เมื่อเห็นบิลลี่วาดไม้กางเขนบนหน้าอก ฉินสือโอวคิดว่าเขาชัก จึงจับไหล่ของเขาเขย่าด้วยแรงทั้งหมด และถามว่า “นายยังโอเคอยู่ไหม?”
บิลลี่กลอกตาไปมาด้วยความโกรธ “แน่นอนฉันยังโอเค ฉันกำลังสวดมนต์และแสดงความขอบคุณ แล้วนายทำอะไรของนาย?”
ฉินสือโอวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และดึงมือกลับ วินนี่ตีฝ่ามือของเขา เพราะรู้ว่าเขาตั้งใจแกล้งบิลลี่ เถียนกวาก็ตามมาตีฝ่ามือของเขา หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองได้เปรียบ จึงแอบหัวเราะฮึๆ อยู่ตรงนั้น
สถานที่จัดงานแต่งงานไม่มีอะไรให้แนะนำ เพราะเขาเคยประสบมาแล้วรอบหนึ่ง ครั้งนี้ก็แค่สถานที่เปลี่ยน เจ้าของงานเปลี่ยน เจ้าบ่าวเจ้าสาวเปลี่ยนเท่านั้นเอง บาทหลวงเป็นประธานเสร็จ เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก็จะแลกแหวนแต่งงานกัน ที่เหลือก็คือกินและดื่ม
แน่นอนว่า ก่อนหน้านั้นมีอีกหนึ่งขั้นตอนคือมอบของขวัญอวยพรให้ ของที่ฉินสือโอวกับวินนี่มอบให้คือไข่มุกสีดำกับปะการังสีแดงใต้ทะเลลึก หลังจากกล่องเปิดออก ไข่มุกสีดำลึกลับและมืดมน ปะการังสีแดงงดงามและเผ็ดร้อน ทุกชิ้นล้วนเป็นของชั้นยอด
ไม่นานหลังจากนั้นทุกคนก็กลับมาที่คฤหาสน์ มีโต๊ะยาวหลายตัวจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ฉินสือโอวดูทำอะไรไม่ถูก นี่คือจังหวะที่ต้องกินอาหารฝรั่ง
ในตอนนั้นอาหารที่เขาใช้ในงานแต่งงานคือแบบบุฟเฟ่ต์ แบบนี้มีข้อดีคือทุกคนสามารถกินสิ่งที่ตัวเองชอบได้ ยิ่งไปกว่านั้นสามารถล้อมเป็นวงกลมมาพูดคุยกันได้ตามใจชอบอีกด้วย
ตระกูลแบรนดอนเป็นขุนนางยุคเก่า อาหารกับไวน์ที่ใช้ในการจัดงานแต่งงานจะเข้มงวดมาก ฉินสือโอวไม่ค่อยสนใจอาหารฝรั่ง แต่เหล้าขาวกับซุปครีมหอยอยู่ด้วยกันก็ไม่เลว เขาอยากได้ขนมปังมาจิ้มกินจะมีความสุขมาก สเต๊กที่อยู่ด้านหลังก็ไม่ขยับเลยเหมือนกัน ส่งมาแบบไหนก็ลงเอยแบบนั้น
บิลลี่นั่งอยู่ด้านข้างของฉินสือโอว เดิมทีด้านข้างของเขาจัดไว้ให้นักธุรกิจท้องถิ่นคนหนึ่ง เพราะชานน่ามาจึงถูกย้ายไปชั่วคราว ตอนนี้จึงเปลี่ยนเป็นชานน่าแทน
ตอนที่ทานอาหารนอกจากดื่มอวยพรให้คู่บ่าวสาวหลายครั้งแล้ว เวลาอื่นบิลลี่ก็คุยเล่นเสียงเบาๆ กับชานน่า หยอกล้อชานน่าจนยิ้มออกมาอย่างต่อเนื่อง
ฉินสือโอวเหลืองมองอยู่สองครั้ง และพูดเสียงเบาๆ กับวินนี่ “อย่าบอกนะว่าพวกเรามาครั้งนี้ ยังสามารถทำให้เกิดเรื่องดีๆ ขึ้นได้อีกด้วย?”
วินนี่หั่นสเต๊กไปด้วยยักไหล่ไปด้วย “ถ้าเป็นอย่างนั้น ครั้งนี้พวกเราก็ไม่ได้มาเปล่าๆ ถ้าบิลลี่กับชานน่าสามารถตกหลุมรักกันได้ก็ดี ฉันรู้ว่าทั้งสองคนต่างก็เป็นคนดี”
ฉินสือโอวถอนหายใจ “อาจจะไม่ คุณรู้จักบิลลี่ไม่มากพอ ผมรู้สึกว่าชานน่าจะถูกบิลลี่หลอก และเธอจะเกลียดคุณจนตาย”
ขณะที่พูด เขากวักมือเรียกบริกรให้มาเอาจานเปล่าที่ตัวเองดื่มซุปข้นหมดแล้วไป หลังจากนั้นก็ยกจานของลูกสาวที่อยู่ข้างๆ มาอย่างคล่องแคล่ว และใช้ขนมปังจิ้มกินต่ออย่างชื่นมื่น
ยัยตัวเล็กกำลังใช้ช้อนคันเล็กตักซุปดื่มอย่างมีความสุข แต่จู่ๆ มันก็ถูกยกไปเธอจึงโกรธในทันที เธอแกว่งขาเล็กๆ ยื่นมือออกไปและตะโกนว่า “ปะป๊า เกลียด! เกลียด! เกลียด!”
ฉินสือโอวแกล้งทำเป็นเช็ดมุมปากให้เธออย่างรู้ใจ และยิ้ม “อย่ากินเลย หนูยังเด็ก กินอะไรต้องควบคุม ไม่อย่างนั้นหลังจากนี้จะกลายเป็นยัยหมูอ้วน!”
ใบหน้าของวินนี่เต็มไปด้วยอาการทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นพ่อกับลูกสาวตีกัน แต่ก็เต็มไปด้วยความสุขเช่นกัน ชานน่าสังเกตเห็นฉากนี้ ตอนที่เผชิญหน้ากับบิลลี่เธอก็ยิ้มอย่างมีความสุข
หลังจากทานอาหารของหวานและไอศกรีม ฉินสือโอวก็เตรียมจะเดินออกไป บิลลี่ดึงเขาไว้และพูดเสียงเบาๆ “ฉันรู้สึกว่าฉันตกหลุมรักสาวน้อยน่ารักคนนี้ ฟาร์มปลาของนายยังมีไข่มุกสีดำอยู่อีกเยอะใช่ไหม? ฉันอยากได้บ้างวันหลัง จะทำเป็นของขวัญไปมอบให้เธอ”
ฉินสือโอวถามว่า “ต้องการเท่าไหร่?”
บิลลี่ตอบว่า “สี่ห้าเม็ดก็พอแล้ว ทำเป็นต่างหูกับจี้สร้อยคอให้เธอ ราคาประมาณเท่าไหร่?”
ฉินสือโอวตบบ่าของเขาและพูดอย่างเป็นธรรม “ต้องการเงินอะไร? ความสัมพันธ์นี้ของพวกเรา ก็ถือว่าฉันให้นาย สนับสนุนการหาภรรยาในอนาคตของนาย”
ใบหน้าของบิลลี่เต็มไปด้วยความตื้นตันใจในทันที “งั้นที่ฉันได้ยินมาว่าในมือของนายยังมีปะการังสีแดงใต้ทะเลลึกอยู่จำนวนหนึ่ง…”
“ไปไกลๆ เลย!” ฉินสือโอวเกรี้ยวกราดแบบไม่ไว้หน้าใครทันที
ในงานแต่งงาน วินนี่กับเพื่อนร่วมชั้นในลอนดอนรวมตัวกันอีกครั้ง ฉินสือโอวอยู่เล่นกับลูกสาวและเจ้าตัวน้อยพวกนี้ที่ฟาร์ม แต่บิลลี่เดินออกไปเป็นคนแรก เขาบอกว่าเขาจะไม่ไปเก็บกู้ในมหาสมุทรแล้ว เขาจะไปสอบเข้าเรียนหลักสูตรบัณฑิตศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งเวสเทิร์นออนแทริโอ
ฉินสือโอวคิดว่าเขาพูดเล่น ผลคือตอนกลางคืนชายคนนี้นั่งกดปุ่มดังแกร๊กๆ อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เขาได้รับจดหมายสัมภาษณ์สำหรับนักศึกษาปริญญาโทมหาวิทยาลัยไอวีลีกจริงๆ
“นายเอาจริงเหรอ?”
“แน่นอน ฉันทำงานไม่จริงจังตอนไหน?” บิลลี่พูดอย่างหมดความอดทน
ฉินสือโอวถามด้วยความแปลกใจ “แต่นักศึกษาปริญญาโทต้องสอบเข้า นายไม่ต้องสอบก็เข้าไปสัมภาษณ์ได้เหรอ?”
บิลลี่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ และรัวนิ้ว “นายอาจจะไม่รู้ ฉันเคยบริจาคเงิน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้โรงเรียนเก่าของฉันเพื่อนำไปปรับปรุงห้องวิจัย ดังนั้น ถ้าฉันต้องการจดหมายเชิญเข้าเป็นนักศึกษาปริญญาโทนั้นง่ายมาก อาจารย์บางคนเต็มใจรับฉันอยู่แล้ว”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉินสือโอวก็นึกถึงกลเม็ดบางอย่างในมหาวิทยาลัยที่อเมริกาขึ้นมาได้ นั่นก็คือการบริจาคเงินของบัณฑิต
มหาวิทยาลัยชั้นนำในยุโรปและอเมริกานั้นเพื่อพิสูจน์ความยุติธรรมของตัวเอง พวกเขาจะเน้นย้ำเสมอว่าการรับสมัครนักศึกษาของตัวเองคือ การเพิกเฉยความต้องการ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เวลาที่รับสมัครไม่ว่านักเรียนจะสามารถค่าเล่าเรียนได้หรือไม่ ขอเพียงแค่เกรดถึงตรงตามความต้องการ นั่นก็สามารถเข้ารับการศึกษาได้ ตัวอย่างเช่นมหาวิทยาลัยอย่างฮาร์วาร์ดจะยกเว้นค่าเล่าเรียนสำหรับนักเรียนที่ยากจนหรือชนชั้นกลางให้
โรงเรียนที่มีชื่อเสียงบางทีอาจจะทำแบบนี้จริง แต่นั่นคือพวกเขาซื้อชื่อเสียงให้ตัวเอง ความจริงพวกเขามีวิธีสร้างรายได้แบบอื่นอยู่ นั่นก็คือรับบัณฑิต
การบริจาคและการรับเข้าเรียน กลายเป็นกติกาซ่อนเร้นอย่างหนึ่งของมหาวิทยาลัยในยุโรปและอเมริกา ไม่ใช่แค่ว่ามหาวิทยาลัยจะตอบแทนหลังจากคนรวยบริจาคเงิน แต่มหาวิทยาลัยที่มีความทะเยอทะยานสูง ก็มักจะรีบรับลูกของคนรวยเข้าเรียนเหมือนกัน พวกเขาจะเอาอกเอาใจคนรวยอย่างไม่หยุดหย่อน และคาดหวังว่าจะได้รับการบริจาคเงินจำนวนมาก
จากการสำรวจทางสังคมสำรวจ ขอเพียงแค่สนับสนุน 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ นักเรียนก็สามารถถูกมหาวิทยาลัยเอกชนทั่วไปรับเข้าเรียนได้ก่อนเป็นพิเศษ มหาวิทยาลัยที่ค่อนข้างโดดเด่น จำนวนเงินที่ได้รับจะสูงถึง 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ปกครองของนักเรียนจะต้องสัญญาว่าในอนาคตจะบริจาคเงินมากยิ่งขึ้น
มหาลัยที่โดดเด่นกว่านั้นอีก ตัวอย่างเช่นมหาวิทยาลัยที่จัดอยู่ใน 25 อันดับแรก ต้องบริจาคเงินอย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐถึงจะได้รับวุฒิในการเข้าเรียน และมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง 10 อันดับแรกพวกนั้น การบริจาคเงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐก็แค่ผ่านเกณฑ์
ดังนั้นที่สหรัฐอเมริกากับแคนาดา ลูกของคนที่มีเงินกับคนที่ไม่มีเงินจะไม่มีโอกาสแข่งขันกันอย่างยุติธรรมโดยสมบูรณ์
ก็เอากอร์ดอนกับไวส์ที่ทะเลาะกันทุกวันมาเป็นตัวอย่าง ถ้าไม่ใช่เออร์บักรับเลี้ยงเด็กพวกนั้น แม้แต่โอกาสเข้าเรียนพวกเขาก็ไม่มี แล้วไวส์ล่ะ? ตอนนี้เขาฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกวัน แต่หลังจากนั้นอย่างน้อยก็สามารถเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอย่างมหาวิทยาลัยชิคาโกได้ เพราะพ่อแม่และพวกปู่ย่าตายายของเขาใช้การบริจาคเงินปูทางเข้ามหาวิทยาลัยไว้ให้เขาแล้ว
ระบบทุนนิยมที่ชั่วร้าย ท่านชายฉินคิดอย่างไม่เข้าใจ นายทุนพวกนี้ครอบครองทรัพยากรมากมายของสามัญชนคนทั่วไปไว้ แบบนั้นครอบครัวที่ยากจนจะให้กำเนิดลูกได้อย่างไรล่ะ?
วินนี่กลับมาทีหลัง เขาจึงถามว่า “ผมว่า ที่รัก คุณเคยคิดจะบริจาคเงินให้โรงเรียนของพวกคุณบ้างไหม?”
วินนี่เช็ดเครื่องสำอางออกและพูดว่า “ตอนที่เข้าเรียนเคยคิดนะ แต่ตอนนี้ไม่คิดแล้ว”
ฉินสือโอวถามว่า “ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”
วินนี่ยักไหล่ “เพราะตอนที่เข้าเรียนฉันยังเด็กมากล่ะมั้ง แต่ตอนนี้ฉันโตแล้ว เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ คุณถึงคิดจะถามคำถามนี้?”
………………………
Related
ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1689 การบริจาคเงินให้โรงเรียนที่มีชื่อเสียง
Posted by ? Views, Released on January 16, 2022
, ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา
ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท
หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง
แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้
นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา
แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี
นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก
จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน
กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี
ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป
ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’
ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา
จากนั้นมา…
จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้
และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!