บทที่ 521 จัดการเรื่องทะเบียนบ้าน

บทที่ 521 จัดการเรื่องทะเบียนบ้าน

“เขากับจางเหมยเหลียนกลับไปแต่งงานที่บ้านเกิดน่ะค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยพูด

จ้าวจวินขมวดคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาคิดไม่ถึงว่าจางเหมยเหลียนจะสามารถแต่งงานกับสวี่เชิ่งเฉียงได้จริง ๆ ผู้หญิงคนนั้นเวลามองเขาแล้วก็ชอบทำหน้าแดงเขินอายทุกครั้ง

เขาคิดจะไปดูร้านขายเสื้อผ้าตรงนั้นอยู่เลย แต่พวกเขาก็กลับไปแต่งงานกันเสียแล้ว

และแล้วช่วงปิดเทอมฤดูร้อนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เปิดเทอมใหม่นี้ทำให้หลินชิงเหอยุ่งมาก เพราะช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมามีอาจารย์หัวหน้าคณะคนหนึ่งเกิดอุบัติเหตุถูกรถยนต์ชนขณะขี่จักรยาน แม้อาการของเขาจะไม่หนักนักและช่วยชีวิตไว้ได้ แต่ขาทั้งคู่กลับเดินไม่ได้แล้ว

ดังนั้นตำแหน่งหัวหน้าคณะจึงตกมาอยู่ที่หลินชิงเหอ

พูดง่าย ๆ ก็คือหลินชิงเหอได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว

ข้อดีของการเลื่อนตำแหน่งก็คือเธอจะยิ่งงานยุ่งมากขึ้น แน่นอนว่าเงินเดือนก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่เงินเดือนอะไรนั่นหลินชิงเหอไม่สนใจหรอก ที่เธอสนใจคืองานที่ยุ่งจนหัวแทบหมุน

โดยเฉพาะการประสานงานทั้งหมดที่เธอต้องเป็นคนทำความคุ้นเคยด้วยตัวเอง โชคดีที่เธอเองก็มีความสามารถเช่นกัน หลังจากผ่านไป 1 สัปดาห์เธอก็คุ้นเคยกับมัน

เมื่องานเริ่มคงที่ หลินชิงเหอก็พบว่าลักษณะตัวงานช่างผ่อนคลายมากจริง ๆ พอมีเวลาว่างเมื่อใด เธอก็ปลีกตัวไปหาโจวชิงไป๋ที่ร้านเกี๊ยว

โจวชิงไป๋พอใจกับช่วงเวลานี้มาก มีเวลาพักก็ดีแล้ว เป็นแบบนี้เขาก็ไม่ต้องยุ่งมากขนาดนั้นแล้วเหมือนกัน

“เจ้ารองของพวกเราควรไปเรียนขับรถได้แล้วนะคะ” หลินชิงเหอพูด

“ไว้ปิดเทอมฤดูร้อนปีหน้าน่ะ” โจวชิงไป๋พูด

ปิดเทอมร้อนฤดูร้อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่พาคุณปู่สองคนของเขาออกไปเที่ยว เขาก็จะเป็นคนดูร้าน เจ้ารองจะได้ไปเรียนขับรถได้

“ไม่รู้เหมือนกันนะคะว่าเจ้าใหญ่จะกลับมาเมื่อไหร่ เขาไม่ได้โทรกลับมาสักระยะหนึ่งแล้ว” หลินชิงเหอพูด

หลังจากนั้นเธอก็มาที่บ้านตระกูลเวิงเพื่อมาหาคุณแม่เวิง

ตอนนี้คุณแม่เวิงกำลังทำงานแบบสามวันจับปลา สองวันตากแห* เพราะโรงงานที่หล่อนทำงานอยู่ใกล้จะปิดตัวลงแล้ว หล่อนจึงนั่งถักไหมพรมแก้เบื่อไปพลาง ๆ

*ทำงานบ้างไม่ทำบ้าง

วันนี้หล่อนอยู่ที่บ้านพอดี พอเห็นหลินชิงเหอมาหาหล่อนก็ดีใจมากและเอ่ยขึ้น “ฉันนึกว่าคุณยุ่งอยู่น่ะค่ะเลยไม่ได้ไปหา”

“นับจากนี้ต่อให้ไม่มีเรื่องอะไรคุณก็มาหาฉันได้ตลอดนะคะ ฉันอยู่ที่นั่นว่าง ๆ นั่นแหละค่ะ” หลินชิงเหอพูด

ตอนนี้มีบางครั้งบางคราวที่เธอต้องไปสอนแทนอาจารย์คนอื่น ที่เหลือก็คือคาบสอนของตัวเอง เรื่องจัดการบางอย่างก็สามารถมอบให้ศึกษานิเทศก์* ได้

*ศึกษานิเทศก์ หมายถึง ผู้ชี้แจงแนะนำด้านการศึกษาแก่ครูอาจารย์ในโรงเรียน หรือวิทยาลัย

พอรู้ว่าหลินชิงเหอได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว คุณแม่เวิงก็บังเกิดความนับถือเธออย่างมาก “ได้เลื่อนตำแหน่งหรือคะ ดีจังเลย เงินเดือนก็จะสูงขึ้น พูดไปแล้วมันก็ไม่ง่ายเลยกว่าฉันจะได้เลื่อนเป็นผู้จัดการ แต่ว่าโรงงานใกล้จะปิดตัวลงแล้วนี่สิคะ”

“งานไม่ดีเหรอคะ” หลินชิงเหอพูด

“งานโรงงานไม่ค่อยกล้าได้กล้าเสีย เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกค่ะ” คุณแม่เวิงกล่าวอย่างไม่สนใจ โรงงานของหล่อนก็แค่ยืดชีวิตไปวัน ๆ มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ปีนี้น่าจะดำเนินกิจการไม่ไหวแล้ว บรรดาคนงานก็เริ่มจะทำใจแล้วด้วย

แต่คุณแม่เวิงไม่สนใจเลย เพราะถึงอย่างไรหล่อนก็จะเกษียณอายุอยู่แล้ว ครอบครัวหล่อนไม่ได้เดือดร้อนอะไร ลูกชายลูกสาวก็มีงานทำเป็นของตัวเองอยู่

“หน่วยงานที่กั๋วต้งทำอยู่เป็นอย่างไรบ้างคะ” หลินชิงเหอถาม

เดือนกรกฎาคมปีนี้เวิงกั๋วต้งได้ย้ายหน่วยงานกลับมา ตอนนี้ทำงานอยู่ในหน่วยงานรัฐบาล

“ดีทีเดียวค่ะ มั่งคงมากเลย” คุณแม่เวิงพยักหน้า จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าหลินชิงเหอเคยบอกกับหล่อนว่าต้องการให้ช่วยน้องสาวสามีของเธอทำเรื่องทะเบียนบ้าน หล่อนจึงพูดขึ้น “ที่คุณเคยพูดเรื่องนั้นกับฉันก่อนหน้านี้ ฉันเคยไปถามกั๋วต้งแล้ว กั๋วต้งบอกว่าให้ทำจริง ๆ ก็ทำได้ แต่ว่าต้องให้ซองแดง(เงินใต้โต๊ะ) กับคนอื่นสองสามคนด้วยนะคะ”

“นั่นอย่างไรก็ต้องให้ค่ะ” หลินชิงเหอยิ้มและพูดขึ้น “ประมาณเท่าไหร่หรือคะ?”

“ฉันเองก็ไม่แน่ใจ รอให้กั๋วต้งกลับมาตอนเย็นแล้วฉันจะลองถามเขาดู จากนั้นจะมาบอกคุณนะคะ” คุณแม่เวิงพูด

“ได้ค่ะ พรุ่งนี้ตอนบ่ายฉันว่าง” หลินชิงเหอพยักหน้า

คุณแม่เวิงชวนคุยเรื่อยเปื่อย เธอนั่งอยู่นานหลายชั่วโมงถึงค่อยกลับไป

เมื่อเวิงกั๋วต้งกลับมาจากที่ทำงานในตอนเย็น คุณแม่เวิงก็ถามเรื่องนี้ทันที

“เตรียมซองแดงเอาไว้ก่อน 2,000 หยวนนะครับ” เวิงกั๋วต้งพูด

“ 2,000 หยวน?” คุณแม่เวิงถึงกับเอ็ดอย่างอดไม่ได้ “เจ้าเด็กบ้า แม่กับน้าหลินสนิทกันขนาดนี้ ลูกยังคิดจะโกงหล่อนอีกเหรอ?”

เวิงกั๋วต้งพูดอย่างจนใจ “แม่พูดอะไรครับ ผมไม่ได้จะโกงหรืออะไรเลยนะ”

คุณพ่อเวิงได้ยินจึงเอ่ยออกมาเช่นกัน “คุณไม่รู้ก็อย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วคุณก็เอาเรื่องนี้ไปบอกทางบ้านโจวตรง ๆ ด้วย ไม่อย่างนั้นกั๋วต้งคงช่วยธุระคุณไม่ได้”

การย้ายทะเบียนบ้านเป็นเรื่องง่ายขนาดนั้นหรืออย่างไร เพื่อนร่วมงานของเขาก็ต้องการซองแดง ซึ่งนั่นก็เกี่ยวข้องกับเบื้องบนด้วยเหมือนกัน ดังนั้นจะเป็นเงินจำนวนน้อย ๆ ได้อย่างไร?

2,000 หยวนถือว่าไม่มากเลยสักนิด

ถ้าหาคนที่ไม่สนิทล่ะก็ ต่อให้มากกว่านี้ 1 เท่าตัวก็ไม่แน่ว่าจะย้ายทะเบียนบ้านได้หรือไม่

คุณแม่เวิงมาหาหลินชิงเหอในวันถัดมา และพูดอย่างลำบากใจ “ฉันไปถามเจ้าเด็กดื้อนั่นให้แล้วนะคะ เขาบอกว่าต้องการ 2,000 หยวน”

“ฉันรู้ค่ะว่ามันไม่ใช่เงินน้อย ๆ ตัวฉันเองก็ทำใจไว้แล้ว เป็นเพราะรู้จักพี่เวิงหรอก ไม่งั้นคนที่เที่ยงตรงอย่างกั๋วต้งคงไม่ช่วยฉันหรอกค่ะ” หลินชิงเหอบอก

คุณแม่เวิงได้ฟังก็คลายใจลง สาเหตุก็เพราะหล่อนกับหลินชิงเหอสนิทกัน ทำให้เข้าใจนิสัยซึ่งกันและกัน

“เที่ยงนี้กินข้าวที่นี่นะคะ ไปซื้อกับข้าวเป็นเพื่อนฉันด้วย” หลินชิงเหอพูด

“ได้อย่างไรกันคะ เหล่าเวิงกับกั๋วต้งกลับมากินข้าวที่บ้านกันหมดทั้งคู่” คุณแม่เวิงพูดพลางหัวเราะ

“งั้นเดี๋ยวฉันให้ชิงไป๋นึ่งหมั่นโถวเยอะหน่อย แล้วให้คุณเอากลับบ้านไป ตอนเที่ยงจะได้ไม่ต้องทำกับข้าวน่ะค่ะ” หลินชิงเหอบอก

ด้วยเห็นแก่น้ำใจของเธอ คุณแม่เวิงจึงไม่ได้ปฏิเสธอีก หล่อนนำหมั่นโถวกลับมาหนึ่งกล่อง และยังนำกล่องกับข้าวสามอย่างกลับมาด้วย

เมื่อคุณพ่อเวิงกลับมาถึงบ้านพร้อมกับเวิงกั๋วต้งและเห็นของกินเหล่านี้ เขาก็ไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลินชิงเหอให้คุณแม่เวิงห่ออาหารกลับมา ส่วนเวิงกั๋วต้งยิ้มและเอ่ยขึ้น “คราวนี้แม่ก็ไม่ต้องทำอาหารแล้วสินะครับ”

“ก็น้าหลินน่ะสิมีน้ำใจให้มาตั้งเยอะ แม่ก็เลยต้องห่อกลับมา รีบ ๆ มากินตอนที่ยังร้อนเร็ว” คุณแม่เวิงตอบ

คนที่นั่นยังไม่ได้จัดสำรับกับข้าวเลย หล่อนก็ห่ออาหารกลับมาแล้ว สักพักพวกเขาทั้งสามก็ลงมือกินกัน

“พรุ่งนี้คุณน้าหลินของลูกจะเอาทะเบียนบ้านมาให้ ถึงตอนนั้นลูกต้องจัดการให้ดีนะ” คุณแม่เวิงกำชับ

“รู้ครับ” เวิงกั๋วต้งตอบรับ

หลินชิงเหอมาหาโจวเสี่ยวเหมยหลังกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว พอโจวเสี่ยวเหมยได้ยิน หล่อนก็ดีใจจนใบหน้าแดงก่ำ “ฉันจะไปเอาให้พี่สะใภ้สี่เองค่ะ!”

หลินชิงเหอรอจนหล่อนนำทะเบียนบ้านและเงินออกมาให้ ก่อนพูดขึ้น “เรื่องนี้ห้ามพูดออกไปเด็ดขาดนะ”

“ฉันรู้แล้วค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยพยักหน้าตกลง

ถ้าจ่ายเงิน 2,000 หยวนแล้วสามารถจัดการปัญหานี้ได้ล่ะก็ โจวเสี่ยวเหมยก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว เงินจำนวนนี้ไม่ใช่น้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้แพงมากเช่นกัน หลังจากจัดการเรื่องเสร็จหล่อนก็จะได้เป็นคนปักกิ่งแล้ว!

หลินชิงเหอรู้สึกหวั่นเกรงอยู่เล็กน้อยเหมือนกัน เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการใช้เส้นสาย จึงไม่อาจแพร่งพรายให้ใครรู้ได้

ส่วนทางนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรนัก ทะเบียนบ้านของหู่จือค่อยจัดการทีหลังก็ยังได้ เขาไม่สามารถเดินเรื่องในตอนนี้ได้หรอก เพราะไม่ได้นำทะเบียนบ้านติดตัวมาด้วย

อีกอย่างเฉินซานซานก็ยังไม่ได้กลับไปเคารพพ่อกับแม่ของเขาเลย การมีความสัมพันธ์กับเวิงกั๋วต้งทำให้เธอไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไปพักใหญ่ ๆ

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ในที่สุดครอบครัวเสี่ยวเหมยก็ได้เป็นคนปักกิ่งโดยสมบูรณ์ ต้องขอบคุณสะใภ้สี่จริง ๆ ค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset