มันเป็นปมอยู่ในใจ แม้เขาจะพร่ำบอกว่าเขาไม่ได้ทำ แต่เธอสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเขาไปเสียสิ้น
ตอนนี้ ความเชื่อมั่นนั้นคล้ายว่ากลับมาอีกครั้ง…
หญิงสาวเดินเข้าไปหยิบขันตักน้ำ วางเสื้อยืดลงไปในนั้นก่อนเดินกลับออกมา วางขันลงบนโต๊ะ หยิบเสื้อที่เปียกชุ่มขึ้นมาบิดหมาด ๆ ก่อนเดินไปนั่งบนเตียงข้างร่างใหญ่ที่นอนหลับสนิท
เธอพิศใบหน้านั้นอยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกต่าง ๆหลั่งไหลประดังประเดเข้ามา
ณ เวลานั้นความไว้เนื้อเชื่อใจในนายไฟคนนั้นมันหมดลงแล้ว เหลือแต่ความหวาดระแวงเจ็บปวด แต่มาตอนนี้ หากสิ่งที่เขาบอกในจดหมายมันจริงทั้งหมดล่ะ !
คุณพ่อใช้ช่วงจังหวะที่เขาออกมาจากหมู่บ้านให้ลูกน้องไปเผาคนที่นั่นจนสิ้นชีพในกองเพลิง เพื่อหวังผลประโยชน์จากผืนดินนั้นและเขาก็ได้กำไรจากมันมหาศาล และการที่เธอทำไม่รู้ไม่ชี้ บอกว่าไม่รู้จักเขา แถมยังมีผู้ชายอีกคนมาแสดงความชิดใกล้ราวกับเป็นเจ้าเข้าเจ้าของกันมาเนิ่นนานนั้นอีก
ในเมื่อทุกอย่างประจวบเหมาะพอดี มันก็ไม่แปลกที่เขาจะปะติดปะต่อเอาเองว่า ตัวเธอนั้นก็ร่วมมือกับพ่อเพื่อหลอกลวงเขา
ถ้าเธอเป็นเขา เธอจะเจ็บปวดเคียดแค้นสักเพียงใด หากคนที่เรารักหักหลังเรา แถมยังทำลายคนที่เรารักให้จากไปโดยไม่มีวันหวนกลับ ซ้ำยังสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่เหลือสินทรัพย์และที่อยู่อาศัย
น้ำตาใสไหลอาบแก้ม ก่อนมือเรียวจะยกขึ้นแนบใบหน้าคมสันซีกหนึ่ง
“ ไฟ หมอกขอโทษนะ ” ดวงตาคมที่หลับสนิทค่อยหรี่ปรือขึ้น เมื่อเห็นชัดว่าคนตรงหน้าเป็นใคร ริมฝีปากก็คลี่ยิ้มออกไป
“ หมอก ” ก่อนจะค่อย ๆ ยกมือหนาทั้งคู่ขึ้นมากุมทับมือเธอไว้ อีกข้างเอื้อมไปแตะใบหน้าเธอเช่นกัน
“ หมอกจริง ๆ ใช่ไหม ” เธอพยักหน้าทั้งน้ำตาและรอยยิ้ม
“ ใช่ นี่หมอกเอง หมอกเองไฟ ”
“ เรานึกว่าเราใกล้ตายแล้วเห็นภาพลวงตา นี่หมอกจริง ๆ ด้วย ” เขาว่าเสียงแหบคล้ายจะหมดแรงพลางใช้มือสัมผัสไปตามเรือนกายของเธอราวกับว่าจะพิสูจน์ว่าใช่เธอจริง ๆ ซึ่งนั่นทำให้น้ำตายิ่งหลั่งไหลอาบใบหน้างามมากขึ้น
“ อย่าพูดแบบนั้นสิไฟ ไฟไม่ตายหรอก ต้องไม่ตาย เดี๋ยวหมอกเช็ดตัวให้นะ เดี๋ยวไข้ลดลงก็ดีขึ้นแล้ว ”
เธอว่าพลางกุลีกุจอใช้ผ้าเช็ดบนใบหน้า ซอกคอ และแขนทั้งสองข้าง ขณะจะดึงผ้าห่มที่คลุมตัวออกเพื่อเช็ดส่วนอื่น มือใหญ่ก็ยึดไว้แน่น
“ อย่าเอาผ้าออก เราหนาว ”
แป๊บเดียว ” แต่เขายังยืนยันด้วยการส่ายหน้าดิก
“ ไม่เอา เช็ดแค่หน้ากับแขนก็พอแล้ว ” เธอขมวดคิ้วที่เขาดื้อ แต่ก็ยอมทำตาม
ขณะเธอบรรจงใช้ผ้าเช็ดไปตามใบหน้าและแขนอีกครั้ง เขาก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ
“ หมอกยังรักไฟหรือเปล่า ” ใบหน้าหวานแดงระเรื่อ ทว่าไม่ได้เอ่ยตอบอันใด
“ ทำไมเงียบ ”
“ เอาไว้คุยกันทีหลัง ”
“ แต่เราอยากรู้ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ”
เธอก็ยังเงียบ แต่เสพูดไปอย่างอื่น
“ หิวไหม เดี๋ยวไปหาอะไรมาให้กิน จะขี่มอเตอร์ไซค์ไปซื้อก๋วยเตี๋ยวให้ ” ชายหนุ่มส่ายศีรษะ
“ ไม่หิว ”
“ แต่ต้องกินนะ จะได้มีแรงต่อสู้กับไข้ เดี๋ยวออกไปซื้อมาให้ ” เธอว่าพลางลุกขึ้นยืน เขาคว้าข้อมือเธอเอาไว้แล้วกระตุกจนร่างบางเซถลามาบนอกแกร่ง
“ อุ๊ย ! อะไรเนี่ยไฟ ทำไมทำแบบนี้ ” ชายหนุ่มกอดรัดเธอไว้แนบอก
“ เราไม่หิว ไม่อยากให้หมอกไปไหน อยากให้หมอกอยู่ตรงนี้กับเรานาน ๆ อย่าไปจากเราอีกเลยนะ ”
เสียงพร่าเอ่ยเว้าวอน สายตาคมประสานออดอ้อนไม่ให้เธอไป ก่อนจะประคองใบหน้าเธอไว้ แล้วโน้มใบหน้าเข้าใกล้ จนเกือบริมฝีปากแนบชิดกันอยู่แล้ว ทว่าหญิงสาวกลับยกมือขึ้นผลักไสแล้วลุกหนีหยิบผ้าและขันเดินหนีเข้าห้องน้ำไป บิดเสื้อของเขาให้หมาดแห้งแล้วเดินไปตากมันที่ระเบียงเล็ก ๆ ด้านหลัง ก่อนจะเดินกลับมาด้านใน
“ เดี๋ยวมานะ ”
เธอบอกก่อนปรายตามองไปที่เขา ทว่ามีบางสิ่งผิดปกติ เขาไม่ตอบรับด้วยกิริยาใด ๆ ตรงกันข้ามเขานิ่ง นิ่งเกินไปจนคล้ายกับตัวแข็ง
อวัศยาตัวชาวาบ ฟองสีขาวไหลออกทางมุมปากของชายหนุ่มที่นอนตาค้างอยู่อย่างนั้น
“ ไฟ ! ” เธอกรีดร้องเรียกชื่อเขาอย่างตกใจพลางถลาเข้าไปกอดเขาไว้ ยกศีรษะเขาขึ้นนอนบนตัก
“ ไฟเป็นอะไร ทำไมเป็นแบบนี้ ” ทว่าเขาไม่ได้ตอบอะไร นอกจากหอบหายใจแรงและน้ำลายฟูมปาก ตัวแข็งทื่อ
“ ไฟ อย่าเป็นอะไรไปนะ ไม่นะ เดี๋ยวหมอกจะโทรตามหมอหนามให้กลับมาดูไฟเดี๋ยวนี้ ไฟรอแป๊บนึงนะ ”
เธอระล่ำระลักว่าพลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากระโปรง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดหาหมายเลขปลายทางที่ต้องการ ไม่นานปลายสายก็กดรับ