ไม่ว่าความตั้งใจเดิมของแต่ละฝ่ายจะคืออะไร คนสามกลุ่มที่รุมล้อมโจมตีเฉินผิงอันตอนนี้มีเจ็ดคนที่เป็นยอดฝีมือชื่อเสียงเลื่องลือในยุทธภพ สามคนในนั้นอย่างหม่าเซวียนจินกังชมพู สตรีอุ้มผีผาและยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารได้ออกไปจากเส้นทางสายนี้แล้ว
เฝิงชิงป๋ายที่ท่องไปทั่วหล้าด้วยตัวตนของจอมยุทธ์คือคนบ้าคนหนึ่ง เพื่อให้ถึงเป้าหมาย เขาไม่เลือกวิธีการ ทำลายกำแพงลอบโจมตี ไม่เพียงแต่ไม่สามารถแทงให้เฉินผิงอันตายด้วยกระบี่เดียว กลับยังต้องชดใช้ด้วยชีวิตเกินครึ่งของยาเอ๋อร์
สาวงามรองเท้าเกี๊ยะที่มีหวังว่าจะได้ใช้ตัวตนของสตรีสืบทอดตำแหน่งเจ้าลัทธิมาร จนถึงตอนนี้ก็ยังหมุนตัวกลับมาไม่ได้ ใบหน้าข้างหนึ่งแนบกับพื้นถนนเย็นเยียบ เล็บมืองดงามของมือเรียวบางขาวดุจหยกข้างหนึ่งครูดกับหินเขียวเบาๆ สายตาจ้องมองหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อ แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและวิงวอนขอร้อง
แม้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ให้โจวซื่อรับปากว่าจะไม่ปล่อยให้นางต้องมาตายอยู่ที่นี่จะเป็นเพียงคำพูดล้อเล่น แต่สุดท้ายเขาก็ยอมตอบรับ ทว่าทำไมถึงไม่ยอมลงมือเสียที?
หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อไม่มีความละอายใจใดๆ ซ้ำยังมองประสานสายตากับนางและผงกศีรษะให้เบาๆ
ลู่ฝ่างยังไม่ลงมือ
ใบหน้ายิ้มที่ผลุบโผล่ลับๆ ล่อๆ ประมือกับเฉินผิงอันแล้วก็ยังไม่ได้เปรียบเลยแม้แต่นิดเดียว
ลูกประคำสีแดงก่ำที่โจวซื่อถือไว้ในมือถูกขยับเคลื่อนเบาๆ “ตอนนี้ในบรรดาคนที่ยืนอยู่ ข้าโจวซื่อเป็นตัวถ่วงมากที่สุด แต่หลังจากนี้ข้ารับรองว่าตัวเองจะออกแรงเต็มที่เพื่อรับมือกับคนผู้นี้ ท่านลู่ ใบหน้ายิ้ม เฝิงชิงป๋าย วันนี้พวกเราจะโยนอคติทิ้งแล้วร่วมมือกันรับมือกับศัตรูได้หรือไม่?”
ใบหน้ายิ้มคลี่ยิ้มน่าสะพรึงกลัว พยักหน้ารับ “ไม่ว่าสุดท้ายจะเป็นใครที่ได้สังหารคนผู้นี้ ข้าต้องการความสามารถเดียวบนร่างของเขา นั่นก็คือวิชาเซียนย่อพื้นที่ หากไม่ได้มา ค่าตอบแทนต้องเป็นอย่างอื่น”
เฝิงชิงป๋ายมองเฉินผิงอันด้วยสายตาเร่าร้อน “กระบี่สุดท้ายที่ปลิดชีพเขา ต้องมาจากข้าเท่านั้น ส่วนสมบัติบนร่างเขา ข้าไม่เอาแม้แต่ชิ้นเดียว สมบัติอาคมชิ้นที่จะได้หลังจากสังหารเจ๋อเซียน ข้าก็จะมอบให้เช่นกัน พวกเจ้าจะแบ่งกันอย่างไรก็ตัดสินใจกันเองเถอะ”
โจวซื่อมองยาเอ๋อร์ที่ลมหายใจรวยรินแวบหนึ่งแล้วยิ้มพูดว่า “ข้าต้องการแค่นาง”
ลู่ฝ่างเอ่ยสรุปเป็นคนสุดท้าย “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้”
เฝิงชิงป๋ายวางกระบี่ขวางไว้เบื้องหน้า งอนิ้วดีดตัวกระบี่เบาๆ ยกยิ้มมีเลศนัย “เซียนกระบี่ลู่ ท่านผู้อาวุโสอย่าได้นิ่งดูดายอยู่อีกเลย ระวังขโมยไก่ไม่สำเร็จแล้วยังเสียข้าวสารอีกหนึ่งกำมือ สุดท้ายพวกเราทุกคนอาจกลายมาเป็นหินลับมีดบนวิถีวรยุทธ์ให้กับคนผู้นี้ ในฐานะที่ท่านเป็นยอดฝีมือที่สมควรลงมือที่สุดในบรรดาพวกเรา หากยังทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ใช้ชีวิตพวกเราเป็นการหยั่งเชิงตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่าย ข้าไม่เต็มใจจะเล่นด้วยหรอกนะ อย่างมากก็ไม่เข้าร่วมเรื่องเละเทะครั้งนี้ พวกเจ้าจะเป็นยังไงก็เรื่องของพวกเจ้า”
ลู่ฝ่างเอ่ยยิ้มๆ “วางใจได้เลย”
พูดประโยคนี้จบ เซียนกระบี่แห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่นที่เดิมทีใช้ฝ่ามือดันด้ามกระบี่ก็เปลี่ยนมาเป็นกุมกระบี่ ชัก ‘ต้าชุน’ (ชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่งในสมัยโบราณ) ออกจากพื้นดินพร้อมกันทั้งฝักและกระบี่
นักเวทตระกูลเซียนเคยเขียนบันทึกไว้ในตำราว่า ยุคบรรพกาลมีต้นไม้ชนิดหนึ่งชื่อต้าชุน แปดพันปีของมันคือหนึ่งฤดูใบไม้ผลิ อีกแปดพันปีของมันคือหนึ่งฤดูใบไม้ร่วง เมื่อออกผล คนธรรมดากินเข้าไปสามารถคว้าแสงเงินแสงทองบินทะยาน
เฉินผิงอันสั่งสมพลังเตรียมรับมือเงียบๆ อยู่ตลอดเวลา อีกอย่างเขาก็ยังต้องปรับตัวกับสภาวะที่ไม่มีชุดคลุมจินหลี่พันธนาการด้วย
ตอนที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยถ่ายทอดวิชาหมัดให้ กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่หรือกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบยังพูดง่าย เพราะต่างกันแค่ที่ออกหมัดหนักหรือเบา แต่กระบวนท่าหมัดอย่างเทพตีกลองสายฟ้า หากพลาดไปนิดเดียวก็อาจผิดเป็นโยชน์ อีกทั้งยังต้องคอยระวังลู่ฝ่างอยู่ตลอดเวลา เฉินผิงอันจึงจำเป็นต้องกะพลังของทุกหมัดให้ดี
นี่คือขั้นสูงสุดของวิชาหมัดนับตั้งแต่ที่เฉินผิงอันได้เรียนวรยุทธ์มา ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย จิตวิญญาณหรือจิงชี่เสินก็ล้วนเป็นเช่นนี้
“มาแล้ว ระวังล่ะ”
ลู่ฝ่างเอ่ยเตือนทุกด้วยรอยยิ้มบางๆ “เจ้านี่ก็จริงๆ เลยนะ ก่อนจะลงมือไม่รู้จักบอกกล่าวกันสักคำ ไม่มีมาดของปรมาจารย์เอาซะเลย”
เวลาเดียวกันนั้นเขาก็บิดข้อมือ เป็นครั้งแรกที่ลู่ฝ่างกุมด้ามกระบี่อย่างจริงจัง หลังจากที่จับกระบี่ซึ่งมีชื่อว่าต้าชุนแล้ว เนื่องจากปราณกระบี่ทั่วร่างของลู่ฝ่างเปี่ยมล้นเกินไป ต่อให้จงใจกดกำราบเก็บเอาไว้ภายในก็ยังไหลแผ่ออกมาด้านนอกไม่หยุด เป็นเหตุให้อาภรณ์ของเขาโบกสะบัดทั้งที่ไม่มีลม โดยเฉพาะชายแขนเสื้อของมือข้างที่กุมด้ามกระบี่ที่มีปราณกระบี่เอ่อท้น จึงกระเพื่อมไม่หยุด ชายแขนเสื้อเปิดอ้า ด้านในมีเสียงฮี้ๆ ดุจเสียงม้าร้องดังลอยมา
ชั่วขณะนั้นหัวใจของใบหน้ายิ้มหดรัดตัว ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ใช้เวทลับจากตำราไม่สมบูรณ์แบบของตระกูลเซียนที่ได้มาโดยบังเอิญ ร่ายวิชาฉีเหมินตุ้นเจี่ยที่ลี้ลับสุดจะหยั่ง เคลื่อนที่จากทิศตะวันออกไปยังทิศเหนือในชั่วพริบตา เพียงแต่ว่าไม่ทันรอให้ใบหน้ายิ้มสังเกตเห็นเงาร่างของเฉินผิงอัน พายุหมัดก็พุ่งปะทะเข้ามาตรงหน้าเขาแล้ว ใบหน้ายิ้มรู้สึกปวดแสบปวดร้อนวูบวาบ
แสงกระบี่เส้นหนึ่งพลันพุ่งมาขวางไว้ระหว่างพายุหมัดกับศีรษะของใบหน้ายิ้ม
คมกระบี่ที่คมกริบวางขวางอยู่เบื้องหน้า ในสายตาของใบหน้ายิ้มเห็นเป็นคล้ายเส้นใยสีขาวหิมะเส้นหนึ่ง
หมัดนั้นถูกคมกระบี่สกัดกั้น เป็นเหตุให้ใบหน้ายิ้มมีโอกาสถอนตัว ร่างของเขาหายวูบไปหลายครั้ง ถอยแล้วถอยอีกถึงหลุดพ้นความรู้สึกบีบคั้นที่ทำให้คนหายใจไม่ออกนั้นมาได้
นับตั้งแต่ที่ใบหน้ายิ้มเริ่มเดินในวงการแห่งการต่อสู้ ห้อตะบึงอยู่ในยุทธภพมาสามสิบปี เดิมทีเขาชอบให้ศัตรูของตัวเองเป็นปรมาจารย์วิชาหมัดนอกมากที่สุด เพราะจะรุกหรือถอยก็ได้ดังใจปรารถนา หยอกเย้าให้พวกปรมาจารย์ที่กระโดดพลิกตัวตีลังกาอย่างงุ่มง่ามพวกนั้นหัวหมุน เห็นอีกฝ่ายเป็นดั่งสุนัขที่ถูกตนจูงเดิน และนี่ก็เป็นที่มาของฉายา ‘ผีรังควาน’ ของใบหน้ายิ้ม ผู้อาวุโสหลายท่านที่มีชื่อเสียงด้านการฝึกวิชาเหิงเลี่ยนก็เคยถูกใบหน้ายิ้มที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับเผาผลาญพลังจนตายทั้งเป็น
นี่เป็นครั้งแรกที่ใบหน้ายิ้มได้เจอยอดฝีมือวิชาหมัดที่วิ่งเก่งกว่าตน
ในใจใบหน้ายิ้มรู้ดีว่าเฝิงชิงป๋ายช่วยเหลือตนหนึ่งครั้ง สองครั้ง ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีครั้งที่สาม จึงไม่คิดจะเก็บออมฝีมืออีกต่อไป ระหว่างที่ถอยร่นหลบหนี ร่องนิ้วของมือสองข้างที่สอดไว้ในชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ต่างก็มีมีดบินไร้ด้ามขนาดจิ๋วแต่กลับส่องความคมแวววาว บนใบมีดทาพิษร้ายสีเขียวเข้มเอาไว้ มีดบินโกวเหวิ่น (ไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง ใบเป็นรูปไข่ สีเขียวตลอดปี ดอกสีเหลือง เมล็ดมีพิษ แพทย์จีนนำมาปรุงเป็นยา) นี้สามารถทำลายพายุลมกรดจากผู้ฝึกยุทธ์ได้ดีที่สุด
อยู่ห่างจากเฉินผิงอันมาประมาณห้าหกจั้ง เห็นเพียงว่าหลังจากเฝิงชิงป๋ายช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ตนก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนเช่นกัน เขาถูกคนผู้นั้นหมายหัวเข้าแล้ว ประมือกันสองสามรอบ เฝิงชิงป๋ายก็ตกเป็นรอง ถูกขาข้างหนึ่งฟาดเปรี้ยงเข้าที่ไหล่ ร่างของเฝิงชิงป๋ายปลิวลิ่วออกไป
ชุดคลุมขาวตามติดราวกับเงา เห็นได้ชัดว่าเฝิงชิงป๋ายที่แขนข้างหนึ่งห้อยร่องแร่งตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
เขาให้ลูกท้อเรา เราให้ลูกหลีเขากลับคืน (ตอบสนองน้ำใจซึ่งกันและกัน)
ใบหน้ายิ้มส่งมีดบินออกไปจากชายแขนเสื้อ
คนผู้นั้นก็สมกับเป็นตัวประหลาดจริงๆ ออกหมัดครั้งนี้ ทุกหมัดช่างดูผ่อนคลายเบาสบาย ยามที่เหยียบอยู่บนถนน อย่าว่าแต่เป็นพลังอำนาจเหยียบหินทุบอิฐของหม่าเซวียนจินกังชมพูหลังจากอัญเชิญเทพเข้าร่างเลย ใบหน้ายิ้มแทบจะเข้าใจว่ารองเท้าของคนผู้นั้นไม่ได้สัมผัสพื้นเลยด้วยซ้ำ เหมือนเขาล่องลอยไปมาอยู่กลางอากาศตลอดเวลา
ใบหน้ายิ้มเองก็ไม่ได้วาดหวังว่าโกวเหวิ่นหกเล่มจะสามารถแทงโดนคนผู้นั้น เพียงแค่จะมอบโอกาสหายใจหายคอเสี้ยวหนึ่งให้เฝิงชิงป๋ายเท่านั้น
เฝิงชิงป๋ายแสยะยิ้ม ปล่อยนิ้วทั้งห้า เขาถึงกับคลายมือออกจากกระบี่ยาวเล่มนั้น
มือกระบี่คนหนึ่งละทิ้งกระบี่?
ทำเอาใบหน้ายิ้มที่มองอยู่ใจคอไม่ดี หรือว่าจอมยุทธ์พเนจรเฝิงชิงป๋ายที่ที่ขึ้นเหนือล่องใต้ อาศัยหนึ่งกระบี่สังหารไปเกือบครึ่งของยุทธภพมาตลอดสิบปี จะมีดีแค่นี้เอง?
กระบี่ยาวของเฝิงชิงป๋ายไม่ได้ตกลงบนพื้น ไม่มีเจ้านายคอยควบคุม ตัวกระบี่กลับสั่นน้อยๆ แผ่คลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก จากนั้นก็บีบตัวแน่นขึง กระบี่ยาวลอยอยู่กลางอากาศ ปลายกระบี่ตวัดขึ้นชี้ไปยังคนชุดขาว แล้วพุ่งวับหายไป
เฝิงชิงป๋ายสะบัดไหล่ฝั่งซ้าย ถูกฟาดแข้งใส่หนึ่งที เจ็บร้าวเข้าไปถึงกระดูก แต่กลับไม่ได้เป็นอะไรมาก
มือขวาของเฝิงชิงป๋ายประกบสองนิ้วเป็นท่ามุทรากระบี่
ในฟ้าดินขนาดเล็กที่เล็กแคบและถูกบีบคั้นแห่งนี้ วิชาอภินิหารของผู้ฝึกกระบี่มิอาจร่ายใช้ได้ แต่เมื่อเทียบกับเวทบังคับกระบี่ซึ่งเป็นวิชาระดับล่างแล้ว เฝิงชิงป๋ายกลับฝึกมาจนชำนิชำนาญแล้ว
เฝิงชิงป๋ายลงมาครั้งนี้ก็เพื่อ ‘หลอมกระบี่’ ใช้ทุกวิธีการพยายามหล่อหลอมปณิธานกระบี่และจิตแห่งกระบี่ให้ได้มากที่สุด
สับเปลี่ยนระหว่างโจมตีและป้องกัน
บนถนนเห็นเป็นสีขาวหิมะหนึ่งกลุ่ม และสายรุ้งสีขาวหนึ่งเส้น
หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อประคองยาเอ๋อร์ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ให้นางนั่งพิงอยู่ใต้ผนังแถบหนึ่งก่อน นางจะได้ไม่ตายภายใต้พายุหมัดหรือปราณกระบี่ในขณะที่สองฝ่ายประมือกัน
กระบี่ที่เฝิงชิงป๋ายแทงทะลุแผ่นหลังของนางนั้นอำมหิตอย่างแท้จริง ถึงขนาดทำลายจุดตันเถียนของยาเอ๋อร์ไปด้วย ไม่เพียงเท่านี้ ยังทิ้งปราณกระบี่เส้นหนึ่งไว้ในร่างกายนาง ทำให้นางไม่อาจโคจรลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บ หากไม่มียอดฝีมือให้ความช่วยเหลือ ช่วยดึงปราณกระบี่เส้นนั้นออกมาจากร่างของนาง นางก็ได้แต่รอความตายเท่านั้น ต่อให้เป็นยาวิเศษที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของวัดจินกังก็ยังไม่มีประโยชน์
แน่นอนว่าในขณะที่ศึกกำลังดำเนินไป โจวซื่อย่อมไม่มีเวลามากระหนุงกระหนิงกับนางอยู่แล้ว เขานั่งยองอยู่ใต้เงามืดของกำแพง เพิ่มน้ำหนักนิ้วหัวแม่มือเล็กน้อย ลูกประคำเม็ดหนึ่งที่รัดอยู่ตรงฝ่ามือก็ถูกผลักออกไป ลูกประคำสีแดงก่ำไม่ได้กลิ้งออกไปอย่างส่งเดช แต่กระดอนอยู่บนถนนหินสีเขียวสองครั้งแล้วหายวับไปกลางอากาศ
โจวซื่อปล่อยลูกประคำออกไปอย่างต่อเนื่อง
นี่คือยันต์คุ้มกันกายชิ้นหนึ่งที่โจวเฝยผู้เป็นบิดามอบให้เขา บอกว่าหากเอามาใช้อย่างเหมาะสม ต่อให้เผชิญหน้ากับสิบอันดับบนแห่งใต้หล้าก็สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ เผชิญหน้ากับสิบอันดับล่างถึงขั้นสังหารศัตรูได้ แน่นอนว่าเจ้าตำหนักคลื่นวสันต์ก็เคยกำชับโจวซื่อไว้ก่อนว่า หากเจอกับติงอิงและอวี๋เจินอี้ ถ้าหนีได้ต้องหนี หนีไม่ได้ให้คุกเข่าร้องขอชีวิต ไม่ใช่เรื่องน่าอาย
เฝิงชิงป๋ายก้าวเดินอย่างเชื่องช้ามาดมั่น ใช้เวทกระบี่ที่บังคับได้สมใจปรารถนาไล่ฆ่าคนชุดขาวผู้นั้น เฉินผิงอันใกล้จะสลัดอีกฝ่ายได้หลุดอยู่หลายครั้ง กลับต้องโดนกระบี่บินที่ว่องไวดุจสายฟ้าตอแยโรมรันพันตูอยู่ทุกครั้ง
กระบี่บินพุ่งทะยานรวดเร็วจนทุกคนมองเห็นได้แค่แสงกระบี่ที่ไหลวน
ใบหน้ายิ้มไม่กล้าวาดงูเติมหาง (กระทำสิ่งที่เกินความจำเป็น) จึงยืนปรับลมลมหายใจอยู่ไกลๆ พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ใบหน้ายิ้มก็ทั้งโล่งอก แต่ก็รู้สึกขนลุกขนชันไปด้วย เพราะหากเปลี่ยนมาเป็นตนที่เจอกับเฝิงชิงป๋าย ควรจะรับมือเขาอย่างไร?
คนชุดขาวที่เหมือนเกล็ดหิมะกลิ้งหลุนๆ ผู้นั้นพลันหยุดชะงัก ยื่นมือมาจับด้ามกระบี่บิน
เฝิงชิงป๋ายไร้ความหวั่นเกรง “ไหนเลยจะมีเรื่องที่ง่ายดายขนาดนี้ เจ้าจับไว้ไม่อยู่หรอก…”
ไม่รอให้เฝิงชิงป๋ายพูดจบ
มือข้างขวาของเฉินผิงอันกำด้ามกระบี่ มือซ้ายทำท่าเป็นมือมีดสับลงไปบนตัวกระบี่
ตัวกระบี่ไม่ได้หักออก แต่ปลายกระบี่ที่ตวัดขึ้นสูงกลับโค้งงอจนเกิดเส้นรัศมีโค้งใหญ่ยักษ์
สองนิ้วที่ทำมุทรากระบี่ของเฝิงชิงป๋ายชะงักไปเล็กน้อย
เฉินผิงอันเองก็ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน แล้วปาดไปบนตัวกระบี่อย่างรวดเร็วหนึ่งครั้ง ลูบกระบี่ยาวให้ราบเรียบได้อย่างพอดิบพอดี
เขาถือมันมาวางขวางไว้เบื้องหน้า จากนั้นก็ปล่อยนิ้วทั้งห้าที่จับด้ามกระบี่ออก
ในขณะที่เฝิงชิงป๋ายกำลังยืนอึ้ง เขาก็ถูกคนคว้าคอเสื้อด้านหลังแล้วกระชากโยนออกไปไกลหลายสิบจั้ง
ห่างแค่เสี้ยวเดียว ปลายกระบี่ก็จะแทงทะลุหัวใจของเฝิงชิงป๋ายแล้ว
สองนิ้วของเฉินผิงอันขยับเล็กน้อย กระบี่บินก็บินกลับมาบินวนรอบกายเขาดุจนกน้อยที่อิงแอบแนบชิดคน
วิชาบังคับกระบี่ของอาจารย์กระบี่ ข้าก็เป็นเหมือนกัน
—–