ตามทางเล็กๆ มีคนหนึ่งคนกับหมาตัวหนึ่งกำลังเดินเล่นอยู่
อากาศหนาว ต่อให้เป็นช่วงบ่ายที่อุณหภูมิสูงที่สุดก็ไม่มีแสงอาทิตย์ ลมพัดผ่านไป เสียงใบไม้ตกส่งเสียงแปลกๆ ทำให้จี้ซูคิดถึงเมื่อกี้ที่จี้ผิงโจวดึงเหอเจิงไปต่อหน้าต่อตา
เหมือนกับหมาป่า
แต่เธอก็ช่วยอะไรเหอเจิงไม่ได้ ได้แต่สวดมนต์ภาวนาในใจ
แต่ยังดีที่เหอเจิงมีวิธีรับมือกับจี้ผิงโจวด้วยตัวเอง ถ้าเธออยาก ปลอบจี้ผิงโจวที่กำลังโกรธเป็นไฟ ก็แค่ใช้คำพูดอ่อนหวานสองสามคำหรือไม่ก็ประทับจูบจูบหนึ่ง เขาก็จะสงบทันที
จี้ซูเคยเห็นกับตาตัวเองแล้วว่า ครั้งหนึ่งขณะที่ฉลองวันครบรอบ 60 ปีของคุณปู่ มีป้าจากแดนไกลคนหนึ่งพูดถึงเหอเจิง น่าจะประมาณว่าดูถูกเกี่ยวกับชาติกำเนิดของเธอ เมื่อจี้ผิงโจวได้ยิน กลับดูถูกเธอด้วย
เหอเจิงไม่ได้โต้ตอบ ก้มหน้ายอมให้สามีของตัวเองดูถูกอย่างนั้น
แต่หลังจากงานเลี้ยงจบ จี้ผิงโจวกับเหอเจิงกลับไปยังตึกเหนือ ทันทีที่เข้าไปในบ้านเขาก็เอาของที่เป็นเซรามิกจากทางตะวันตกที่ป้าคนนั้นมอบให้ขว้างลงพื้นอย่างแรง แตกกระจายไปทั่วห้อง
ตอนที่เธอวิ่งไปดูนั้น
เห็นเหอเจิงกอดจี้ผิงโจวไว้แล้วจูบเบาๆทีหนึ่ง มือที่อ่อนช้อยวางอยู่ข้างหูของเขา เหมือนกับกำลังง้อเด็กมัธยมที่ดื้อดึง เธอจูบไม่กี่ทีจี้ผิงโจวก็สงบอารมณ์ลง
และยังเชื่อฟังเธอ ช่วยกันเก็บกวาดเศษที่แตกกระจายอยู่ บนพื้น
ตั้งหลายปีแล้ว จี้ซูก็ยังไม่เข้าใจว่าตกลงจี้ผิงโจวให้ความสนใจเหอเจิงหรือไม่ให้ความสนใจกันแน่
ถ้าหากให้ความสนใจ
แล้วทำไมต้องทำให้ชาติกำเนิดของเธอมีค่าไม่เท่ากับสลึงหนึ่ง ต่อหน้าต่อตาคนมากมายด้วย
หรือถ้าไม่สนใจ
แล้วทำไมยังต้องอารมณ์เสียลับหลัง และยังจูบเหอเจิงอย่างหลงใหล อีกทั้งยังทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย ทำคู่กับเธอด้วย
เธอส่ายหัว ถอนหายใจจากก้นบึ้งของหัวใจ
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว พี่เฉินก็เดินตามหลังมาติดๆ ถามเหมือนหยอกเล่นว่า “เสี่ยวซู ทำไมพาหมามาเดินถนนเส้นนี้ล่ะ”
ห่างไปไม่ไกลก็คือตึกเหนือ
จี้ผิงโจวแพ้ขนปุย โดยปกติแล้วจี้ซูจะไม่พาหมามาเดินเล่นแถวนี้บ่อยนัก
วันนี้เป็นวันที่บังเอิญ เธอขยับไหล่ “เมื่อคืนนี้พี่ชายฉันไม่กลับมา ฉันก็เลยแวะมาหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะเจอเขา ที่แย่กว่านั้นคือเขา เป็นคนเอาเปรียบฉันจริงๆ เมื่อเจอเขาแล้วทั้งวันก็ไม่มีความสุขเลย”
“ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ”
“เมื่อกี้เขาลากเหอเจิงกลับไปด้วยอารมณ์โมโห ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดสงครามดุเดือดหรือไม่”
พูดถึงเรื่องนี่ พี่เฉินก็พอคิดออกเหมือนกัน
เธอไม่รู้ว่าเป็นไงบ้าง “ใช่ ฉันก็เห็นเหมือนกัน ไม่รู้คู่นี้จะทะเลาะเรื่องไรอีก”
“ทะเลาะอะไรกันเล่า”จี้ซูเบ้ปาก “ฉันได้ยินพี่สะใภ้ว่า ครั้งนี้จะหย่ากับพี่ชายฉัน หนักเลยแหละ ให้เขารู้สึกเสียใจบ้าง”
“หย่าหรอ”
“ไม่น่าจะเป็นเรื่องโกหกนะ”
ฟางเหอเจิงแต่งเข้ามายังตระกูลจี้กว่าสามปี เป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง และสุภาพเรียบร้อย แม้แต่คุณปู่ที่ไม่ได้เห็นด้วยในตอนแรกที่พวกเขาแต่งงานกันก็เริ่มจะชื่นชอบเธอแล้ว แต่เธอเชื่อฟังเกินไป เชื่อฟังจนเหมือนกับว่าไม่มีวิญญาณอย่างนั้นเลย
จี้ผิงโจวต้องการภรรยาแบบนี้
นอกจากชาติกำเนิดแล้ว เหอเจิงเหมาะสมทุกอย่าง
ในสายตาของคนใช้ตระกูลจี้ เหอเจิงเป็นคนที่ฉลาด เรื่องการหย่า ไม่น่าจะเป็นคำพูดของเธอ
พี่เฉินไม่กล้าถามมากกว่านี้ แต่จี้ซู กลับถอนหายใจแบบไม่มีที่มาที่ไป “แม้ว่าฟางเหอเจิงจะไม่มีอะไรพิเศษ คนก็ไม่น่าสนใจและเป็นคนอ่อนแอ ทำได้แค่ซื้อเสื้อผ้าให้พี่ชาย แล้วก็ทำอาหาร แต่ฝีมือเธอดีจริงๆ และก็เป็นคนที่มีความอดทนสูงด้วย”
เธอก้มหน้าลง มองไปยังหัวที่เต็มไปด้วยขนปุยของซามอยด์
“ถ้าหากหย่ากันจริงๆ ไม่รู้ว่าจะหาพี่สะใภ้ที่ดีแบบนี้ได้อีกไหมนะ”
กับเรื่องนี้ ตระกูลจี้ที่รู้สึกเสียใจที่ต้องเสียเหอเจิงไปก็คงจะมีแต่จี้ซูแล้วล่ะ
พี่เฉินตบหลังเธอเบาๆ คำพูดปลอบโยนยังไม่ทันหลุดปาก เงาผู้ชายร่างยาวร่างหนึ่งก็ทอดลงมา ตัวยาวขายาว ขาคู่ที่ซ่อนอยู่ในกางเกงสไตล์ตะวันตกกำลังเดินมา พร้อมกับรองเท้าบูทที่สะท้อนแสง
เนคไทปะดอกไม้เล็กๆ ตรงปกคอเสื้อคุมตัวใหญ่มีเสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนโผ่มาเล็กน้อย ไม่ได้เรียบร้อยมาก แต่ก็ไม่ได้ดูแปลก
ใบหน้าที่ไม่สนโลกของเขาแฝงด้วยอารมณ์ที่อมยิ้มตลอด จี้ซูยักคิ้วทีหนึ่ง เอามือเท้าเอวอยู่แต่ไกล จ้องไปยังใบหน้าของฟางลู่เป่ยที่ค่อยๆชัดขึ้นภายใต้สายตา
“เสี่ยวซูหรอ”
เสียงชายหนุ่มก็น่าฟังเหมือนกัน เสียงที่ลากยาว ลากยาวจนรู้สึกผ่อนคลาย
จี้ซูกระพริบตา กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว “พี่…พี่ลู่เป่ย”
“อืม”ฟางลู่เป่ยทำตัวตามสบายเหมือนปกติ แต่เมื่อพบเจอคนก็เข้ามาทักทายตามมารยาท “โจวโจวกลับมาหรือยัง ฉันมีเรื่องนิดหน่อยอยากจะพบเขา”
รับปากไว้แล้วว่าวันนี้จะมาคุยเรื่องหย่าเป็นเพื่อนเหอเจิง
เขาไม่กล้าลืม
“กลับมาแล้ว”จี้ซูเลียริมฝีปาก “พี่สะใภ้ก็กลับมาด้วย พี่มาหาพวกเขามีเรื่องหรือเปล่า”
“ใช่ มีเรื่องนิดหน่อย”
“จะให้ฉันไปพาไปไหม”
จริงๆก็ไม่จำเป็นเลย ฟางลู่เป่ยอมยิ้มเล็กน้อย “ก็ดีเหมือนกัน ไปกันเถอะ”
ทางไปเป็นทางที่แคบอยู่แล้ว คนสองคนเดินด้วยกันจะเบียดเสียดกันเล็กน้อย ทั้งสองข้างมีใบไม้ที่ยังไม่ได้เก็บกวาด เดินด้วยกัน ไหล่ชนกันเกิดความรู้สึกเขินอายกันเล็กน้อย
ซามอยด์ถูกพี่เฉินจูงไปแล้ว
จี้ซูปัดขนปุยที่ติดตัวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เดินยังไงก็รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ มือสองข้างกอดไหล่ ฝีเท้าค่อยๆก้าวสั้นลง เสียงก็เล็กลง “พี่ลู่เป่ย พี่หาพี่ชายฉันมีเรื่องอะไรหรอ”
เดินอย่างเดียวแบบนี้บรรยากาศตึงเครียดเกินไป
เธอจึงออกตัวเสนอหัวข้อสนทนา
แต่ฟางลู่เป่ยเหมือนจะไม่ได้สนใจด้วย ได้ยินเสียงเธอถึงจะเก็บมือถือ สบตามองมาทีหนึ่ง ด้วยสายตาเย็นชา “เรื่องเล็กน้อย ก็แค่พาเจ้าเด็กน้อยของตระกูลกลับไป แล้วก็คุยกับโจวโจวไม่กี่คำ”
“จะคุยเรื่องหย่าใช่ไหม”
ฝีเท้าค่อยๆหยุด
ใจที่หวาดระแวงของฟางลู่เป่ยเพิ่มขึ้น
แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ไร้เดียงสาของจี้ซูความหวาดระแวงนั้นก็ได้จางหายไป เขาไม่ควรสงสัยเธอ เด็กผู้หญิงที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ เธอจะมีความคิดที่เลวร้ายได้ยังไง
“เหอเจิงเป็นคนบอกเธอว่าจะหย่าหรอ”
จี้ซูผยักหน้าทันที “ใช่ เธอพูดออกมาเองด้วย”
ฟางลู่เป่ยลูบเปลือกตาทีหนึ่ง ทำอะไรไม่ถูก “เธอไม่สนใจชีวิตแล้วมั้ง ช่างมันเถอะ ไม่ช้าก็เร็วยังไงก็ต้องรู้ บอกเธอไปก็ไม่เป็นไรหรอก”
“เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องจริงนะสิ”
“ใช่ เป็นเรื่องจริง”
ระยะทางสั้นลงไปเยอะ จี้ซูเดินติดไปกับฟางลู่เป่ย ระยะห่างน้อยมาก สามารถได้กลิ่นผลไม้หอมจากตัวเขา เหมือนที่มีกันบนตัวผู้หญิง
ชื่อเสียงด้านนอกของเขา เปลี่ยนผู้หญิงกับเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่มีอะไรต่างกันเลย
เรื่องพวกนี้จี้ซูก็รู้ดี เธอกัดริมฝีปาก ถามเพราะกลั้นไม่อยู่ “พี่ลู่เป่ย ครั้งก่อนได้ยินว่าป้าฟางคะยั้นคะยอให้พี่แต่งงานไม่ใช่หรอ”
เขายิ้มอ่อนๆ
ยิ้มเห็นฟันเล็กน้อย รู้สึกจักจี้
เสียงที่น่าฟังมาก อยู่รอบๆใบหูของจี้ซู เขินๆเกรงๆ เหมือนถูกกระแสไฟฟ้า
“ทางบ้านไม่เคยหยุดที่จะคะยั้นคะยอให้แต่งงานเลยนี่ ฉันเคยรับปากไหมล่ะ”
“แล้วพี่ยังคิดจะแต่งงานอยู่ไหม”
ฟางลู่เป่ยทำหน้านิ่ง น้ำเสียงเหมือนจะมีการเสียดสีเล็กน้อย “แต่งงานหรอ ถ้าเหมือนอย่างโจวโจวกับเหอเจิง ฉันว่าช่างมันเถอะ ฉันไม่มีความอดทนอย่างพวกเขาหรอก ทะเลาะกับคนอื่น ฉันไม่ถนัด ”
ทะเลาะกันไม่ถึงสองคำเขาก็คงจะผลักประตูออกไปแล้วล่ะ
หรือไม่ก็ลงไม้ลงมือ
แต่การลงไม้ลงมือกับผู้หญิงเขาก็ทำไม่ลง ถ้างั้นก็คงต้องเก็บความรู้สึกไว้คนเดียว ทำเพื่อ… อยู่คนเดียวไม่ดีกว่าหรือ
จี้ซูปิดริมฝีปากอย่างแน่น ใบหูที่ซ่อนอยู่ใต้ผมสีดำอันอ่อนนุ่มแดงขึ้นมา
ไม่รู้ว่ามาถึงด้านนอกของตึกเหนือเมื่อไหร่ จริงๆฟางลู่เป่ยอยากบอกลาจี้ซู แต่เธอไม่คิดจะจากไป แล้วก็เดินตามเขาขึ้นไปชั้นบน
เขาเดินได้ไม่กี่ก้าว ข้างห้องที่ล็อกไว้อย่างแน่น ก็ได้ยินเสียงการโยนของแตก
ได้ยินไม่ชัด
ตามด้วยเสียงหวานที่มีความนุ่มนวลของผู้หญิง
เสียงนั้นพวกเขารู้จักเป็นอย่างดี
สีแดงจากหูลามมาถึงใบหน้า จี้ซูกับฟางลู่เป่ยสบตากัน แล้วหันหน้าออกไปด้วยความเขินอายทั้งคู่