บทที่ 315.2 พลัดหลงเข้าไปในจุดลึกของดอกบัว
ไม่เสียแรงที่จ้งชิวเป็นราชครูของแคว้นหนันเยวี่ยน แค่คิดนิดเดียวก็กระจ่างแจ้ง “ผู้แข็งแกร่งจะยิ่งแข็งแกร่ง โอบกอดกันเพื่อให้ความอบอุ่น ร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเดียว สุดท้ายค่อยแบ่งผลประโยชน์ ไม่พูดถึงในอดีต เอาแค่ครั้งนี้ อวี๋เจินอี้ก็กำลังทำเช่นนี้อยู่จริงๆ ไม่แบ่งแยกธรรมะและอธรรม พยายามจะดึงยอดฝีมือยี่สิบคนแรกมาเป็นพวกเพื่อให้จัดการเจ้าติงอิง ขณะเดียวกันก็ล้อมสังหารเจ๋อเซียนไปด้วย”
กล่าวมาถึงตรงนี้ จ้งชิวก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง เขามองไปทางติงอิงคล้ายไม่เข้าใจ
ติงอิงหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าคิดถูกแล้ว วิธีการที่มั่นคงที่สุดก็คือสิบคนแรกควรรู้อะไรควรไม่ควร รีบเข้ามาเป็นพวกเดียวกับข้า แสวงหาการปกป้อง ขอแค่ข้าออกจากลัทธิมาร ทำเรื่องที่มีคุณธรรม ตั้งกฎที่ดีให้แก่ใต้หล้าอย่างรอบคอบและระมัดระวัง จากนั้นคนที่มีหวังจะได้ขึ้นไปบนรายชื่อแต่ละคนก็อาศัยความสมารถและพรสวรรค์ของตัวเอง สุดท้ายข้าค่อยเป็นคนตัดสินใจว่าเจ้าจ้งชิวอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ เขาอวี๋เจินอี้ได้อยู่สามอันดับแรกหรือไม่ ถ้าเช่นนั้นอย่างน้อยในเวลาหกสิบปีนี้ใต้หล้าก็จะสงบสุข ไหนเลยจะต้องมาต่อยตีสู้กันจนเศษสมองแหลกกระจุย แค่ต่างฝ่ายต่างประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้กันก็พอแล้ว”
จ้งชิวใคร่ครวญอย่างตั้งใจ เพื่อให้แน่ใจว่าติงอิงไม่ใช่แค่คุยโวเท่านั้น
ติงอิงใช้นิ้วเคาะไปบนหัวเข่าเบาๆ เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ผ่อนคลายอย่างยิ่ง “แต่ข้าคิดว่าแบบนี้ไม่น่าสนใจ”
จ้งชิวถามคำถามเดิมอีกครั้ง “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ติงอิงโบกมือ ยังคงไม่ตอบคำถามข้อนี้ แต่เปลี่ยนหัวข้อไปพูดว่า “เจ้ารู้ไว้แค่ว่า สถานการณ์ครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิบคนอะไรนั่นแล้ว สามคนบินทะยานที่มีชีวิตรอดอยู่จนถึงท้ายที่สุดจะสามารถพาคนของใต้หล้าแห่งนี้ไปด้วยกันได้ห้าคน สามคนและหนึ่งคน”
ติงอิงเน้นเสียงหนัก “สามคนไหนก็ได้”
จ้งชิวสีหน้าเป็นปกติ
ติงอิงกระตุกมุมปาก “คนตายก็ได้ ขอแค่เคยมีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ก็ล้วนได้ทั้งนั้น หากเลือกคนตายพวกนั้น พวกเขาจะมีชีวิตกลับคืนมา สติปัญญากลับคืนเป็นปกติ แต่นอกจากนั้นกลับเป็นได้แค่หุ่นเชิดที่จงรักภักดีเท่านั้น แบบนี้น่าสนใจมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
ในสมองของจ้งชิวมีภาพคนมากมายปรากฏขึ้นทันที
เว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยน เชี่ยวชาญการใช้ทวน ถูกขนานนามให้เป็นบุคคลอันดับหนึ่งที่เชี่ยวชาญการวางค่ายกลหลุมพรางตลอดระยะเวลาพันปี
หลูป๋ายเซี่ยงผู้ก่อตั้งลัทธิมาร ตัวการร้ายผู้นำแห่งวิถีมารที่มีชื่อเสียงด้านความอำมหิตเลื่องลือที่สุดในช่วงห้าร้อยปีที่ผ่านมา
เซียนกระบี่สุยโย่วเปียนที่แม้แต่อวี๋เจินอี้ก็ยังให้ความเคารพเลื่อมใส
บุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าก่อนหน้าติงอิง จูเหลี่ยนผู้บ้าคลั่งอย่างสิ้นเชิง
คนเหล่านี้ล้วนเคยเป็นอันดับหนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรีมาก่อน แต่พวกเขาต่างต้องมาตายอยู่ในโลกมนุษย์ทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น ฮ่องเต้เว่ยเซี่ยนแก่ตายตอนอายุสองร้อยสิบปี หลูป๋ายเซี่ยงตายในการล้อมสังหารของยอดฝีมือหลายสิบคน สุยโย่วเปียนตายระหว่างขี่กระบี่บินทะยานภายใต้สายตาผู้คนมากมายที่จ้องมอง คนจำนวนนับไม่ถ้วนเห็นกับตาตัวเองว่าระหว่างที่นางร่วงตกลงมาในโลกมนุษย์ เลือดเนื้อได้หลอมละลาย เหลือเพียงโครงกระดูกขาว จากนั้นก็แหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี จูเหลี่ยนที่หลังจากบาดเจ็บสาหัสก็ได้มาตายด้วยน้ำมือของติงอิง กวานดอกบัวสีเงินชิ้นนี้จึงเปลี่ยนจากบนศีรษะของจูเหลี่ยนมาอยู่บนหัวของติงอิง
จ้งชิวถาม “เพราะอะไร?”
ติงอิงเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าถามข้า แล้วข้าจะไปถามใคร?”
จ้งชิวจ้องติงอิงเขม็ง “เจ้า โจวเฝย ลู่ฝ่าง นี่ก็สามคนแล้ว”
ติงอิงหัวเราะ “ดังนั้นตอนนี้เจ้าจึงมีทางเลือกสองทาง ไปสังหารลู่ฝ่าง หรือไม่ก็ร่วมมือกับอวี๋เจินอี้เพื่อลองสังหารข้า”
จ้งชิวเงียบงัน
ติงอิงกล่าวอย่างมีเลศนัย “แต่ข้าแนะนำเจ้าว่าเจ้าควรจะรอก่อน ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะไม่จำเป็นต้องฆ่าลู่ฝ่างก็ได้”
จ้งชิวถาม “หากเจ้าจะไปจากที่นี่ เจ้าจะพาสามคนไหนไปด้วย?”
ติงอิงชี้ไปยังเฉาฉิงหล่างที่ยืนอยู่หน้าห้องครัว “หากจะให้ข้าพาไป ข้าจะพาเขาไปแค่คนเดียว”
จ้งชิวชำเลืองตามองเด็กชายคนนั้นแล้วกล่าวอย่างสงสัย “พรสวรรค์ของเขาไม่ถือว่าโดดเด่น”
ติงอิงเพียงยิ้มให้แทนคำตอบ
……
ลู่ฝ่างที่ไร้พันธนาการส่งกระบี่แรกออกไป
หนึ่งกระบี่ผ่านไป จากตำแหน่งที่ลู่ฝ่างยืนอยู่ไปจนถึงปลายทางของถนนใหญ่สายนี้ถูกฟันจนเกิดเป็นร่องลึกครึ่งจั้งยาวเหยียด
อย่าว่าแต่พวกคนที่เกิดและเติบโตมาที่นี่อย่างยาเอ๋อร์ โจวซื่อเลย แม้แต่เฝิงชิงป๋ายก็ยังมองเสียจนปากอ้าตาค้าง พลันรู้สึกเหมือนยืนอยู่ในใบถงทวีปบ้านเกิดของตน
รอยยิ้มของใบหน้ายิ้มยิ่งมีชีวิตชีวา
แอบอิงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ช่างเย็นสบายยิ่งนัก เนื่องจากในอดีตมีวาสนาได้พบกันจึงกลายมาเป็นสหายกับลู่ฝ่างในช่วงเวลาที่อีกฝ่ายตกต่ำมากที่สุด ตอนนั้นเขาเลือดร้อนขึ้นหน้าจึงบุกไปที่ตำหนักคลื่นวสันต์พร้อมกับลู่ฝ่าง ภายใต้สถานการณ์ในเวลานั้นถือว่าพร้อมกระโจนเข้าสู่ความตายร่วมกับลู่ฝ่างอย่างห้าวหาญแล้ว ทว่าสุดท้ายลู่ฝ่างตีใบหน้ายิ้มจนสลบอยู่ตรงตีนเขา แล้วขึ้นไปท้ารบกับโจวเฝยเพียงลำพัง รอจนใบหน้ายิ้มฟื้นขึ้นมา ลู่ฝ่างก็นั่งอยู่ข้างกายเขา แต่ไม่ใช่ชายผู้ผิดหวังที่วันๆ ได้แต่ดื่มเหล้าดับทุกข์อีกต่อไปแล้ว
หลายปีหลังจากนั้น ยอดเขาเหนี่ยวคั่นของลู่ฝ่างก็มีใบหน้ายิ้มคนเดียวที่สามารถขึ้นไปบนภูเขา อีกทั้งยังมีชีวิตกลับลงมา
โจวซื่อรู้สึกจนใจมากที่สุด แบบนี้ก็ไม่เท่ากับว่าค่ายกลที่ตนจัดวางอย่างยากลำบากไร้ที่ให้แสดงฝีมือหรอกหรือ?
ข้อบกพร่องเดียวในความสมบูรณ์แบบก็คือ มือกระบี่ชุดขาวที่ยังหนุ่มคนนั้นกลับหนีไปได้
เสี้ยววินาทีที่ลู่ฝ่างออกกระบี่ก็เหมือนเขาจะแน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่สามารถต้านทานพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของกระบี่นี้ได้ จึงเบี่ยงตัวหนีไปในแนวขวาง จากนั้นก็พุ่งชนกำแพงแล้วหายวับไปทั้งอย่างนั้น
ลู่ฝ่างกวาดตามองรอบด้าน เขาไม่คิดว่าคนผู้นี้จะหนีไป
เขาเงื้อกระบี่ด้วยท่วงท่าที่คล้ายผ่อนคลายฟันผ่าให้กำแพงแถบนั้นเกิดเป็นประตูบานใหญ่
ฝุ่นตลบคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ พอจะมองเห็นภาพชุดคลุมขาวหลบเลี่ยงปราณกระบี่ที่เป็นดั่งน้ำหลากแล้วหายตัวไปอีกครั้งได้อย่างเลือนราง
ลู่ฝ่างรู้ดีว่าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ว่าใครก็ทำร้ายใครไม่ได้ พลังการสังหารของตนเหนือกว่าอีกฝ่าย แต่คนผู้นั้นกลับสามารถหลบเลี่ยงการออกกระบี่ของตนได้ทุกครั้ง
เว้นเสียจากว่าจะมีคนตัดสินใจเด็ดขาด ยอมแลกชีวิตกับอีกฝ่าย
ยกตัวอย่างเช่นลู่ฝ่างเก็บปราณกระบี่เกินครึ่งกลับมา มอบโอกาสให้คนผู้นั้นเข้ามาประชิดตัว
หรือคนผู้นั้นยินดีทุ่มหมดหน้าตัก สามารถต้านทานสองกระบี่ที่หนึ่งใช้สังหารศัตรู สองใช้ป้องกันกายของลู่ฝ่างไว้ได้ จากนั้นก็ต่อยให้ลู่ฝ่างตายด้วยหมัดเดียว
หนึ่งกระบี่ของลู่ฝ่างพุ่งออกไปอีกครั้ง
กลางอากาศปรากฏปราณกระบี่โค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยวขนาดใหญ่ยักษ์ที่พุ่งฉิวออกไป
ชุดคลุมขาวรีบร้อนยกเลิกการกระโจนมาด้านหน้า ร่างร่วงดิ่งลงอย่างรวดเร็วถึงหลบพ้นปราณกระบี่เส้นนั้นมาได้
ลู่ฝ่างก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็ลอยขึ้นไปอยู่บนหัวกำแพง
หลายครั้งที่คนผู้นั้นเบี่ยงตัวหลบเลี่ยง ลู่ฝ่างไม่เคยเห็นกระบี่ประจำกายเฝิงชิงป๋ายเล่มนั้นเลยสักครั้ง นี่ค่อนข้างจะประหลาด
ลู่ฝ่างเห็นเพียงว่าคนผู้นั้นยืนอยู่บนปลายชายคาที่ตวัดงอนของบ้านหลังหนึ่งซึ่งห่างไปไกล ชายแขนเสื้อใหญ่พลิ้วไหวน้อยๆ เมื่อรวมเข้ากับน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดตรงเอว นี่ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ใช้คำว่าล่องลอยเหนือธุลีมาบรรยายได้ ปณิธานหมัดเข้มข้นของทั้งร่างเขาผสานเป็นหนึ่งกับฟ้าดิน การที่มีปณิธานหมัดหนาหนักอีกทั้งยังใสกระจ่างได้เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ต่อให้เป็นลู่ฝ่างที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วใบถงทวีปก็จำต้องยอมรับว่า ขอแค่เจ๋อเซียนหนุ่มที่มีวรยุทธ์ปนเปหลากหลายผู้นี้รอดชีวิตออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวได้ ความสำเร็จในอนาคตของเขาต้องไม่ต่ำอย่างแน่นอน
คันเบ็ดเล่มหนึ่งตกปลาไม่ขึ้น ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนมาใช้วิธีใหม่ หว่านแหจับปลาไปเลยแล้วกัน
ลู่ฝ่างสะบัดแขนร่ายท่ากระบี่
นอกจากกระบี่เล่มที่ถือไว้ในมือแล้ว ด้านหน้าลู่ฝ่างยังมีกระบี่อีกสามสิบหกเล่มลักษณะเหมือนกับกระบี่ต้าชุนอย่างไม่มีผิดเพี้ยนลอยอยู่ ประหนึ่งพลทหารราบที่จัดขบวนทัพอย่างมีระเบียบ ให้การป้องกันอย่างเข้มงวด
กระบี่ยาวเล่มแล้วเล่มเล่าค่อยๆ ขยับเคลื่อนหน้าอย่างเชื่องช้า แต่แล้วก็พลันเพิ่มความเร็วแหวกอากาศออกไป
เฉินผิงอันห้อตะบึงอยู่กลางอากาศเหนือหลังคาบ้านหลังแล้วหลังเล่า กระโดดตัวพลิกตลบหมุนตีลังกา ปราณกระบี่หลายเส้นที่กลายมาเป็นรุ้งสีขาวประหนึ่งหนอนชอนไชกระดูกที่ทยอยกันระเบิดแตกอยู่รอบกายเขา
นอกจากจะต้องบังคับปราณกระบี่ต้าชุนสามสิบหกเล่มให้เป็นดั่งลูกธนูที่ถูกยิงออกไปแล้ว ขอแค่เฉินผิงอันทิ้งระยะห่าง ลู่ฝ่างก็จะต้องบุกรุดหน้าไปอย่างเหมาะสม รักษาระยะห่างสามสิบจั้งเอาไว้ตลอดเวลา ไม่ให้โอกาสเฉินผิงอันได้กระโจนเข้ามาเบื้องหน้าตัวเองอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าลู่ฝ่างออกกระบี่ก็เพื่อสังหารเฉินผิงอัน หาใช่ต้องการเล่นแมวจับหนู แต่เมื่อไหร่ที่เฉินผิงอันคิดว่าจะเข้ามาประชิดตัวเขาได้ เมื่อไหร่ที่เข้าใจผิดคิดว่าหนึ่งหมัดจะตัดสินแพ้ชนะ ลู่ฝ่างก็พร้อมวางหลุมพรางรอให้เฉินผิงอันมาติดกับ
เพียงแต่ไม่รอให้ลู่ฝ่างใช้กระบี่ทั้งสามสิบหกเล่มจนหมด คนผู้นั้นก็เริ่มวิ่งห้อเข้ามาหาลู่ฝ่าง ฝีเท้าที่แผ่วเบาเหยียบซ้ายแตะขวา ไม่ได้วิ่งมาเป็นแนวเส้นตรง
ลู่ฝ่างตกตะลึงเล็กน้อย ในใจหัวเราะเสียงเย็น มาเดี๋ยวนี้เลยหรือ?
นิ้วทั้งห้าขยับเล็กน้อย สุดท้ายกระจายกระบี่บินหกเล่มออกไปให้กลายเป็นเส้นโค้งอยู่กลางอากาศ ปลายกระบี่พุ่งไปรวมกันที่จุดจุดเดียว
จุดนั้นก็คือตำแหน่งที่หมัดของคนผู้นั้นต้องพุ่งผ่านมา
ประกายแสงวาบผ่านมา กระบี่บินทั้งหกเล่มพร้อมใจกันระเบิดอยู่ด้านหลังของคนผู้นั้น พลังอำนาจรุนแรงสะเทือนเลือนลั่น
ยังเร็วได้มากกว่าที่คิดจริงๆ ด้วย
ลู่ฝ่างไม่ได้ตกใจแม้แต่น้อย ยิ่งไม่มีความตระหนกลน
ต้าชุนเล่มจริงที่ถืออยู่ในมือวาดปาดเป็นแนวขวาง
ปราณกระบี่รวมกันเป็นหนึ่งเส้น
กระบี่นี้เหมือนจะแบ่งเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนออกเป็นชั้นบนกับชั้นล่าง
เฉินผิงอันไม่ถอยกลับรุกเข้าใส่ รุดหน้าไปอย่างไม่เกรงกลัว หนึ่งหมัดต่อยเปรี้ยงเข้าที่แสงกระบี่เส้นนั้น
เลือดสดสาดกระเซ็นอยู่เบื้องหน้าตัวเขา
แววตาของลู่ฝ่างเฉยเมย แค่ยกกระบี่ขึ้นฟันฉับ
แรกเริ่มฟันบนและล่าง จากนั้นค่อยแบ่งซ้ายขวา
เพียงแต่ว่าทันใดนั้นลู่ฝ่างต้องอาศัยสัญชาตญาณตัวเองกระโดดขึ้นไปเหยียบบนหลังคา จากนั้นกระบี่บินเล่มหนึ่งก็พุ่งจากด้านหลังตำแหน่งที่ลู่ฝ่างยืนอยู่ก่อนหน้านี้ไปหาเฉินผิงอัน
ลู่ฝ่างหวาดผวาไม่คลาย
กระบี่ของเฝิงชิงป๋ายเล่มนั้นต้องถูกทิ้งไว้บริเวณกำแพงนี่แน่ๆ การพุ่งชนกระบี่ที่ปาดออกไปมองดูเหมือนมุทะลุวู่วาม ไม่ใช่เพื่อการออกหมัด แต่เพื่อจะบังคับกระบี่ให้โจมตีขนาบทั้งหัวและท้าย
เฉินผิงอันยื่นมือไปกุมกระบี่ยาว
อีกแค่เสี้ยวเดียวก็สามารถแทงทะลุหัวใจลู่ฝ่างได้แล้ว
แต่เขากลับไม่มีสีหน้าเสียดาย เพียงพูดในใจหนึ่งคำว่า “ไป!”
ลู่ฝ่างตะลึงพรึงเพริด ไม่ทันออกเสียงเอ่ยเตือนหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อที่อยู่บนถนนใหญ่ แล้วก็ไม่มีเวลามามัวสนใจอะไรอีกแล้ว เขารีบตามไปด้านหลังติดๆ แล้วขว้างต้าชุนที่อยู่ในมือไปยังกำแพงฝั่งนั้น
ลู่ฝ่างแบ่งสมาธิเล็กน้อยมาร่ายเวทบังคับกระบี่ที่แท้จริง หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดช่องโหว่กลายเป็นว่าช่วยคนไม่สำเร็จกลับกลายเป็นฆ่าคน
กระบี่พกของเฝิงชิงป๋ายลอดทะลุกำแพง ปักแทงตรงกับท้ายทอยของโจวซื่อพอดี
แทบจะเวลาเดียวกันนั้น ต้าชุนของลู่ฝ่างก็ทะลุกำแพงในลักษณะที่เอียงลงเล็กน้อย กระแทกกระบี่บินเล่มนั้นจากจุดที่สูงกว่า
เพียงเส้นยาแดงผ่าแปด ต้าชุนกระแทกลงบนกระบี่บินอย่างแรง เป็นเหตุให้กระบี่บินเล่มนั้นร่วงหล่นลงเบื้องล่าง แค่แทงทะลุหัวไหล่ของโจวซื่อ แรงเฉื่อยมหาศาลพาให้หนุ่มปักบุปผาผู้นี้เซถลาไปด้านหน้า
ลู่ฝ่างพลันเงยหน้าขึ้น
คนชุดขาวเหมือนดาวตกที่ร่วงลงมาจากโพรงหลังคา หยุดอยู่ตรงหน้าลู่ฝ่างพร้อมกับหมัดที่ส่งมาถึง
ร่างทั้งร่างของลู่ฝ่างถูกต่อยจนไถลลื่นออกไปกระแทกผนังแตกร้าว หมัดที่สองก็ตามมาอีก
กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า
บนแนวเส้นตรงนี้ ลู่ฝ่างรับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าไปเก้าหมัดเต็มๆ เขาถอยกรูดไปตลอดทาง ผนังที่ก่อนหน้านี้ใบหน้ายิ้มและเฉินผิงอันเคยยืนอยู่ก็ถูกหลังของลู่ฝ่างกระแทกจนเละเทะ
ลู่ฝ่างอยากจะบังคับกระบี่บินต้าชุนให้มาช่วยตัวเอง แต่เขากลับค้นพบว่าตัวเองไม่มีความกล้ามากพอ ได้แต่รวบรวมลมปราณทั้งหมดในร่างปกป้องร่างกายและจิตวิญญาณไว้สุดชีวิต
อีกอย่างถึงอย่างไรต้าชุนก็เป็นแค่ศาสตราวุธของฟ้าดินแห่งนี้ ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ลู่ฝ่างทิ้งไว้ในใบถงทวีป
เฉินผิงอันปล่อยหมัดที่สิบออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว
ร่างของลู่ฝ่างกระแทกโครมเข้ากับสิ่งปลูกสร้างอีกฝั่งหนึ่งของถนน สุดท้ายร่างฝังเลื่อมอยู่ในกำแพงเหมือนกับสตรีอุ้มผีผาก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด สภาพอเนจอนาถสุดขีด
แต่เฉินผิงอันก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนสำหรับการดึงดันออกหมัดในครั้งนี้เช่นกัน
คนผู้หนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ด้านข้าง ต่อยเปรี้ยงเข้าที่จุดไท่หยางของเฉินผิงอัน
เหมือนถูกระฆังกระแทกใส่ศีรษะ
เฉินผิงอันกระเด็นไปไกลหลายสิบจั้ง ทรุดตัวกึ่งคุกเข่าอยู่บนถนน ข้างฝ่าเท้าก็คือร่องลึกที่ถูกปราณกระบี่ของลู่ฝ่างผ่าออกก่อนหน้านี้
คนที่ออกหมัดขัดจังหวะกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าของเฉินผิงอันคือคนที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อสีเขียว เขายืนอยู่ตรงนั้น มือข้างหนึ่งไพล่หลัง อีกข้างหนึ่งกำเป็นหมัดวางไว้ด้านหน้า ปราณมั่นคงจิตสงบนิ่ง
เฉินผิงอันหันหน้าไปถ่มเลือดคั่งสีเขียวออกดำทิ้ง ยกมือเช็ดมุมปาก
เด็กหญิงผอมแห้งที่อยู่ตรงกลางระหว่างราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนและเฉินผิงอันพอดีเอาแต่ขดตัวอยู่บนม้านั่งตัวเล็กมุมกำแพงมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้
นางแอบชำเลืองมองเจ้าคนที่สวมชุดคลุมขาวผู้นั้น ร้ายกาจก็ร้ายกาจอยู่หรอก แต่ตอนนี้กลับค่อนข้างจะน่าสงสารสักหน่อย
โดยไม่ทันรู้ตัว นางค้นพบว่าเขาที่บอกให้ตนนั่งอยู่ที่เดิมห้ามขยับไปไหน แม้จะถูกคนต่อยหมัดหนึ่งจนมีสภาพน่าเวทนา แต่หลังจากลุกขึ้นยืนแล้ว เขาก็กำลังจ้องมองผู้เฒ่าที่ท่าทางเหมือนอาจารย์ในโรงเรียน แล้วก็กำลังประสานสายตากับตนอยู่เช่นกัน
เหมือนจะกำลังบอกว่า ไม่ต้องกลัว?
ทั้งๆ ที่นางรู้ดีว่าชีวิตของตนผูกติดกับเขาแล้ว หากเขาตาย ตนก็คงต้องตายตามไปด้วย
แต่นางก็ยังอดกลั้นความโมโหเกรี้ยวกราดของตัวเองไม่ได้ อยากจะให้นาทีถัดมาเขาถูกเจ้าตะพาบเฒ่าผู้นั้นต่อยตายไปซะเลย
อารมณ์แบบนี้ยากที่จะอธิบายให้กระจ่างได้
ก็เหมือนตอนนั้นที่นางเห็นตุ๊กตาหิมะตัวจิ๋วในกล่องไม้ใบเล็ก
นางชอบมันมากขนาดนั้น แต่ในเมื่อไม่ได้มาครอบครองก็ต้องทุบทิ้ง ทำลายทิ้ง ฆ่าทิ้ง
นางรู้สึกว่าคิดเช่นนี้ไม่มีอะไรที่ไม่ถูก