ทั้งบ้านเฉิงและบ้านหานต่างก็มีลูกมาด้วย มีผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่ง
พวกเด็กๆ ต่างก็พากันวิ่งวนไปถ่ายรูปกับไฟซานตาคลอสที่ติดไว้ด้านหน้า อีกสักพักก็วิ่งมาเล่นกับตุ๊กตาหิมะที่วางอยู่อย่างสนุกสนาน
พวกเขาค่อนข้างชอบของอะไรพวกนี้
เหอเจิงมอบหมายให้คนพาพวกเด็กๆเข้าไปด้านในก่อน จากนั้นพอเธอหันมาก็เห็นคุณนายของบ้านเฉิงยืนโบกมือทักทายอยู่
พวกเขามาพร้อมกับของฝากเล็กๆน้อยๆ
คุณนายบ้านเฉิงเลือกส้มจีนมาอย่างดี เปลือกสีส้มทองอร่าม แถมยังเปลือกบางมากอีกด้วย ดูแล้วน่าจะอัดแน่นไปด้วยเนื้อส้มแน่ๆ “รีบๆมาชิมกันสิ เพิ่งเก็บมาไม่นานเลย คุณลุงของฉัน ท่านเอาให้มาให้สองกล่องค่ะ หวานมากๆ”
เหอเจิงมองไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆยื่นมือออกไปรับ จากนั้นก็ถามว่า “พวกพี่เฉิงล่ะคะ?”
ทันทีที่พูดจบ
พวกเขาทั้งสามก็เดินเข้ามา มีหนึ่งคนในนั้นที่ดูเย็นชามาก เขาคนนั้นก็คือจี้ผิงโจว
ส่วนพวกบ้านเฉิงค่อนข้างที่กระตือรือล้น หลังจากที่พวกเขานั่งลงก็บอกให้เหอเจิงลองชิมส้มดู
เหอเจิงก็ไม่ได้ทานเลยในทันที แต่เมื่อถูกถามหลายๆครั้งเธอจึงอดไม่ได้ที่จะหยิบมาทานดูชิ้นหนึ่ง
พวกเขานั่งคุยกันประมาณสิบนาทีก็แยกย้ายกันกลับ
จี้ผิงโจวเดินถือร่มมาส่งแขกบริเวณหน้าตึกหลัก มีบางช่วงที่ไหล่ของเขาไปโดนเหอเจิงเข้า แต่เธอก็ค่อยๆขยับออกห่าง
“เธอชอบทานส้มไม่ใช่เหรอ?”
เหอเจิงที่กำลังเหม่อมองด้านหน้าอยู่ แต่เมื่อได้ยินที่จี้ผิงโจวถาม ก็ทำให้รสสัมผัสเมื่อครู่กลับมาอีก
เธอไม่เคยทานส้มมาก่อนเลย แม้กระทั่งของที่เป็นรสส้มเธอก็ไม่เคยทาน
แม้กระทั่งพี่สาวเฉินก็รู้ดี
แต่เขาที่เป็นสามี ดูเหมือนจะไม่รู้อะไรเลย
“ไม่ชอบ”
แต่จี้ผิงโจวก็ไม่ได้สนใจใดๆกับคำพูดเธอ เขาคิดแค่ว่าตอนเด็กเขาก็ไม่ชอบทานผักเหมือนกัน แต่พอทานหลายๆครั้งเข้า ก็ชินกับรสชาตของมันไปเอง
“ฉันชิมแล้ว หวานอร่อยมาก”
เขาพูดขณะที่กำลังเดินขึ้นไป เหอเจิงเองก็ไม่ได้รีบร้อนจะเดินตามไป
ฟ้ามืดแล้ว
บรรยากาศรอบๆสวนตอนนี้ดูราวกับมีดาวนับร้อยนับพันร่วงหล่นจากท้องฟ้ามา และถูกประดับอยู่ในสวนนี้แทน ดูๆแล้วสวยงามมาก แต่เหอเจิงกลับรู้สึกเหมือนอ้างว้างและเหน็บหนาว
จี้ผิงโจวรู้สึกว่าเหอเจิงไม่ได้เดินตามมา จึงหันไปมองและถามว่า “ทำไมไม่เข้ามา?”
เหอเจิงพยายามกดความรู้สึกผิดหวังไปให้ลึกสุดใจ
ขณะที่เธอเตรียมจะเดินขึ้นไปนั้น โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
ปลายสายเป็นคนของบ้านฟาง
“คุณเข้าไปก่อนเถอะ พอดีที่บ้านโทรมา ฉันรับสายก่อน”
จี้ผิงโจวได้ยินดังนั้นแต่ก็ไม่ได้ขยับไปไหน ยืนมองเหอเจิงรับโทรศัพท์
จากนั้นเหอเจิงก็หันหลังไปคุยโทรศัพท์
“ติดต่อไม่ได้เหรอคะ?”
“วันนี้เขาบอกว่าจะไปรีสอร์ท ไปแช่น้ำพุร้อนไม่ใช่เหรอคะ รออีกสักพักดีไหมคะ?”
“ตอนนี้เหรอ? แต่ว่าทางนี้ฉัน….”
พูดจบ เธอก็หันหลังกลับมามองจี้ผิงโจว นัยตาแฝงไปด้วยคำว่ารู้สึกผิดอยู่ แต่แค่แวบเดียวแล้วก็หายไป
จากนั้นเธอก็คุยโทรศัพท์ต่อว่า “โอเคค่ะ เดี๋ยวฉันไปดู ใจเย็นๆก่อนนะคะ ถ้าเขาเข้าโรงพยาบาล มันก็ต้องมีข้อมูลอยู่ ตอนนี้ยังไม่ได้ยินอะไรไม่ดี ก็อย่าเพิ่งคิดมากเลยค่ะ”
หลังจากวางสาย
จี้ผิงโจวยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน
ท่าทางเขาดูไม่ได้เบื่อหน่ายหรือไม่ชอบใจอะไร เขากลับถามขึ้นว่า “เกิดเรื่องขึ้น?”
“ที่บ้านโทรมาบอกว่าติดต่อกับพี่ชายฉันไม่ได้ เมื่อเช้าเขาบอกว่าจะไปแถวรีสอร์ท และได้ยินมาว่าคนที่แช่น้ำพุร้อนที่นั่น ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลหลายคน คุณแม่เขาก็เลยกังวลว่า…”
“เพราะฉะนั้นเลยต้องการให้เธอไปหาเขา?”
ถึงแม้ฟางลู่เป่ยจะไม่ได้ถูกเลี้ยงมาแบบไข่ในหิน แต่เขาก็เป็นถึงผู้สืบทอดตะกูลฟาง จึงทำให้คุณนายฟางอดที่จะเป็นห่วงเขาไม่ได้
อีกอย่าง เขายังไม่มีคนที่คอยดูแลเหมือนจี้ผิงโจว ที่ยังมีเป๋ยเจี่ยนอยู่
เพราะฉะนั้นเวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ก็น่าเป็นห่วงมาก
ตอนนี้เหอเจิงไม่มีเวลามาอธิบายอะไรให้จี้ผิงโจวฟัง เธอรีบเข้าข้างในตึก และจัดการใส่เสื้อคลุมกับผ้าพันคอ “วันนี้ฉันต้องไปก่อน”
พูดจบ เธอก็เตรียมจะเดินออกไป แต่จี้ผิงโจวก็ดึงข้อมือเธอไว้ และพูดว่า “หรือว่าจะทานข้าวด้วยกันก่อนค่อยไป”
“ไม่ทันแล้วค่ะ”
ตอนนี้เธอรีบมาก
ด้านนอกยังคงมีหิมะตก แถมยังดึกแล้วด้วย และตอนนี้ทางฝั่งบ้านฟางก็กำลังรอให้เธอรายงานข่าวดีอยู่ ตลอดเวลาที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่ตระกูลฟางต้องการความช่วยเหลือจากเธอ
และเพราะเธอกำลังรีบร้อน จึงไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางและแววตาเศร้าหมองของจี้ผิงโจว
เธอติดกระดุมเสื้อคลุมเม็ดสุดท้ายเสร็จก็เตรียมจะไปอีกรอบ
แต่จี้ผิงโจวก็รั้งเธอไว้อีกรอบเช่นกัน จากนั้นเขาก็หันไปสั่งคนรับใช้ว่า “ไปตึกพี่สาวฉัน แล้วเรียกเป๋ยเจี่ยนกลับมา บอกเขาว่าตอนนี้มีเรื่องด่วนต้องออกไปข้างนอก”
คนรับใช้พยักหน้ารับทราบ และรีบเดินออกไป
เหอเจิงได้ยินดังนั้นก็ถามว่า “คุณก็จะไปเหรอ? ไม่ต้องหรอก ฉันโบกรถไปเองก็ได้ ที่นี่ยังมีเรื่องให้ทำอีกเยอะ…”
อีกสักพักยังมีแขกที่จี้ผิงโจวต้องต้อนรับอีก
จี้ผิงโจวยิ้มทะเล้นเล็กน้อย ก่อนจะพูดล้อเล่นว่า “คนอย่างฟางลู่เป่ยขอให้เขามีเรื่องขึ้นมาจริงๆเถอะ ไม่งั้นฉันอัดเขาแน่”
ไม่นานเป๋ยเจี่ยนก็เดินมากับคนใช้ของตึกใต้น้อย สายตาที่เขามองมาราวกับว่าเหอเจิงเป็นตัวก่อปัญหา
คุณชายจี้คะ คุณหนูแจ้งว่าให้เป๋ยเจี่ยนไปส่งคุณหนูฟาง แล้วให้คุณชายอยู่ค่ะ คุณหนูบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย อยากให้คุณชายไปดู….”
จี้ผิงโจวไม่รอคนรับใช้พูดจบ เขาดันเหอเจิงขึ้นรถไป จากนั้นก็ตามขึ้นรถไป “ไม่สบาย ที่ตึกใต้มีหมออยู่ ฉันทิ้งเบอร์จ้าวถังชิวไว้ให้หมอซุนแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรให้เขาโทรหาเธอเอา”
จากนั้นเขาก็ปิดประตู
ระหว่างที่รถกำลังออก เหอเจิงได้มองไปทางกระจก ยังเห็นคนของจี้เหยียนเซียงยืนอยู่ที่เดิม สายตาขอเธอดูไม่พอใจมาก
นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่จี้ผิงโจวทำแบบนี้
เหอเจิงรู้สึกใจกระตุกเบาๆ แต่เธอก็ยังแสร้งมองเหม่อไปด้านนอกหน้าต่าง ราวกับไม่เห็นอะไร จากนั้นจี้ผิงโจวก็ถามว่า “รีสอร์ทไหน?”
“มูนเลคเพนนินซูลารีสอร์ต”
จากนั้นร่างกายของพวกเขาก็โน้มไปด้านหน้าเล็กน้อย
เพราะเป๋ยเจี่ยนขับรถจี้คันหน้ามากเกินไป และสายตาเขาก็เอาแต่มองมาทางกระจกหลัง ทำให้ไม่ทันระวัง “ขอโทษครับ เหม่อลอยไปหน่อย”
คืนนี้ เมืองเหยียนจิงน่าจะเป็นคืนที่คึกคักคืนสุดท้ายของปี
บรรยากาศสองข้างทางเต็มไปด้วยไฟแสงสีสวยงาม จอโฆษณาขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ ก็กำลังฉายภาพการ์ตูนที่เกี่ยวกับวันคริสมาสต์ สลับกับคำอวยพรของดาราต่างๆ
บนถนนหนทางก็เต็มไปด้วยรถและผู้คนที่กำลังสนุกสนานและคึกคัก
แต่เหอเจิงกลับไม่ได้สนใจแสงไฟสวยงามพวกนั้น ตอนนี้เธอร้อนรนจนมือสั่นไปหมด
ทันใดนั้นเธอก็มีมือหนึ่งมากุมมือเธอไว้ เธอตกใจเล็กน้อย และหันไปมองทางจี้ผิงโจว
จี้ผิงโจวเองก็มองมาทางเธอด้วยสายตาอ่อนโยน
“ไม่เป็นไร ถ้าเขาเข้าโรงพยาบาลจริงๆ ฉันจะช่วยเขาเอง”