ซ่อน | รัก | ลับ – ตอนที่ 43 นิสัยคุณชาย

พื้นที่ของสวนซางซับซ้อนมาก ตอนที่สร้างก็ใช้กำลังไปไม่ใช่น้อย ที่นี่เป็นสิ่งที่ถูกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ แล้วค่อยๆเพิ่มเติมภายหลัง ถึงได้มีสภาพที่เห็นในปัจจุบัน

การที่เป็นพื้นที่ใหญ่แบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะดีไปหมด

จี้ผิงโจวยืนอยู่ที่ทางแยก กำลังลังเลว่า จะไปทางไหนดี และก็เดาไม่ออกว่าเหอเจิงจะเดินไปทางไหน

ยืนอยู่อย่างนั้นสองนาที

ห่างออกไปไม่ไกลเหมือนจะได้ยินเสียงโวยวาย เขาขมวดคิ้วอยากจะเดินออกจากเสียงนั้น

ขณะที่กำลังจะเดินจากไปก็ได้ยินเสียงของจี้ซู “ฟางเหอเจิง เธออย่าแตะมันนะ เอ๋ เอ๋ เอ๋ เธอแตะมันไม่ได้ไม่ใช่หรอ ”

มีชี่อของฟางเหอเจิง

จี้ผิงโจวจึงได้เดินไปทางที่จี้ซูอยู่ เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นสนัขซามอยด์ตัวโตกำลังนั่งอยู่บนพื้นหิน แลบลิ้นออกมาอย่างเชื่อฟัง หรี่ตาไว้เพื่อรับรู้การสัมผัสของเหอเจิง

เธอชอบสัตว์เล็กๆมาก ไม่ว่าจะเป็นหมาหรือแมว สัตว์เหล่านี้สร้างความสุขให้กับเธอมาก

เทียบกับคนแล้ว

เธอชอบคบค้าสมาคมกับสัตว์เล็กๆเหล่านี้มากกว่า ลูบไปลูบมาก็มักจะอุ้มไว้ในอ้อมกอด กอดคอที่นุ่มนวลของมัน ชอบจนวางมือไม่ลงเลย

จี้ซูอยู่ข้างๆจิ้มปาก “เมื่อก่อนเธอไม่ชอบจับมันไม่ใช่หรอ ให้เธอจับก็ไม่ยอมจับ”

“เมื่อก่อนไม่จับมันเพราะพี่ชายเธอนั่นแหละ”คำพูดที่ไม่กลัวตายของเหอเจิง “ตอนนี้ฉันไม่ต้องไปสนใจเขาแล้ว อยากจับก็จับเลย”

“ทำไมไม่ต้องสนใจเขาแล้วล่ะ”

เธอเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้

จี้ซูพูดเพิ่มเติม “อ๋อใช่แล้ว ฉันได้ยินจากเป๋ยเจี่ยนว่าเขาไปนอนกับผู้หญิงสกปรกโสโครกเมื่อคืนนี้ แต่ทำไมเธอไม่โกรธเลยซักนิดล่ะ”

กวาดสายตาออกไป

มองจากทางพื้นหินที่แคบนี้ออกไปเห็นจี้ผิงโจวที่ยืนอยู่แต่ไกล ด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด อารมณ์ที่เคร่งขรึม คิ้วแทบจะชนกันแล้ว เสื้อที่สวมอยู่ยังไม่ได้เปลี่ยน เสื้อเชิ้ตลายทางยับ ไม่ได้ดูพิถีพิถันเหมือนปกติ แต่ดูเหมือนกับว่าอารมณ์ไม่ได้แจ่มใส

เมื่อจี้ซูเจอสถานการณ์แบบนี้เข้า ก็ไม่กล้าออกเสียงดัง อยากพาหมารีบหนีไปทันที

เหอเจิงไม่ได้รู้เรื่องนี้ด้วย พูดอย่างเต็มปากเต็มคำ “ไม่สนก็คือไม่สนแหละ คิดว่ามีใครอยากตามใจเขาที่มีนิสัยอย่างคุณชายหรอ ไปหาผู้หญิงอื่นก็ดีแล้วนี่จะได้ไม่ต้องมากวนใจฉัน”

เห็นได้ด้วยตาเปล่า

จี้ผิงโจวถูกล้อมด้วยความโศกเศร้า อารมณ์ขึ้นถึงสุดขีด

จี้ซูกลืนน้ำลายทีหนึ่ง พยายามส่งเสียงเตือนเหอเจิง แต่เธอแค่เงยหน้าขึ้นทีหนึ่ง อย่างรวดเร็ว

“ทำอะไรของเธอ ปากของเธอเป็นใบ้หรือไง”

พูดจบก็ลูบหัวหมาต่อ ลูบไปด้วยพูดไปด้วย “ฉันอยู่ไม่นานก็จะไปแล้ว ไม่ต้องบอกพี่เธอนะ ฉันมาแล้วไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว”

เพื่อเลี่ยงการให้จี้ผิงโจวที่จะสร้างเรื่องให้ใหญ่โตกว่าเดิม

แต่เห็นจะสายไปแล้ว

จี้ซูกล้าๆเกรงๆมองไปยังจี้ผิงโจวที่ค่อยๆเดินเข้ามา ด้วยใบหน้าที่เหมือนจะกินคน

อยากบอกเหอเจิงว่าไม่ทัน แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา แม้จะแสดงสีหน้าสุดชีวิตเธอก็มองไม่เห็น

เงาของจี้ผิงโจวจากลางๆก็ชัดขึ้น ไม่กี่ก้าวก็มาถึงข้างหลังของเหอเจิง

ความอาฆาตสุดขีดอยู่ระหว่างคิ้ว ยิ่งเดินเข้าใกล้ ความรู้สึกของสายตานั้นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

เหอเจิงยังคงไม่รู้สึกตัวอะไร ลูบหัวของเจ้าสนัขอย่างมีความสุข “เจ้าน้องรักนับวันอ้วนขึ้นเยอะนะ ความรู้สึกก็ดีขึ้นด้วย”

บนหัวมีเงาค่อยๆตกทอดลงมา

ใจของจี้ซูขยับขึ้นมาถึงตา มือกระตุกเชือกโดยไม่รู้ตัว หมาก็พลอยหันหัวไปด้วย เหอเจิงรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ จึงเงยหน้าขึ้นมองเธอ เธอกลับมองไปข้างหลังเธอด้วยความกลัว

ด้วยสัญชาตญาณ

เหอเจิงหันหัวกลับไปมอง สบตากับจี้ผิงโจวท่ามกลางความเงียบพอดี สีหน้าของเขามีอารมณ์ที่ซับซ้อนมาก เหมือนปมเชือกที่แก้ไม่ออก

สายตาที่โหดร้ายอย่างนั้นทำให้เหอเจิงตกใจทันที เธอรีบเอามือออกห่างจากหมา ยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนจี้ผิงโจวหลบไม่ทัน คางถูกเธอชนเข้าอย่างจังๆ

กระดูกที่เบราะบางถูกชนอย่างแรงเกิดเสียงขึ้นมา จี้ผิงโจวถูกชนจนถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมกับจับหน้าไว้ การชนครั้งนี้ส่งเสียงดัง “ปัง” เหมือนจะเป็นหน้าผากของเหอเจิงชนกับคางของเขา ทั้งฟันและจมูกก็สั่นไปด้วย

แม้แต่สนัขซามอยด์ที่อยู่บนพื้นก็ตกใจเพราะพวกเขา ถอยหลังหลีกทางให้ จี้ซูตกใจอ้าปากค้างตั้งนานกว่าจะได้สติกลับมา “พี่…พี่เลือดออกแล้ว”

เมื่อได้ยินเสียง

เหอเจิงชักมือกลับ เห็นเลือดบนฝ่ามือของเขา

วันนี้ที่จะมาเพื่อคุยการหย่าและคืนเสื้อผ้า

ตอนแรกคิดว่าจี้ผิงโจวไม่อยู่ เลยเตรียมตัวจากไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะตามมา และยังทำร้ายเขาโดยไม่ได้ตั้งใจอีก

“นี่คุณ…..คุณเป็นไรไหม”

จะยังไงก็โมโหไม่ขึ้นแล้ว

ไม่กี่วันมานี้จี้ผิงโจวขายหน้าจนหมดสภาพแล้ว จี้ซูปิดปากกลั้นหัวเราะไว้ ท่าทางที่เหมือนจะหัวเราะเยาะมองแล้วบาดตาจริงๆ

ดวงไฟในใจยิ่งอยู่ยิ่งใหญ่ขึ้น จี้ผิงโจวขมวดคิ้ว ลูบจนหน้าเปียกไปหมด ดึงตัวเหอเจิงที่ยืนอยู่อย่างตอไม้แล้วมุ่งหน้าไปยังตึกเหนือทันที

จริงๆแล้วก็ห่างกันไม่กี่ก้าว

เหอเจิงทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ยังคิดอะไรไม่ออก ได้แต่ก้มหน้าเดินตามเขาไปแต่โดยดี แม้ว่ามือถูกลากจนรู้สึกเจ็บก็ไม่ร้องออกมาสักคำ แม้จะเห็นเลือดเปื้อนผิวตัวเองก็ทำไรไม่ได้

พี่เฉินกำลังทำความสะอาดบ้านอยู่ เห็นจี้ผิงโจวกลับมาพร้อมกับเหอเจิง ด้วยความดีใจอยากจะทักทาย ยังไม่ทันได้อ้าปากพูดออกไปก็ถูกขัดจังหวะ

“พี่เฉิน คุณออกไปก่อน”

ประตูถึงได้ถูกปิดลง

เหอเจิงถูกเหวี่ยงเข้าไปห้องเก็บเสื้อผ้า

เสื้อผ้าของเธอเต็มไปด้วยขนหมาทั้งตัว จี้ผิงโจวรับไม่ได้กับสภาพนี้

“เปลี่ยนชุดแล้วค่อยออกมา”

ขนปุยๆลอยอยู่กลางอากาศ จนระบบหายใจจะทนไม่ไหวแล้ว จี้ผิงโจวพยายามกลั้นหายใจ การหายใจถี่มาก เขาพูดออกไปคำหนึ่ง ก็พิงกับผนังจามอย่างแรง จากนั้นก็รู้สึกปวดฟัน ทั้งปากเหมือนกับถูกไฟเผา

อาการจามที่ต่อเนื่อง เหมือนกับว่าจะจามตับไตไส้พุงออกมาด้วยอย่างนั้น

เหอเจิงได้ยินก็รู้สึกเห็นใจอย่างมาก เพื่อเขา จึงรีบเปลี่ยนเป็นชุดที่สะอาดแล้วอุ้มเสื้อผ้าวิ่งออกไป

เจอกับสถานการณ์แบบนี้ เธอเข้าใจว่าต้องทำไรบ้าง

วิ่งไปยังบนหัวเตียง พลิกไปพลิกมาเพื่อหาอุปกรณ์ช่วยหายใจของเขา แม้แต่ของที่ยุ่งเหยิงก็พลิกออกมาหมดแล้วก็ยังหาไม่เจอ เธอจำได้ว่าวันที่จากไป อุปกรณ์ช่วยหาใจยังวางไว้ตรงนี้

“จี้ผิงโจว ยาล่ะ”

เสียงของเธอสั่น เห็นได้ชัดว่ากลัวจริงๆ

จี้ผิงโจวจามเสียงเหมือนจะมีน้ำด้วย “อยู่ใต้หมอน”

ในพื้นที่อ่อนนุ่มสัมผัสได้ว่ามีของเล็กๆอยู่ เหอเจิงรีบวิ่งไปยังห้องน้ำ เหมือนกับทุกครั้งที่อาการของจี้ผิงโจวกำเริบ นำมันไปครอบที่จมูกของเขา แล้วให้เขาหายใจเอง สูบสิ่งที่ช่วยชีวิตเขาเข้าไป

เขาไม่จามแล้ว

บริเวณคอเต็มไปด้วยหยดน้ำ คอเสื้อก็เปียกไปด้วย บริเวณแก้มก็เผยให้เห็นเป็นสีแดงก่ำ ไอจนเบ้าตาเป็นสีแดง ขนตาก็เปียกชุ่ม มีบางส่วนติดกันเป็นเส้น

ใจเหอเจิงค่อยๆสงบลง มือวางอยู่บนหลังของจี้ผิงโจว ใช้มือลูบไปตามเส้นผมของเขาเบาๆ ถามด้วยความเป็นห่วง “ดีขึ้นหรือยัง”

ได้ยินเสียงของหัวใจที่ค่อยๆช้าลง อัตราการหายใจก็เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ

ขอบอ่างล้างมือที่เย็นเฉียบติดอยู่กับฝ่ามือของจี้ผิงโจว เขาพยายามยันตัวเองไว้ น้ำหนักกว่าครึ่งวางลงบนไหล่ของเหอเจิง ระยะห่างนี้จะได้กลิ่นอันหอมหวานจากตัวเธอ

เสื้อผ้าเปลี่ยนแล้ว

ไม่มีขนปุยลอยรอบตัว

สีหน้าที่กังวลจนกลัวของเธอเป็นความจริง ไม่ได้มีเรื่องอื่นมาเกี่ยวพันด้วย จี้ผิงโจวดันอุปกรณ์ช่วยหายใจออกไป หายใจด้วยตัวเองสองที คำพูดที่จะพูดเป็นคำพูดที่นุ่มนวล แต่พอออกจากช่องปาก กลับแข็งกระด้าง

เกิดเป็นเกาะกำบังที่หนักหน่วง

“เห็นฉันเป็นแบบนี้ สะใจเธอแล้วใช่ไหม”

เหอเจิงไม่เข้าใจ “สะใจอะไร”

“ก็ชายขี้โรคกับหญิงนอกสมรส เป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากไม่ใช่หรอ”

เธอไม่เคยรู้สึกเลยว่าจี้ผิงโจวก็น้อยเนื้อต่ำใจขนาดนี้

ผู้ชายที่ถูกเลี้ยงมาด้วยความเอาใจใส่ ตั้งแต่เด็กก็ใช้ชีวิตแบบกางแขนก็มีเสื้อสวมเข้ามา อ้าปากก็มีอาหารป้อนให้ 20ปีก่อนสุขภาพของจี้ผิงโจวดีมาก แต่เป็นเพราะเกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิด เขาสูญเสียความจำ และก็เครื่องในได้รับผลกระทบ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็กลายเป็นคุณชายขี้โรค

เหอเจิงไม่กล้ามองเขา เสียงที่แฝงด้วยการขอร้อง “ไม่ต้องพูดแล้ว…”

“เธอคิดแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ”จี้ผิงโจวพูดพร้อมยิ้มอย่างฝืนใจ “แยกจากฉันแล้ว อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องเป็นเพราะต้องสนใจฉันจนกล้าๆเกรงๆ ไม่กล้าแตะต้องอะไร สิ่งที่ชอบกินก็ไม่ได้กิน ไม่ใช่หรอ”

“สามปีมานี้ลำบากใจเธอจริงๆ”

คำพูดที่พูดกับจี้ซู ถูกจี้ผิงโจวได้ยินเข้า

เขาเป็นคนที่เห็นศักดิ์ศรีสำคัญอย่างนี้ จะยอมให้ภรรยาว่าตัวเองอย่างนี้ได้ยังไง เพราะอย่างนี้ถึงได้ร้อนตัว แต่เขาก็ชั่วร้ายเกินไป ชั่วร้ายที่ลดตัวเองลงเพื่อทำให้เธอรู้สึกผิดในใจ

เหอเจิงรู้สึกผิดหวัง กำลังคิดจะหนี มือก็ถูกกางออกอุปกรณ์ช่วยหายใจถูกแย้งไป จี้ผิงโจวยกมือขึ้นกำลังจะขว้างทิ้ง

ไม่ได้

เธอจับมือของจี้ผิงโจวโดยไม่รู้ตัว มือเล็กๆที่กำมือของเขาไม่ได้ ทำได้แค่เขย่งเท้าแล้วจูบลงที่คางของเขา ผ่านริมฝีปากข้างล่าง มืออีกข้างหนึ่งจับหน้าเขาไว้ “อย่าขว้าง …ขว้างไม่ได้”

ได้สัมผัสพิมจูบ

เขาก็ไม่ขยับต่ออีก

จูบปลอบใจครั้งนี้ก็เพื่อให้เขาสงบลง หรือไม่ก็เพราะรู้สึกผิดในใจ แต่ไม่มีความรักแน่นอน

เหอเจิงถนัดการปลอบใจแบบเสแสร้ง ใช้คำพูดที่หลากหลายทำให้จี้ผิงโจวสงบสติอารมณ์ เอาอุปกรณ์ช่วยหายใจจากมือของเขา มืออีกข้างลูบไปบนเส้นผมของเขา มือที่อบอุ่นสัมผัสลงบนหัว “ฉันไม่เคยคิดแบบนั้น คุณใจเย็นๆหน่อย…”

เห็นชัดว่าเขาทั้งสูงและผอม เมื่อยืนจะสูงกว่าเธอครึ่งหัว แต่ตอนนี้กลับต้องให้เธอกอดถึงจะสงบลงได้

จี้ผิงโจวหลับตาลง จะจูบเหอเจิง แต่เธอกลับจะหลบ เขาบังคับเธอไว้ น้ำเสียงเหมือนจะเอาชีวิตด้วย “เธอรังเกียจที่ฉันมีโรคหรอ”

เสียงของเหอเจิงเบาลง “ไม่รังเกียจ”

“ถ้างั้นก็ไม่ต้องหลบ”

“แต่ว่า—-”

คำพูดยังพูดไม่หมดก็ถูกอุดกลับไปแล้ว

ซ่อน | รัก | ลับ

ซ่อน | รัก | ลับ

ฟางเหอเจิงแต่งงานกับจี้ผิงโจวในฐานะลูกสาวนอกกฎหมายของตระกูลฟาง เธอถ่อมตัวต่อหน้าเขา เธอเก็บความรู้สึกทุกอย่างได้จนสามารถกินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกันกับคนรักของเขาได้ ระยะเวลาสามปีเต็ม ไม่มีใครเคยเห็นฟางเหอเจิงอิจฉาและเสียอารมณ์ จนกระทั้งมีการเปิดเผยข้อตกลงการหย่าร้างต่อสาธารณะ ไม่มีใครรู้เลยว่าฟางเหอเจิงรักใครอีกคน ในคืนแรกของการแต่งงานเธอจูบดวงตาของเขา เรื่องที่ฟางเหอเจิงแต่งงานกับเขา มีคนถามว่าเธอรัก ฟางเหอเจิงแต่งงานกับเพราะอะไร? เธอตอบว่าเพราะดวงตาเขา เธอรักดวงตาของเขาเท่านั้น ..

Comment

Options

not work with dark mode
Reset