ตอนแรกเขาคิดว่าพูดแบบนี้แล้ว น่าจะทำให้เหอเจิงคิดได้ว่าตัวเองเล่นใหญ่เกินเบอร์ไปแล้ว และกล่าวขอโทษยอมรับผิดกับเขา แต่เธอกลับไม่ได้พูดอะไรแบบนั้น เธอเดินขึ้นรถมานั่งข้างเขา
จากนั้นก็ปิดประตูรถ
แสงไฟสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างรถ กระทบเข้าที่ใบหน้าเธอ สองปีมานี้เธอผิวพรรณดีมาก ดูชุ่มชื้นราวกับผิวของเด็กอายุ 18 และถึงแม้จะไม่ได้แต่งหน้าอะไร ความงามและผิวพรรณของเธอก็สามารถทำให้คนหลงใหลได้
เธอเหลือบตาเล็กน้อย ก็เห็นสายตาของจี้ผิงโจวที่มองมา ราวกับมองสัตว์เลี้ยงที่หนีออกมาเที่ยวเล่นนอกบ้าน เธอไม่ชอบสายตาแบบนี้เอาเสียเลย จากนั้นเธอจึงหันหน้าหนีเขา
ระยะทางระหว่างที่นั่นถึงสวนซางไม่ไกลมากนัก
ระหว่างทางนั้น เป๋ยเจี่ยนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ เพราะบรรยากาศในรถอึมครึมมาก และน้อยครั้งมากที่จะเห็นจี้ผิงโจวกับฟางเหอเจิงนั่งรถคันเดียวกัน และส่วนมากก็เป็นตอนที่จี้ผิงโจวเมา จนฟางเหอเจิงต้องไปรับกลับบ้าน
และนั่นก็เหมือนเป็นภาพความรักของเขาทั้งสอง
ทุกครั้งที่จี้ผิงโจวเมา เขาจะเหมือนเป็นอีกคนหนึ่ง จะเงียบ และเอาแต่กอดเหอเจิง จากนั้นก็ค่อยๆหลับไป
แต่พอเขาสร่างเมา ก็จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และกลับไปเป็นเขาคนเดิมที่เย่อหยิ่งและเย็นชา
เขาลืมเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเมาทั้งหมด เหอเจิงและเป๋ยเจี่ยนไม่พูด ก็คงไม่มีใครรู้ว่าจี้ผิงโจวก็มีด้านแบบนี้เหมือนกัน
รถเดินทางมาถึงด้านหน้าตึกเหนือ
เป๋ยเจี่ยนกำลังจะเดินไปเปิดประตูให้จี้ผิงโจว แต่เขาก็เปิดออกมาก่อน จากนั้นเดินไปอีกฝากหนึ่งของรถ เปิดประตูออกและลากเหอเจิงออกมาด้วยอารมณ์และท่าทางฉุนเฉียว
เหอเจิงไม่ได้ขัดขืนใดๆ และยอมให้เขาลากขึ้นบันไดไป
ขณะที่เป๋ยเจี่ยนกำลังรู้สึกสงสารเธออยู่นั้น ก็มีหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งโผล่มา ทำให้เขาตกใจเล็กน้อย
เมื่อเห็นชัดว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร ก็ถามว่า “คุณหนูทำอะไรครับ?”
“เสียวเจี่ยน ผู้หญิงที่เข้าไปเมื่อกี้ใช่ฟางเหอเจิงไหม?”
“ใช่ครับ”
ตึกเหนือเป็นเรือนหอของพวกเขา
เพราะฉะนั้นแล้วผู้หญิงที่สามารถเข้ามาที่นี่ได้ก็มีแต่เหอเจิง ถึงแม้จี้ผิงโจวจะไม่ชอบเธอมากแค่ไหน แต่ก็ยังคงรักษาน้ำใจเธอไว้อยู่บ้าง
จี้ซูพูดต่อว่า “หึ ฉันบอกแล้วไงว่า เธอไปได้ไม่นานก็ต้องกลับมา นึกว่าจะกล้ากว่านี้เสียอีก”
ในขณะเดียวกันทางเหอเจิง
เขาเปิดประตูออก และแสงไฟข้างในแยงเข้าตาเธออย่างจัง เธอโดนลากข้อมือเข้าไป จนทำให้เธอเจ็บมาก
เธอทนความเจ็บต่อไปไม่ได้แล้ว จึงสะบัดมือจี้ผิงโจวออก จากนั้นพูดว่า “คุณทำฉันเจ็บ”
“ขึ้นไป” จี้ผิงโจวสั่ง
เหอเจิงคิดว่าเขากำลังเร่งให้เธอไปเก็บข้าวของ
ตอนที่เธอแต่งงานและย้ายมา เธอถือแค่กระเป๋าเดินทางเพียงใบเดียวมาเท่านั้น ต่อมามีแต่จี้ผิงโจวสั่งให้คนอื่นจัดนั่นจัดนี่มาเติมเต็มให้เธอ ระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา เธอได้รับของขวัญต่างๆเยอะมาก
ของพวกนั้นต่างก็เย็นชาเหมือนจี้ผิงโจวคนนี้
ตลอดการแต่งงานสามปี
ที่จี้ผิงโจวให้เธอก็คงมีแค่ของพวกนี้นี่แหละ
เธอยืนอยู่หน้าห้องแต่งตัว จากนั้นสุดลมหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มยัดเสื้อผ้าลงในกระเป๋า ใจคิดแต่ว่าอยากจะเก็บของเสร็จเร็วๆ และรีบออกไปจากที่นี่เสียที
ไม่นาน จี้ผิงโจวก็ตามขึ้นมา
เขาโกรธมากที่เหอเจิงไม่เชื่อฟังคำสั่งเขา อารมณ์และท่าทางของเขาไม่หลงเหลือความเป็นสุภาพบุรุษอยู่อีกเลย
เขาเดินไปหยิบบัตรใบหนึ่งขึ้นมา จากนั้นยัดใส่ลงมือของเหอเจิง
“ทำบ้าอะไร เรื่องเยอะไม่พอเหรอ? ใครไม่ให้เงินใช้หรือไง?”
เงินพวกนี้มันสมควรที่เธอได้รับ
แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีนี้
เธอควรรับบัตรนั่นมา และขอบคุณเขา และควรจัดการอารมณ์และความรู้ของเธอ จากนั้นก็กลับไปเป็นภรรยาผู้ที่คอยปรนนิบัติภักดีเหมือนเดิมใช่ไหม?”
เหอเจิงกระดกหางตาขึ้นเล็กน้อย จากนั้นพูดว่า “นี่คือเงินส่วนที่ฉันขอตอนหย่าหรือเปล่า? ถ้าใช่ ฉันจะรับไว้”
ถึงแม้จี้ผิงโจวจะฉลาดมาก แต่เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเธอ “เธอตั้งใจสร้างเรื่องขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเพื่อเงินพวกนี้หรือไง?”