกกล่าว จะมาขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่ง”

เมื่อเห็นศิษย์พี่เจ็ดย่ำแย่เช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ปวดหัว แอบคิดว่าอาจารย์ท่านเล่นซนอีกแล้ว แต่เซี่ยไห่หยางที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ถูกสภาพย่ำแย่ของพี่เจ็ดทำให้ตกใจในทันที

“อาจารย์อาเจ็ด ท่านเป็นอะไร?”

“เป็นอะไรได้ถ้าไม่ใช่ถูกอาจารย์ปู่เจ้าตี!” นัยน์ตาศิษย์พี่เจ็ดส่อแววเดือดดาล หลังจากตอบเซี่ยไห่หยางก็มองไปทางหวังเป่าเล่อ

“เจ้าสิบหก ข้ามีจดหมายลาตายฝากไว้ที่เจ้า ภายภาคหน้าหากมีวันใดข้าถูกอาจารย์ตีตายแล้ว เจ้าจำไว้ว่าจงเอาจดหมายลาตายส่งกลับไปบ้านเกิดข้า” พูดพลาง ศิษย์พี่เจ็ดก็ถอนหายใจอย่างหนักอก ให้แผ่นหยกแก่หวังเป่าเล่อ หันร่างออกจากหอคอยไป

เมื่อหวังเป่าเล่อถือแผ่นหยกก็ไม่รู้ควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เซี่ยไห่หยางที่อยู่ด้านข้างกะพริบตาปริบๆ รีบเหาะตามออกไป…แม้หวังเป่าเล่อจะตะโกนเรียก เซี่ยไห่หยางก็ไม่ฟัง…

“ไห่หยางเอ๋ยไห่หยาง นั่นเป็นหลุมพรางไว้ดักเจ้า หวังว่าครานี้เจ้าอย่าได้ตกลงไป…” หวังเป่าเล่อหมดคำพูด มองไม่เห็นเงาของเซี่ยไห่หยางแล้ว ได้แต่เพียงถอนหายใจ วางแผ่นหยกไว้ด้านหนึ่ง แล้วนั่งสมาธิต่อไป ขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจความโหดร้ายของอาจารย์ที่มีอยู่ แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุลงที่เขาได้ ดังนั้นเป้าหมายจึงไปอยู่ที่เซี่ยไห่หยาง

ที่ด้านนอกหอคอย ขณะที่เขากำลังนั่งสมาธิอยู่ เซี่ยไห่หยางก็รีบตามอาจารย์อาเจ็ดที่เดินโซเซไป

“อาจารย์อาเจ็ดช้าก่อน ท่านถูกทำโทษด้วยเรื่องใด?”

ศิษย์พี่เจ็ดชะงักฝีเท้า หันมามองเซี่ยไห่หยางอย่างไม่พอใจ

“ทำไม ไห่หยางน้อย เจ้าก็อยากเรียนจากเจ้าสิบห้ามาหลอกให้ข้าพูด จากนั้นก็ไปฟ้องอาจารย์ปู่ว่าข้าว่าร้ายท่านสินะ!”

เซี่ยไห่หยางสะดุ้ง มองอาจารย์อาเจ็ดที่สภาพย่ำแย่ เวลานี้รู้สึกถึงความเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกัน

………………………………………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset