ตอนที่ 430 กลับวัง
องค์หญิงหรงเย่ว์ครุ่นคิดอยู่สักครู่ นางประคองใบหน้าเซียงฉือแล้วพูดอย่างจริงใจ
“พี่เซียงฉือ พี่น่าสงสารแบบนี้ยังคิดจะให้ของกินกับข้าอีก แต่พี่ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าหากเสด็จพ่อประทานของอร่อยให้ พี่ก็ให้กงกงเสี่ยวลี่จื่อส่งมาก็ได้ พี่ไม่ต้องมาเอง รักษาอาการบาดเจ็บให้ดีเถอะ”
คำพูดของเด็กทำเอาเซียงฉืออยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา สีหน้ากล้ำกลืน นางใช้หน้าผากสัมผัสจมูกองค์หญิงหรงเย่ว์
“ตัวเล็กแต่แก่แดดจริงๆ เลย”
หรงเย่ว์ฟังแล้วก็ซุกไซ้นางบ้างแล้วแอบหัวเราะ
หรงเย่ว์เป็นเด็กฉลาดอย่างยิ่งและปกปิดเก่งเหมือนมารดานาง นอกจากคนสนิทคุ้นเคยแล้ว คนอื่นจะมองนางเป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงนางดูสีหน้าคนเป็น
เซียงฉือปรารถนาให้จิ้งเฟยได้ฉลองวันเกิดอย่างดีแต่ไม่คิดว่าจะเกิดเพลิงไหม้ พอคิดขึ้นมาแล้วก็รู้สึกหวาดกลัว ครั้งนี้มีทหารเรือมาช่วยดับเพลิงด้วย เพลิงจึงได้สงบลงโดยเร็ว
แต่คนทั้งบ้านต่างนั่งอยู่กลางลานอย่างน่าสงสาร หมดเรี่ยวหมดแรงไปตามๆ กัน
นายหญิงของบ้านเจ็บป่วยอยู่ สะใภ้ถึงจะอ่อนวัยแต่ทำการงานได้อย่างน่าเชื่อถือ จิ้งเฟยเป็นบุตรสาวที่ออกเรือนแล้วจึงไม่ออกหน้า เซียงฉืออุ้มหรงเย่ว์กำลังกล่อมให้นางหลับ
คืนนี้โกลาหลอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเพลิงไหม้ในครั้งนี้เกิดเพราะเหตุใด ทั้งไม่รู้ว่าบรรลุเป้าประสงค์ของใครหรือไม่
เป็นเพราะเกิดเพลิงไหม้บ้านทำให้มีเรื่องต้องจัดการมากมาย นางเป็นบุตรสาวที่กลับมาเยี่ยมบ้านจึงกลายเป็นความยุ่งยากใหญ่ ดังนั้นจิ้งเฟยจึงได้เสด็จกลับวังแต่เช้า ถึงแม้จะยิ่งยากตัดใจลา
แต่นางก็เข้าใจชะตาชีวิตของตนเองดีจึงได้กลับเข้าวังอย่างสง่างาม กลับไปยังตำหนักเฮ่อเหลียนของนาง
ถึงแม้สาเหตุเพลิงไหม้ยังไม่ได้ตรวจสอบกระจ่างชัด แต่จิ้งเฟยเป็นเจ้านายที่มีความเมตตาอย่างยิ่ง
พอกลับถึงวังนางก็เขียนใบกราบบังคมทูลฮ่องเต้ขึ้นฉบับหนึ่ง
ประการแรกนางสำนึกในความกรุณาที่ฮ่องเต้อนุญาตให้นางกลับบ้านเยี่ยนญาติ เรื่องที่สองคือเรื่องไฟไหม้บ้าน เพื่อขออภัยโทษให้แก่เซียงฉือและฉู่อวิ๋นเซียว
ตอนเซียงฉือได้รับรายงานฉบับนี้นางทอดถอนใจ จิ้งเฟยมีความโอบอ้อมอารีถึงเพียงนี้ ทำให้นางซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อนางส่งจิ้งเฟยกลับตำหนักเฮ่อเหลียนแล้วจึงกลับตำหนักเจิ้งหยาง
หรงจิงเสด็จไปตำหนักจินหลวนและยังไม่เลิกประชุม เซียงฉือจึงได้นำของเล่นที่ซื้อมาจากข้างนอกออกมาจัด
นางจัดประเภทแยกเก็บ ทันทีที่มองเห็นโคมไฟที่มีภาพต้นท้อก็บังเกิดความเศร้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
นางออกนอกวังครั้งนี้ด้วยหวังว่าจะสามารถพูดคุยกับเหอเจี่ยนสุยได้มากขึ้น เพราะว่าไม่ได้พบกันเช่นนี้มานาน
แต่ว่าไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนักทว่าเกิดเรื่องราวขึ้นไม่น้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะระยะนี้นางอยู่ใกล้หรงจิงจึงทำให้มีความรู้สึกไวหรือไม่ ที่ทำให้นางรู้สึกว่าเหอเจี่ยนสุยดูแปลกไปมาก
นางหวนคิดมาตลอด ยามที่นางเอ่ยกับเหอเจี่ยนสุยถึงชายคนที่ชนนางนั้น สิ่งที่แผ่ซ่านออกจากดวงตาเขาไม่ใช่แววตาของความห่วงใย แต่เป็นความอำมหิตเย็นชา
ทุกครั้งที่นางคิดถึงเรื่องนี้มิวายรู้สึกหวั่นใจ คงเพราะนางเป็นสตรีซึ่งมีความรู้สึกไวโดยธรรมชาติ หรือว่าเป็นเพราะไม่ได้พบกับเหอเจี่ยนสุยมานาน
หรือว่าพวกนางต่างเติบโตขึ้น หลังจากผ่านเรื่องการลงโทษกวาดล้างบ้านสกุลอวิ๋นแล้ว ทำให้ต่างเติบโตขึ้นอีกมาก
เซียงฉือไม่กล้าคิดมากอีกต่อไป เพราะหรงจิงกำลังจะกลับมาแล้ว
นางออกนอกวังทั้งทีจะไม่มีของขวัญให้หรงจิงเลยก็ไม่ได้ นางบรรจงห่อของขวัญแล้ววางไว้บนโต๊ะของหรงจิง
เมื่อนางมองจนเป็นที่พอใจแล้วจึงได้นำสิ่งของอื่นๆ ออกไปจากตำหนักเจิ้งหยาง
แต่เพราะความครึ้มใจชั่วขณะ นางจึงได้ลืมโคมดอกท้อไว้ในตำหนักเจิ้งหยาง
ตอนที่ 431 โคมดอกท้อ
เซียงฉือออกจากตำหนักหน้าของตำหนักเจิ้งหยางไปไม่นาน หรงจิงก็เลิกประชุมกลับตำหนักฉินเจิ้ง
เพียงถึงหน้าประตูเขาก็ยิ้ม เพราะเขาได้กลิ่นหอมจางๆ อันเป็นกลิ่นเฉพาะของเซียงฉือ อบอวลอยู่ในตำหนักฉินเจิ้ง
ถึงเขาจะไม่ชอบจุดควันหอม แต่เซียงฉือกลับชอบควันหอมเยียนเมิ่งเซียงที่ได้รับบรรณาการมาอย่างยิ่ง บางครั้งยังจุดในห้องนอนนาง ทำให้เสื้อผ้าของนางติดกลิ่นเยียนเมิ่งเซียงไปด้วย
กลิ่นเยียนเมิ่งเซียงอ่อนจางอย่างยิ่ง แต่หากติดกลิ่นมันไปแม้เพียงเล็กน้อยก็จะติดตรึงนาน ดังนั้นเพียงนางเดินผ่านตำหนักเจิ้งหยาง หรงจิงก็รู้แล้ว
หรงจิงเดินเข้าตำหนักเจิ้งหยางแล้วเหลียวซ้ายแลขวา ซูกงกงเห็นท่าทางของหรงจิงแล้วอดไม่ได้ต้องล้อขึ้นว่า
“ฝ่าบาท วันนี้ใต้เท้าอวิ๋นกลับมาแล้วแต่ยังมีเรื่องต้องกลับไปรายงานในกองราชเลขา สายหน่อยจึงจะกลับมาพะย่ะค่ะ กระหม่อมเปลี่ยนฉลองพระองค์ให้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
หรงจิงคลำจมูก บ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์
“พอกลับมาก็ออกไป มีงานอะไรที่กองราชเลขากัน”
ซูกงกงแอบยิ้มแต่ไม่ตอบ หรงจิงเดินไปด้านหลังฉากบังลม ซูกงกงผลัดชุดคลุมมังกรให้เขาเปลี่ยนเป็นชุดยาวสีม่วงอ่อนลายมังกรขนดคาดเข็มขัดหยกขาว เปลี่ยนเครื่องประดับศีรษะทองออกเป็นหยกสีม่วงยิ่งสง่างาม
พอหรงจิงเดินออกจากหลังม่านบังลม ช้อนตาขึ้นก็เห็นโคมไฟที่วาดรูปต้นท้อวางอยู่บนโต๊ะ เขาขมวดคิ้ว
“ซูกงกง โคมไฟอันนี้ข้าให้เจ้าเก็บขึ้นแล้วมิใช่หรือ”
ซูกงกงมองตามนิ้วมือหรงจิงตกตะลึงไปเช่นกัน เขาจำได้ว่าได้เก็บขึ้นแล้ว แต่เหตุใดถึงวิ่งออกมาได้อีก
“ฝ่าบาท โคมไฟโคมนี้ไม่ใช่ที่พระองค์ทรงนำกลับมาพ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นโคมไฟที่ใต้เท้าอวิ๋นนำกลับมา กระหม่อมยังนึกว่าฝ่าบาทกับใต้เท้าอวิ๋นซื้อพร้อมกันเสียอีก”
เสี่ยวลี่จื่อยกจานผลไม้สดใหม่เดินเข้ามา ตอนที่เซียงฉือกลับมาเขายังรู้สึกประหลาดใจ หลังจากนั้นจึงรู้ว่าคงเป็นโคมไฟที่ฝ่าบาทซื้อพร้อมกับเซียงฉือ
แต่พอคำพูดสิ้นสุด หรงจิงก็ตะลึง โคมไฟแบบเดียวกัน?
เขาคิดชั่วครู่แล้วเดินเข้าไปลูบตรงด้ามของโคมไฟ มองเห็นบนนั้นเขียนอักษรตัวหนาน [1] ที่ไม่ใหญ่นักไว้ เขาจำได้ว่าของตนเองเขียนอักษรตัวเป่ย [2]
“หรือว่าจะเป็นนาง บุพเพสันนิวาสที่ถูกลิขิตเอาไว้แล้วเช่นนั้นหรือ”
นิ้วมือหรงจิงลูบคลำโคมไฟแล้วมองดูอย่างละเอียด ซูกงกงมีความคิดขึ้นมาอีก เขามองดูโคมไฟนั้นอีกหลายหน
หรงจิงมองดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า
“เรื่องนี้ห้ามไม่ให้นางรู้ พวกเจ้าก็ทำเป็นเสียว่าเมื่อคืนนี้ไม่รู้ไม่เห็นเรื่องอะไรทั้งนั้น”
เมื่อหรงจิงพูดเช่นนี้ เสี่ยวลี่จื่อกับซูกงกงจึงตอบรับ
หรงจิงยิ้ม อารมณ์ดีอย่างยิ่ง ทั้งยังรู้สึกสบายกายมาก
วันนี้ตื่นไปประชุมราชสำนักแต่เช้า เมื่อจัดการเรื่องงานเสร็จก็ใกล้เที่ยงแล้ว โดยปกติจะเป็นเวลาทานอาหารของเขา แต่เขาไม่ได้สั่งให้จัดโต๊ะ กลับถือหนังสือทั่วไปเล่นหนึ่งไปพิงอยู่ข้างเตียง อาศัยแสงสว่างที่ส่องผ่านกระดาษหน้าต่างบางๆ อ่านหนังสือไปเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนังสือสนุกเกินไปหรือว่าอย่างไร มุมปากหรงจิงจึงผุดรอยยิ้มกว้างอยู่ตลอด
ซูกงกงติดตามหรงจิงมานานย่อมเข้าใจเจตนาของเขาดีจึงได้ผลักเสี่ยวลี่จื่อเบาๆ ให้ออกไป เรียกเขาให้ไปเร่งที่กองราชเลขาโดยด่วน หากทำให้ฮ่องเต้ต้องอดอาหารเพราะการรอคอยใต้เท้าอวิ๋นละก็ พวกเขาคงรับผิดชอบไม่ไหว
ยามนี้หรงจิงกำลังอารมณ์ดี เมื่อเห็นกระดานหมากที่วางอยู่เบื้องหน้าพลันนึกถึงท่าทางขี้โกงของเซียงฉือขึ้นมา
นางช่างเป็นคนที่ชวนให้รักจริงๆ
หลายวันที่เซียงฉือไม่อยู่นี้ดูติดขัดไม่น้อย เขายังคิดไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงกระพรวนประจำตัวเซียงฉือดังขึ้น เสียงฝีเท้าเนิบๆ ของนางใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ
[1] หนาน (南 )แปลว่า ทิศใต้
[2] เป่ย (北) แปลว่า ทิศเหนือ