แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 50: ถอยห่าง

               เมื่อสองหนุ่มสาวเตรียมความพร้อมเสร็จสรรพแล้ว จึงเดินทางออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังปราสาทสีขาวซึ่งอยู่ห่างจากจุดนี้ราวสองกิโลเมตร ท่ามกลางท้องฟ้าสีครามสดใสกับแสงแดดยามเช้า พร้อมด้วยสายลมที่โบกพัดปะทะเข้ากับร่างกายอย่างอ่อนละมุน ในขณะที่บรรยากาศภายในหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคานยังคงเต็มไปด้วยสีสันและผู้คนมากหน้าหลายตาตามปกติ

               ในระหว่างนั้นเอง สเตฟาเนียกำลังซึ่งก้าวเท้าเดินเคียงข้างเลวอนบนถนน ได้เริ่มต้นบทสนทนาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางก้มศีรษะมองต่ำลงเล็กน้อยราวกับสำนึกผิดอะไรบางอย่าง

               “ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้รุ่นพี่เลวอนลำบากใจตั้งแต่เช้า แถมยังรบกวนคุณอากับคุณน้าอีกด้วย”

               “ไม่หรอก ผมกลับรู้สึกขอบคุณสเตฟก้าด้วยซ้ำที่ทำให้พ่อกับแม่รู้สึกสนุกสนาน ดูเหมือนว่าพวกท่านเองจะแอบถูกใจและอยากให้เธอแวะมาเยี่ยมที่บ้านบ่อย ๆ ด้วย”

               เลวอนหันไปพูดคุยกับสเตฟาเนียพลางฉีกยิ้มด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทำให้เธอไม่อาจต้านทานหรือสะกดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ได้อีก จึงเงยใบหน้าสบสายตาจ้องมองเขาพร้อมทั้งแย้มสรวลเจือจางอย่างอบอุ่น แล้วเปล่งน้ำเสียงละมุนอีกครั้ง

               “ดีใจจังที่รุ่นพี่รู้สึกแบบนั้น ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ฉันขอแวะมาหาคุณที่บ้านทุก ๆ วันเสาร์… จะได้ไหมคะ?”

               “อ-อื้อ ได้สิ จะวันไหนก็แวะมาหาได้ตลอดเลย… ถ้าหากตอนนั้นผมยังนั่งพักอยู่ในบ้านนะ”

               บุรุษหนุ่มจอมดาบเวทหลบสายตามองทางอื่นเล็กน้อย พลางยกนิ้วชี้ขวาขึ้นมาเกาแก้มอย่างเหนียมอายตามลักษณะนิสัยประจำตัวของเขา แม่มดสาวพราวเสน่ห์ได้รับคำตอบดังนั้นจึงแอบรู้สึกดีใจ ถึงแม้ว่าจะสื่ออารมณ์ที่แท้จริงออกมาผ่านทางสีหน้าไม่ค่อยเก่งก็ตาม

               ขณะเดียวกัน ณ บ้านพักหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากที่พักของครอบครัวทาวิเทียนเพียงไม่กี่สิบเมตร ฮิคาริ เด็กสาวเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีขาวอมม่วง ในชุดลำลองเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงขาสั้น ได้เหลือบเห็นเลวอนและสเตฟาเนียกำลังก้าวเท้าเดินเคียงคู่กันบนถนน โดยมองผ่านทางบานหน้าต่างจากห้องนอนชั้นที่สอง

               “ฮึ… เจ้าลูกแกะบ้า ดูท่าทางมีความสุขเสียจริง”

               ฮิคาริเปล่งเสียงพึมพำพลางคิ้วขมวดอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเมินใบหน้าหันไปทางอื่นแล้วยืนกอดอก โดยพยายามสลัดความคิดอันขุ่นมัวออกไปให้พ้น แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่อาจเอาชนะความรู้สึกของตนได้ พร้อมทั้งยกสองมือขึ้นมาขยี้เส้นผมไปมาเพื่อระบายอารมณ์คับแค้นใจออกไป

               “โธ่เอ๊ย เรากับหมอนั่นไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย แล้วทำไมถึงได้รู้สึกหงุดหงิดแบบนี้นะ!”

               เด็กสาวพยายามสงบสติอารมณ์โดยการสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ แล้วคลายมือทั้งสองออกจากศีรษะ ก่อนจะหันไปมองดูพวงกุญแจรูปลูกแกะขนสีขาวฟูซึ่งประดับเข้ากับสมาร์ตโฟนของตนบนโต๊ะทำงาน ด้วยสีหน้าเศร้าหมองเล็กน้อย

               พวงกุญแจชิ้นนั้นคือของขวัญที่ระลึกจากร้านอาหารลูกแกะหลงทาง ซึ่งเลวอนเป็นคนซื้อและมอบให้กับฮิคาริในวันที่ทั้งสองคนได้พบเจอกันเป็นครั้งแรก แม้จะไม่ได้มีราคาแพงหรือดูหรูหรามากนัก แต่สำหรับเธอแล้วมันคือสิ่งของอันแสนล้ำค่าที่มีความสำคัญสำหรับตนอย่างยิ่ง

               ถึงเราสองคนจะเคยออกเดทด้วยกันเพียงแค่ครั้งเดียวก็เถอะ…

               เด็กสาวนัยน์ตาสีเทานึกในใจพลางแก้มแดงระเรื่อ ทว่าไม่ทันไรเธอกลับรีบส่ายหน้า พร้อมทั้งยกสองมือขึ้นมาตบแก้มสามถึงสี่ครั้งด้วยแรงพอประมาณเพื่อเรียกสติกลับคืน

               ไม่ได้ ๆ อย่าให้ความใจดีกับท่าทีแสนสุภาพของหมอนั่นเข้ามาพังกำแพงที่เราสร้างเอาไว้สิ เดี๋ยวก็ได้เจ็บปวดเหมือนโมนิก้าหรอก…! สำหรับเราแล้วเจ้าลูกแกะก็แค่เพื่อนคนแรกที่ไว้วางใจได้เท่านั้น!

               ฮิคาริตัดสินใจอย่างเด็ดขาดโดยชักสีหน้าบึ้งตึงอีกครั้ง ก่อนจะมุ่งตรงไปหยิบผ้าเช็ดตัวซึ่งแขวนตากไว้ตรงราวไม้แล้วเปิดประตูเดินออกจากห้องนอน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันเตรียมรับประทานอาหารเช้าต่อไป โดยไม่ให้ความสนใจต่อเลวอนและสเตฟาเนียอีก ต่อให้ภายในใจลึก ๆ จะแอบอิจฉาหรือหึงหวงเขาอยู่บ้างก็ตาม เพียงแต่ตัวเธอไม่อยากจะยอมรับหรือซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตนเองเท่านั้น

               ย้อนกลับมาที่เลวอนและสเตฟาเนีย ขณะเดียวกันแม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีส้มได้เริ่มต้นเปิดประเด็นสำคัญขึ้นมา เนื่องจากสังเกตเห็นสีหน้าของพ่อมดหนุ่มซึ่งสื่อถึงความกังวลใจต่อบางสิ่งบางอย่างเด่นชัด โดยที่เธอเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน

               “รุ่นพี่คะ เรื่องของโมนิก้าน่ะ…”

               “อื้อ… ตั้งแต่หลังจบศึกกับปีศาจ Aka Manah เมื่อวานนี้ ผมเองก็รู้สึกได้ว่าโมนิก้าเริ่มมีท่าทีแปลกไป ถึงจะพอคาดเดาสาเหตุที่เกิดขึ้นได้แล้วก็เถอะ… ที่จริงแล้วตัวผมน่ะร้อนรนใจอยากจะช่วยเหลือเธอคนนั้นมาก แต่ขืนรีบลงมือแก้ไขปัญหาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าโดยที่ไม่ยอมปรึกษากับสเตฟก้าและวัตสันให้ดีเสียก่อน ก็มีแต่จะทำให้เรื่องราวทั้งหมดเลวร้ายลงยิ่งกว่าเดิม”

               “ตอนนี้ฉันกับรุ่นพี่วัตสันพอจะมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาอยู่บ้าง เอาไว้ค่อยพูดคุยกันอีกทีหลังจากนี้นะคะ”

               “เข้าใจแล้วล่ะ” พ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนผงกศีรษะตอบรับ

               หลังจากนั้นบทสนทนาของทั้งคู่ก็ได้ถูกทิ้งช่วงลงโดยที่ต่างคนต่างไม่พูดจาอะไร ขณะเดียวกันสเตฟาเนียนึกใคร่ครวญถึงหัวข้อสำคัญอย่างถี่ถ้วนก่อนจะหันไปพูดคุยกับเขาอีกครั้ง คราวนี้สีหน้าของเธอสื่อถึงความสลดหดหู่ใจอย่างชัดเจน

               “รุ่นพี่เลวอน โมนิก้าน่ะเธอรักคุณมากเลยนะคะ รู้ตัวบ้างรึเปล่า?”

               “…!”

               เลวอนตาเบิกโพลงเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเขาประหลาดใจที่ตัวเองเพิ่งรับทราบความจริงเอาป่านนี้ เพียงแต่รู้สึกฉงนใจอีกฝ่ายเกริ่นเรื่องสำคัญออกมาต่างหาก แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็ได้คำตอบแก่เธอพร้อมทั้งเหตุผลกลับไปสั้น ๆ อย่างท่าทีสุขุม

               “รู้อยู่แล้วล่ะ รู้สึกตัวมาตั้งหลายปีแล้วด้วย… แต่ถึงอย่างนั้นตัวผมก็ไม่อาจคู่ควรหรือที่จะตอบสนองต่อความต้องการของโมนิก้าได้อยู่ดี เพราะผมมันเป็นผู้ชายอ่อนแอและไม่สมควรที่จะได้รับความรักจากใครยังไงล่ะ… อุ๊บ!?”

               สิ้นเสียงคำพูดสุดท้ายของเลวอน สเตฟาเนียรีบหมุนตัวเอื้อมสองมือบางเข้าไปหยิกดึงแก้มของเด็กหนุ่มอย่างจังพลางจ้องเขม็งคิ้วขมวดใส่ทันที ส่งผลทำให้เขาต้องชะงักฝีเท้าพร้อมทั้งแสดงอาการหวาดผวา รีบยกสองมือขึ้นมารั้งแขนเธอหวังให้อีกฝ่ายผ่อนแรงลง จากนั้นแม่มดสาวแสนซนจึงเริ่มเกริ่นเทศนาตักเตือนอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ

               “ฉันโกรธมากเลยนะคะที่รุ่นพี่พูดออกมาแบบนั้น การที่โมนิก้ามอบความรักให้คุณอย่างสุดหัวใจ นั่นเป็นเพราะว่าเด็กคนนั้นมองเห็นถึงข้อดีของคุณยังไงล่ะ… เพราะงั้นได้โปรดช่วยเลิกพูดจาดูถูกหรือเกลียดชังตัวเองสักทีเถอะค่ะ”

               “โอ๊ย! ข… เข้าใจแล้ว ๆ ผมขอโทษ!”

               เลวอนยอมรับคำขอโดยดุษณี สเตฟาเนียคลายสองมือออกจากแก้มที่แดงฝาดของเขา จากนั้นทั้งคู่จึงก้าวเท้าเดินทางต่อไปเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา อย่างไรก็ดีแม่มดสาวผมสีส้มยังคงชักชวนอีกฝ่ายพูดคุยไปพลาง และซักถามข้อสงสัยถึงเรื่องที่ตนเองกำลังให้ความสนใจดังนี้

               “แล้วรุ่นพี่รู้สึกยังไงกับโมนิก้าคะ รักเธอบ้างรึเปล่า?”

               “ถึงจะเรียกว่ารักได้ไม่เต็มปาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้นั่นก็คือผมชอบโมนิก้า อีกทั้งยังรู้สึกดีที่ได้ใกล้ชิดทุกครั้งด้วย… สำหรับผมแล้วคำว่า ‘รัก’ กับคำว่า ‘ชอบ’ นั้นมันมีความหมายที่แตกต่างกันชัดเจนนะ”

               เลวอนสารภาพความรู้สึกทั้งที่สายตายังคงจับจ้องมองเส้นเบื้องหน้า สเตฟาเนียผงกศีรษะเห็นพ้อง

               “ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ สำหรับฉันคำว่า ‘ชอบ’ หมายถึงการที่เรากำลังหลงใหลใครสักคน และรู้สึกดีที่ได้อยู่เคียงข้างเขา… ส่วนคำว่า ‘รัก’ คือการที่คนคนนั้นมีความสำคัญต่อชีวิตเรา และไม่อยากจะสูญเสียเขาไป ยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เขามีความสุขสมปรารถนา หรือแลกได้แม้กระทั่งชีวิตเพื่อปกป้องคนที่ตัวเองรัก…

               แน่นอนว่ามันไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเฉพาะคู่รักวัยหนุ่มสาวหรอกนะคะ ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทหรือคนในครอบครัวเองก็มีความรักต่อกันได้ ถึงแม้ว่ารูปแบบของมันจะแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยก็เถอะ”

               “นั่นสินะ แต่ผมเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่เลย ว่าจากนี้ไปควรปฏิบัติตัวต่อโมนิก้ายังไงดี… ผมน่ะไม่อยากจะทำให้เธอคนนั้นต้องเจ็บปวดหรือรู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้วล่ะ”

               เลวอนก้มใบหน้าลงเล็กน้อยด้วยความกังวลใจ สเตฟาเนียจึงให้คำแนะนำแก่เขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามปกติ

               “ไม่เห็นต้องคิดอะไรให้ยุ่งยากเลยค่ะ หลังจากที่พวกเราสามคนปรึกษาหารือ และฝึกสอนวิชาการปรุงยากันเสร็จแล้ว ถึงตอนนั้นรุ่นพี่เลวอนรีบแวะไปหาโมนิก้าถึงบ้านเลย จากนั้นค่อย ๆ ปรับความเข้าใจกันให้เรียบร้อย”

               “อื้ม เข้าใจแล้วล่ะ”

               พ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนผงกศีรษะน้อมรับด้วยสีหน้าท่าทีแน่วแน่ โดยที่เขาและเธอยังคงเดินทางต่อไป ทว่าภายหลังจากสิ้นสุดบทสนทนาได้ไม่นานนัก สเตฟาเนียก็เริ่มขยับแขนขวาจูงมือซ้ายของเลวอนแล้วกุมเอาไว้แน่นคอยปลอบโยน ทำให้ฝ่ายชายออกอาการประหลาดใจเล็กน้อย

               “ส… สเตฟก้า?”

               “ถ้าหากรุ่นพี่มีเรื่องทุกข์ใจหรือมีปัญหาอะไร ก็โทรมาปรึกษาพูดคุยกับฉันได้ทุกเมื่อเลยนะคะ”

               แม่มดสาวนัยน์ตาสีส้มสดใสเปล่งน้ำเสียงแผ่วเบา สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและความรู้สึกอบอุ่น แม้นว่าสีหน้าของเธอนั้นราบเรียบจนยากจะสื่ออารมณ์ที่แท้จริงออกมาอย่างชัดเจนก็ตาม พ่อมดหนุ่มรูปงามกุมกระชับมือเล็กบางเธอไว้ให้แน่นเพื่อตอบสนองความรู้สึกของอีกฝ่าย พร้อมทั้งกล่าวคำซาบซึ้งในน้ำใจ

               “อื้อ ขอบคุณมากนะ”

               ถึงแม้จะเป็นประโยคเพียงแค่สั้น ๆ แต่มันก็อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกจริงใจจากเลวอน จนสเตฟาเนียเผยรอยยิ้มละมุนให้แก่เขา สองหนุ่มสาวได้ก้าวเท้าจูงมือเคียงกันหาได้สนใจสิ่งรอบข้างอื่นใดทั้งสิ้น ราวกับว่าหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคานแห่งนี้มีเพียงแค่เขาและเธอเท่านั้น

               แต่หารู้ไม่ว่าบนฟากฟ้าสีครามเหนือพื้นดินนั้น มีใครบางคนกำลังแอบติดตามเลวอนกับสเตฟาเนียอยู่ห่าง ๆ

               “…คุณเลวอน”

               โมนิก้า เด็กสาวร่างเล็กบางเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีน้ำตาลอ่อนในชุดเครื่องแบบประจำตัว ได้ขี่ไม้กวาดล่องลอยบนกลางอากาศซึ่งอยู่สูงจากพื้นดินเกือบยี่สิบเมตร โดยที่เธอจับจ้องแอบเฝ้าสังเกตการณ์สองหนุ่มสาวมาได้สักพักหนึ่งแล้ว

               เดิมทีโมนิก้าตั้งใจอยากจะพบเจอเลวอนเพื่อกล่าวคำขอโทษ รวมถึงพูดคุยปรับความเข้าใจกัน ทว่าหลังจากที่ได้เห็นเพื่อนสนิทอย่างสเตฟาเนียเข้ามาแย่งชิงตัดหน้าไปเสียก่อน เธอจึงไม่คิดอยากจะเข้าไปแทรกแซงพวกเขาตอนนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วความสัมพันธ์ของทั้งสามคนอาจต้องพังทลายลงเพียงเพราะน้ำมือของตนเอง

               “ฉันควรต้องเป็นฝ่ายถอยห่างออกไปงั้นสินะคะ…”

               ในที่สุดแม่มดสาวนักพยากรณ์จึงตัดสินใจบินออกจากพื้นที่นี้ไปด้วยสีหน้าเศร้าสลด ภายในใจของเธอรู้สึกขุ่นมัวมากเสียยิ่งกว่าเมื่อครั้งก่อน แต่ถึงกระนั้นแล้วสิ่งที่พบเห็นในวันนี้มันกลับกลายเป็นชนวนสำคัญ ที่ทำให้เธอกล้าตัดสินใจเพื่อเตรียมลงมือกระทำการบางสิ่งบางอย่าง

               เพื่อให้เลวอนยอมรับและสนใจในตัวโมนิก้ามากยิ่งขึ้นกว่านี้

Options

not work with dark mode
Reset