ทำไมจะแตะไม่ได้ล่ะ
นั่นเพราะมันเป็นสิ่งส่งท้ายที่คนในใจของเธอเหลือไว้ เธอรักมันยิ่งกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก แต่ของที่ล้ำค่าขนาดนี้ กลับถูกทิ้งไว้ในที่ไม่มีคนเป็นเวลาสามปี
มือของจี้ผิงโจวจับอากาศที่หนาวจัดกำไว้ กลายเป็นหมัด วางไว้ข้างกาย สีหน้าเหมือนกับกำลังจะฆ่าคน
ควบคลุมอารมณ์นั้น เหอเจิงสงบลง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันไม่ชอบให้คนอื่นมาแตะต้องของของฉัน…”
“ฉันเป็นคนอื่นหรอ”
นอนเตียงเดียวกันมาสามปี เป็นสามีภรรยากันมาสามปี ได้กลับมาว่าเป็นคนอื่น
เขากลับอยากให้คนนั้นยังมีชีวิตอยุ่ คนตายคนหนึ่งยิ่งทำให้เขาเหมือนแพ้อย่างราบคาบ “มันก็แค่เครื่องดนตรีเสียเครื่องหนึ่ง ของที่ฉันมอบให้เธอมีอะไรราคาถูกกว่ามันไหม”
“มันไม่เหมือนกัน” เหอเจิงรู้ตัวดีว่าเรื่องนี้เธอไม่มีอะไรจะแก้ตัว เธอรู้สึกขอโทษจี้ผิงโจว เธอทำลายสิ่งที่ผู้ชายให้ความสำคัญที่สุด ทำให้เขายกหน้าไม่ขึ้น
เก็บคำพูดไว้
เธออยากให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น วางแผนให้เรื่องนี้จางหายไปเหมือนหมอกเหมือนเมฆ ดังนั้นจึงยอมก้มหน้า สมยอม
“ถ้าคุณมาเพราะเรื่องการบริจาคเลือดแล้วก็ ไม่จำเป็นแล้วล่ะ ฉันได้บอกพี่ชายฉันแล้วว่า ฉันเป็นคนยิมยอมเอง”
จี้ผิงโจวขมวดคิ้ว “เพราะอย่างนี้เขาถึงได้ตบตีเธอหรอ”
ไม่เพียงแค่ตีตบเท่านั้นแต่ยังด่าเป็นยกใหญ่ เหอเจิงได้สติกลับมาทันที เธอเงยหน้า นัยต์ตาที่แฝงด้วยไอเย็น “เขาบอกว่าฉันไปเป็นถุงเลือดให้บ้านคุณ ให้ฉันหย่ากับคุณ ฉ้นเองก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
“บ้านฉันไม่ใช่บ้านเธอหรอ”
“ตระกูลฟางเป็นตระกูลที่ต่ำต้อย ไม่กล้าไปเทียบกับตระกูลจี้ที่สูงส่งหรอก ตรงจุดนี้ฉันเข้าใจดี ”
ไม่ว่าเวลาไหนหรือที่ไหน เธอได้แบ่งเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี
การเผชิญหน้ากับจี้ผิงโจว ในกระดูกของเธอแบกความรู้สึกต่ำต้อยที่ได้มาจากสวรรค์ไว้ โดยเฉพาะช่วงหลังจากแต่งงาน ไม่มีเสียงปรบมือและเวที ภาพเหล่านั้นได้หายไปเหมือนความฝันที่แตกสลาย เธอกลายเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านของเขาจริงๆแล้ว
เวลาอารมณ์ดีก็ลูบๆหัว แล้วให้พุทราหวานลูกหนึ่ง
เวลาอารมณ์ไม่ดี รังแกจนดูไม่ได้เลย
เหอเจิงยืนอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าอ่อนนุ่ม เหมือนใจกลางของดอกไม้ นัยต์ตาเผยให้เห็นถึงแสงใสพร่างพราว คลายกับเมื่อสามปีก่อนเหลือเกิน
จี้ผิงโจวได้กลับไปยังคืนนั้นอีกครั้ง เขายกมือขึ้นมา จับคางของเหอเจิงไว้ ค่อยๆเอนหันเข้าไปแต่เธอกลับหลบ
“นี่ จะทำไร”
จี้ผิงโจวจับคางของเธอค้างไว้ ปลายจมูกแตะเข้าไป รับรู้ความรู้สึกหนาวเย็นจากหน้าของเธอ ภาพเหมือนตอนที่เขาจูบเธอเมื่อสามปีก่อนมาก
แต่เขารับรู้ถึงความรู้สึกที่กลัวมากจากร่างกายของเหอเจิง
ความรู้สึกนี้ทำให้เขาไม่กล้าเข้าใกล้เธอ
“หนาวไหม” เขาถามเหมือนคนไม่มีสมองเลย
นัยต์ตาของเหอเจิงเจิดจ้า “ถ้าคุณคิดจะมาหาเรื่องทะเลาะละก็กลับไป…”
ไม่มีเสียงพูด
เขากลับเอาผ้าพันคอสีเทาอ่อนที่ถักอย่างละเอียดจากคอตัวเองพันให้กับเหอเจิง ขนาดใบหน้าเธอเท่ากับแค่ฝ่ามือเดียว เวลาไม่ได้แต่งหน้านั้นทั้งบริสุทธิ์และนุ่มนวล หน้าที่ถูกผ้าพันคอพันไว้ เห็นแต่ดวงตาคู่นั้นที่ยังกระพริบๆ
ความอบอุ่นนี้มันคืออะไรล่ะ
เธอไม่ได้เข้าใจเลย
จี้ผิงโจวกลับเฉยๆ เหมือนกับการบริจาคเงินให้ขอทานข้างถนน “ฉันไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับเธอหรอก ไม่ได้ว่างอย่างที่เธอคิด”
พันผ้าพันคอเรียบร้อย
มือของเขาลดลงมาพร้อมกับจับมือของเหอเจิงไว้ “ขึ้นรถ ข้างนอกหนาว”
เหอเจิงยังคงยืนนิ่ง “ข้างหน้ามีที่ต่อรถอยู่”
เธอตั้งใจจะแบ่งเขตแดนที่ชัดเจนกับเขาอย่างแน่นอน
อากาศหนาวมาก เวลาอ้าปากพูดข้างหน้าจะมีอากาศเหมือนหมอกสีขาวลอยไปมาด้วย ลางๆไม่ชัดเจน อยู่รอบๆสายตาของเขา เขาไม่โกรธ คอเสื้อที่ตั้งตรงเหมือนปากกา เม็ดกระดุมสีอำพันข้างหน้าสะท้อนแสงสีครามอันสว่างออกมา
ลมพัดเข้ามาหาตัวเขา เขาเหมือนกับว่าไม่รู้สึกหนาวเลยซักนิด
มองไปยังเชลโลด้านหลังของเหอเจิงทีหนึ่ง จี้ผิงโจวหัวเราะเบาๆ “ทำไมหรอ จะกลับไปใช้วิถีชีวิตเดิมหรอ”
มือข้างหนึ่งของเหอเจิงจับเชลโลไว้ เต็มไปด้วยสติ “แยกจากคุณ ก็ต้องหาเลี้ยงชีพนะสิ”
“เธอแน่ใจนะว่าจะแยกจากฉันได้น่ะ”
ชีวิตที่กินดีอยู่ดีเธอใช้มาแล้วสามปี
มันไม่ง่ายเลยที่จะแยกออกมาอย่างนี้
จี้ผิงโจวประเมินเหอเจิงต่ำเกินไป แววตาที่ไม่เปลี่ยน สีหน้าที่เต็มด้วยความมั่นใจ “คุณเป็นลูกรักของสวรรค์ ไม่ได้หมายความว่าฉันจะเป็นด้วยนี่”
จี้ผิงโจวหรี่ตา “เธอไม่ขึ้นรถจริงๆหรอ”
“ไม่ขึ้น”
“โอเค”
เสื้อสีขาวบริสุทธิ์ที่อยู่ในสายตา กระดุมสีอำพันเม็ดที่สี่กระพริบทีหนึ่ง ออกจากสายตาของเหอเจิง จี้ผิงโจวหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ขึ้นรถ เสียงปิดประตูดังจนเแสบแก้วหู
สตาร์ทรถ ล้อหมุนไปมาบนพื้น เกิดเป็นรอยว่างๆ ในที่สุดก็ไปซักที
เหอเจิงถอนหายใจ ต่อรถข้างทางกลับไปยังบ้านตระกูลฟาง แอบเอาเชลโลไปเก็บไว้ในห้อง ที่นี่เก็บเสียงได้ไม่ดี จึงแอบเล่นไม่ได้
เธอนั่งอยู่บนพรม
มีลมอุ่นๆพัดผ่านบนหัว เหมือนคลื่นน้ำอันอ่อนนุ่ม
เธอถือสายเชลโลไว้ สายนี้เก่ามากแล้ว ไม่สามารถบรรเลงเสียงอันไพเราะได้อีกแล้ว แต่ว่าเปลี่ยนสายแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ คนคนนั้นไม่ได้อยู่ด้วยแล้ว เธอก็ไม่อาจบรรเลงเหมือนเมื่อก่อนได้
เธอพิงอยู่กับตัวเครื่องเชลโล หน้ากำลังเปลี่ยนจากร้อนเป็นเย็น เหอเจิงกำลังสับสน เพิ่งจะสงบสติอารมณ์ได้ เสียงชั้นล่างก็ส่งเสียงฝีเท้าเตาะเตะขึ้นมา
เสียงที่มาด้วยมีเสียงพึมพำของป้าหมิงด้วย
“นี่เขาดื่มไปเท่าไหร่หรอ บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้ดื่มให้น้อยหน่อย แม้ว่าร่างกายจะแข็งแรงแค่ไหนก็ไม่ควรทำขนาดนี้นี่”
เหอเจิงเดินออกมาอย่างเชื่องช้า เปิดประตู ชนใส่ฟางลู่เป่ยที่เมามากที่ถูกป้าหมิงพยุงขึ้นมา ช่วงแขนที่พับอยู่มีเสื้อตัวใหญ่ตัวหนึ่ง บนตัวเสื้อเชิตสีดำสนิทยังมีรอยปากสีแดงด้วย สิ่งที่ติดมาด้วยยังมีกลิ่นน้ำหอมที่แรงมาก
เหอเจิงขมวดคิ้วคิดจะถอยกลับไป
แต่กลับถูกฟางลู่เป่ยจับไว้ เขาเมาไปแล้ว80เปอร์เซ็น แต่ยังได้สติอยู่บ้าง
เขาใช้ส่วนที่ยังมีสติอยู่ ฟางลู่เป่ยยื่นเสื้อตัวใหญ่ให้กับเหอเจิง เสียงพูดเหมือนกับถูกมีดกรีดปาก และติดอ่างด้วย “ดูสิ ดูออกไหมว่าเป็นเสื้อของใคร”
เขาเกือบจะล้มแล้ว ป้าหมิงรีบมาพยุงเขาไว้
เหอเจิงกวาดสายตามอง ไม่กี่ชั่วโมงก่อนเพิ่งเห็น เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะจำไม่ได้
แต่เธอก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ โยนเสื้อออกไป “ดูไม่ออก ฉันจะนอนแล้ว พี่ระวังหน่อยแล้วกัน”
“กลับมานี่” ฟางลู่เป่ยห้ามเธอไว้ ใช้สายตาสีดำแดงที่มอมเหล้าจ้องเธอ จ้องอย่างละเอียด เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “เธอใช้คำพูดแทงใจดำอะไร ถึงกับทำใหโจวโจวเคลียดถึงปานนี้”
เหอเจิงไม่เข้าใจคำพูดของเขา
ฟางลู่เป่ยยันเข่าไว้ พิงกับผนัง แล้วก็เก็บเสื้อตัวนั้นเข้าที่แขน “คืนนี้เขาดื่มเหล้ากับฉัน ดื่มเยอะมาก ตอนนี้ไปโรงแรมกับดาราคนหนึ่งแล้ว”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย”
เหอเจิงไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร เพราะนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของจี้ผิงโจว
เธอมองไปยังเสื้อตัวใหญ่ที่อ่อนนุ่ม และยังมีกลิ่นเหล้าติดมาด้วย เป็นกลิ่นที่แรงมาก “ฉันก็ไม่ได้ยั่วอะไรเขานี่ ก็พี่เป็นคนบอกเขาเรื่องที่ฉันบริจาคเลือด เขาถึงได้มาหาเรื่องฉัน ฉันก็แค่ออกห่างกับเขาไม่กี่เมตร ไม่อยากให้เขาอารมณ์เสีย”
“ดู ดู ดูเธอสิ ” ฟางลู่เป่ยชี้นิ้วไปยังเธอ “ไหนบอกว่าไม่ได้ใช้คำพูดแทงใจดำอะไร”
เหอเจิงหันหน้าไป ไม่อยากมองขี้เมาคนนี้
แต่ก็หนีไม่พ้นคำพูดกวนใจของเขา “ฉันอยากให้เธอพูดกับเขาดีๆหน่อย แม้จะหย่าก็จะได้แยกกันอย่างสบายใจทั้งสองฝ่าย แต่เธอกลับ กลัวว่าจะไม่ได้ยั่วคนอื่นอย่างเต็มที่”
พูดได้ไม่กี่คำก็ทะเลาะกันอีกแล้ว
ป้าหมิงอยากดึงฟางลู่เป่ยออกไปมาก แต่เขายืนอยู่กับที่ไม่ขยับ และยังตบลงไปบนเสื้อสีขาวบริสุทธิ์ตัวใหญ่ตัวนั้นแรงๆทีหนึ่ง “พรุ่งนี้ซักเสื้อตัวนี้แห้ง แล้วเอาไปคืนโจวโจว ขอโทษเขาด้วย”
“ฉันไม่ไป”
เพิ่งพูดจบก็ถูกฟางลู่เป่ยตบไปทีหนึ่ง “ขอโทษเสร็จแล้ว ฉันและเธอคุยเรื่องหย่ากับเขาด้วยกัน ดีไหม”
นี่เป็นน้ำเสียงที่ไม่รู้จะทำอะไรแต่นุ่มนวล เหอเจิงลูบหัว พูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ “จริงหรอ”
“จะให้เขาสูบเลือดของเธอต่อไปหรอ” ฟางลู่เป่ยปลดเนคไทออก ด้วยความรำคาญ “เจ้าเด็กนี่ ไม่รู้จักความหวังดีคนอื่นเลย”
เขาไม่ได้เลว
แต่เป็นคนปากจัด
เหอเจิงอุ้มเสื้อไว้ พยักหน้าอย่างมีความสุข แม้เรื่องทีถูกตบตีอย่างหนักเมื่อคืนก่อนก็ลืมหมดแล้ว”ฉันคิดแล้วว่า พี่ชายดีที่สุดเลย”
“อย่าเพิ่งได้ใจไป”ฟางลู่เป่ยส่งสายตาการสั่งไปให้เธอ “ต้มซุปแก้เมาให้พี่หน่อย รู้ว่าต้องตอบแทนคุณใช่ไหม”
“รู้แล้วน่า”
เรื่องที่ไม่สบายใจของวันก่อนสลายไปหมด
เสื้อที่เหอเจิงม้วนไว้เพื่อคืนให้ฟางลู่เป่ย คลี่ออกมา แล้วยื่นไปวางไว้ที่อ้อมอกของป้าหมิง “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เธอวิ่งไปยังห้องครัวโดยไม่ทันลา ทุกก้าวเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี ป้าหมิงเห็นแล้วถอนหายใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจึงอยากหย่ามากขนาดนั้น มองไปยังฟางลู่เป่ยด้วยความเป็นห่วง “คุณจะพาเหอเจิงไปคุยเรื่องการหย่าจริงๆหรอ”
พวกเขาต่างรู้ว่า
ตระกูลจี้นั้นเหมือนถ้ำเสือบึงมังกร ไปแล้วไม่มีทางกลับ
ฟางลู่เป่ยก็ไม่มีวิธีอื่น “แล้วจะทำอะไรได้อีก นี่ก็น้องสาวคนหนึ่ง ยังไงก็ดูเธอถูกสูบเลือดจนหมดไม่ได้”