บทที่ 520 ไม่มีใครมาเลย

บทที่ 520 ไม่มีใครมาเลย

น้ำเสียงของสะใภ้ใหญ่ฟังดูไม่สู้ดีแล้ว “หล่อนทำเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?”

“พี่ก็รู้จักนิสัยของชิงไป๋ดี ถ้าไม่ใช่เพราะผิดหวังเกินไป เขาจะไม่สนใจเรื่องของจางเหมยเหลียนกับสวี่เชิ่งเฉียงเหรอคะ” หลินชิงเหอพูด และเสริมต่ออีกประโยค “พวกเราทางนี้ไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับตระกูลสวี่อีกแล้วค่ะ”

“งั้นพวกเราก็จะไม่ไปเหมือนกัน” สะใภ้ใหญ่พูดด้วยความโกรธเคือง

หล่อนไม่รู้เลยว่าจะเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ พี่สาวใหญ่ของหล่อนเลี้ยงดูลูกสาวลูกชายออกมาแบบไหนกัน?

แต่งผู้หญิงแบบนั้นเข้าบ้านแล้วต่อไปจะทำอย่างไร? ชื่อเสียงเลวร้ายออกขนาดนั้น สะใภ้ใหญ่ได้ฟังแล้วก็ไม่อยากจะไปงานเลยสักนิดเดียว

“พี่สะใภ้ใหญ่คะ ถ้าพี่มีเวลาว่างก็ไปบอกกับพี่สาวรองหน่อยนะคะ หู่จือกับกังจือปฏิบัติกับเชิ่งเหม่ยไม่มีขาดตกบกพร่องเลย แต่หล่อนกลับแทงข้างหลังหู่จือ เอาผู้หญิงแบบนั้นยัดเยียดให้กับเขา เรื่องนี้พี่ควรบอกกับพี่สาวรองนะคะ” หลินชิงเหอบอกเรื่องใหญ่ไป

บ้านใหญ่ทางนั้นไม่มีใครรู้เลยสักคนว่าสวี่เชิ่งเหม่ยจะกล้าทำเรื่องแบบนี้ทั้งยังถูกกรรมตามสนอง กล่าวได้ว่าบ้านใหญ่โจวฝั่งนี้โชคดีแล้ว

ไม่อย่างนั้นคงคิดไปว่าตระกูลสวี่เป็นคนมีคุณธรรม

สะใภ้ใหญ่ตอบตกลง พอกลับมาถึงบ้านหล่อนก็บอกให้พี่ชายใหญ่รับรู้ พอได้ยินเขาก็โกรธอย่างมาก

สีหน้าของพี่ชายใหญ่ดำทะมึน “คุณพ่อคุณแม่รู้หรือเปล่า?”

“ชิงเหอปิดเป็นความลับเอาไว้ค่ะ หล่อนไม่กล้าบอก เพราะหากคุณพ่อคุณแม่รู้เข้าคงจะโมโหจนไม่เป็นผลดี” สะใภ้ใหญ่ส่ายหน้า

หล่อนเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ แต่เรื่องอื่น ๆ นั้นหล่อนไม่ได้เอ่ยออกมา พวกเขาเพียงแต่ไม่อยากไปงานดื่มสุรามงคลนี้แล้ว

สะใภ้ใหญ่ไปหาพี่สาวรองที่อยู่ภายในหมู่บ้านและบอกเรื่องนี้

พี่สาวรองได้ยินก็นิ่งอึ้งไป “มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยเหรอ?”

“เฮ้อ พี่จะไปหรือไม่ไปก็หาวิธีเอาเองแล้วกันค่ะ” สะใภ้ใหญ่ถอนหายใจดังเฮือก

พี่สาวรองส่งน้องชายกับน้องสะใภ้กลับ แต่ตอนกลับมาถึงบ้าน สีหน้าของหล่อนนั้นดำแล้วดำอีก หล่อนบอกลูกชายคนโตที่จะไปให้เงินของขวัญงานแต่งว่าไม่ให้ไปแล้ว

สะใภ้ใหญ่เองก็ไม่ไปเช่นกัน แต่สะใภ้รองกลับจะไปให้ได้ สะใภ้ใหญ่กับหล่อนมีความสัมพันธ์ธรรมดา และเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหล่อน ดังนั้นจึงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับหล่อน แต่กลับบอกพี่ชายสามให้เอาเรื่องนี้ไปบอกกับสะใภ้สามด้วย

ดังนั้นในงานแต่งงานของสวี่เชิ่งเฉียงกับจางเหมยเหลียนที่ชนบท ทางพี่สาวใหญ่ตระกูลโจวจึงมีเพียงสะใภ้รองและพี่ชายรองเท่านั้นที่ไปงาน แน่นอนว่าพวกเขาได้นำซองเงินของขวัญมามอบให้ด้วย

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่มีใครมาเลยล่ะ?” พี่สาวใหญ่รู้สึกงุนงง

“ไม่รู้สิคะ เห็นบอกกันว่าไม่ว่าง แม้กระทั่งงานแต่งหลานชายห่าง ๆ ก็ไม่มา ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่ายุ่งเรื่องอะไรกัน” สะใภ้รองพูด

“คุณหยุดพูดเหน็บแหนมคนอื่นได้แล้ว” พี่ชายรองเอ่ยอย่างไม่พอใจ หลังจากนั้นก็ดึงพี่สาวคนโตของตนไปอีกทาง “พี่สาวใหญ่ หรือว่าสะใภ้คนนี้จะไม่ดีครับ?”

“ไม่ดีเหรอ? จะไม่ดีได้ยังไง หล่อนทั้งสวยทั้งมีมารยาท บ้านหล่อนยังอยู่เมืองหลวงเสียด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าตระกูลสวี่ทำบุญด้วยอะไร” พี่สาวใหญ่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

พี่ชายรองมุ่นคิ้ว “ถ้าหล่อนดีจริง ทำไมคนอื่นถึงไม่มาเลยล่ะครับ?”

ไม่มาคนหนึ่งถือว่าไม่เป็นไร แต่นี่ทั้งบ้านน้องชายสาม บ้านพี่ชายใหญ่ และบ้านพี่สาวรองกลับไม่มากันหมดเลย

“รอให้งานวันนี้ผ่านไปก่อน ฉันจะไปถามพวกเขาให้รู้เรื่อง!” พี่สาวใหญ่พูดอย่างใจคอไม่ดี

หล่อนหรือก็จัดโต๊ะไว้ให้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะไม่มา

งานแต่งงานในชนบทไม่ได้เสียเวลาอะไรขนาดนั้น แต่สวี่เชิ่งเฉียงบอกว่าอย่างไรก็จะจัดงานให้ใหญ่โตให้ได้ ทำให้ต้องล้มหมูถึง 2 ตัวเต็ม ๆ เพื่อรับแขก

นี่ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ เลย มีคนในชนบทไม่น้อยพากันพูดถึงเรื่องนี้ ว่าสวี่เชิ่งเฉียงในตอนนี้ร่ำรวยขึ้นแล้ว

แต่งกับสาวเมืองหลวงไม่พอ แต่ยังจัดงานแต่งออกมาได้สมฐานะอีกต่างหาก?

เขานับว่าเป็นคนแรกของชนบทจริง ๆ มีคนไม่น้อยถึงกับทยอยเรียกสวี่เชิ่งเฉียงว่าลูกพี่แล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขาอยากจะผูกมิตรกับเขาไว้เพื่อจะได้หาประโยชน์จากเขาหรอกหรือ?

สวี่เชิ่งเฉียงทำแค่เพลิดเพลินไปกับคำเยินยอ แต่ไม่คิดจะพาใครไปปักกิ่งทั้งนั้น

ตัวเขาเองกว่าจะได้สินค้าก็ไม่ใช่ง่าย ๆ แล้วจะพาคนอื่นไปด้วยทำไม

ส่วนจางเหมยเหลียนนั้นกำลังฝืนใจภาวนาให้งานนี้จบ ๆ ไปเสียที คนบ้านนอกพวกนี้ช่างหยาบกระด้าง ขณะกินข้าวก็แคะขี้ฟันไปด้วย หล่อนแค่เห็นก็จะอาเจียนแล้ว

วันถัดมาหล่อนจึงโวยวายว่าจะกลับ สวี่เชิ่งเฉียงเองก็อยากกลับไปหาเงินแล้วเช่นกัน แต่พวกเขาต้องอยู่ภายในบ้านเป็นเวลา 3 วัน ทะเบียนอะไรที่ควรจัดการก็จัดการหมดแล้ว ทันทีที่ครบ 3 วัน จางเหมยเหลียนก็ไม่อยากจะอยู่ต่อแม้เพียงครึ่งก้าว และเดินทางกลับปักกิ่งไปพร้อมกับสวี่เชิ่งเฉียง

ในที่สุดพี่สาวใหญ่ก็มีเวลาว่างแล้ว หล่อนจึงตรงไปหาน้องสาว

“พี่สาวใหญ่คะ เฉียงจือแต่งงานทั้งทีฉันย่อมต้องไป แต่พี่ได้ถามเชิ่งเหม่ยบ้างไหมคะว่าหล่อนทำอะไรลงไป แล้วสะใภ้คนนี้ของพี่หล่อนมีประวัติอะไรพี่รู้บ้างไหมคะ?”พี่สาวรองพูด

ที่จริงความสัมพันธ์ของหล่อนกับพี่สาวใหญ่นั้นไม่เลวเลย พี่สาวใหญ่ปฏิบัติต่อหล่อนเป็นอย่างดี และหล่อนก็ไม่เคยทำอะไรพี่สาวใหญ่เลย ทั้งยังกำชับลูกชายสองคนที่ไปปักกิ่งว่าให้ดูแลสวี่เชิ่งเหม่ยดี ๆ ด้วยซ้ำ

แต่ทำไมสวี่เชิ่งเหม่ยต้องทำกับหล่อนแบบนี้ ถึงกับคิดจะยัดเยียดผู้หญิงแบบนั้นให้หู่จือ!

ตอนนี้เรื่องก็ได้คลี่คลายด้วยดี ผู้หญิงคนนั้นแต่งงานกับเฉียงจือแล้ว นับว่าสวี่เชิ่งเหม่ยทำตัวเองทั้งนั้น

พี่สาวใหญ่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยพูดอย่างงุนงง “เธอหมายความว่าอะไร”

“หมายความว่าอะไรฉันก็ไม่รู้หรอกค่ะ พี่ลองโทรศัพท์ไปถามเชิ่งเหม่ยเอาเองแล้วกัน!” พี่หญิงรองพูด

หัวใจของพี่สาวใหญ่รู้สึกสับสน หล่อนไม่ได้ไปหาสะใภ้ใหญ่ แต่กลับไปยังที่ทำการหมู่บ้านในชนบท และโทรศัพท์หาบ้านตระกูลจ้าว

สวี่เชิ่งเหม่ยเป็นคนรับสายพอดี เนื่องจากคนอื่น ๆ ไม่อยู่บ้าน

สวี่เชิ่งเหม่ยนึกว่าแม่ของหล่อนรู้เรื่องทั้งหมดแล้วจึงพูดเรื่องจางเหมยเหลียนให้ฟังหนึ่งรอบอย่างไม่เกรงใจ สุดท้ายก็ด่าอีกว่า “คุณอาก็ไร้น้ำใจเกินไปแล้ว เขาไม่สนใจเฉียงจือเลยสักนิด กลับยอมให้เฉียงจือแต่งงานกับนังผู้หญิงนั่น!”

พี่สาวใหญ่แทบประคองโทรศัพท์เอาไว้ไม่อยู่ และตวาดด้วยความโมโห “ทำไมแกไม่บอกตั้งแต่แรก?!”

“บอกแต่แรกอะไร หนูบอกแล้วมีประโยชน์อะไรคะ เฉียงจือถูกแม่เลี้ยงจนเสียคนแล้ว หนูเตือนเขาตั้งหลายครั้ง เขาก็ถูกหล่อนเป่าหูตลอด ถ้าแม่ต้องการหยุดเขา หนูว่าแม้แต่แม่ก็อาจจะโดนเขาตบเหมือนกัน ช่างเถอะค่ะ เขาอยากแต่งก็ให้แต่งไป ดูสิว่าจะอยู่กับจางเหมยเหลียนได้สักกี่ปี ถึงตอนนั้นยังไงก็ต้องหย่า!” สวี่เชิ่งเหม่ยพูด

“ใครจะหย่าเหรอ” จ้าวจวินที่เพิ่งเข้ามาพูดขึ้น

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยตอบกลับ หลังจากนั้นก็บอกกับแม่ของหล่อนว่าขอวางสายก่อน และค่อยหันมามองเขา “เมื่อคืนทำไมไม่กลับบ้านคะ ไปไหนมาเหรอ?”

“ไปกินเลี้ยงกับเพื่อน ๆ น่ะ” จ้าวจวินตอบกลับส่ง ๆ ประโยคเดียว

สวี่เชิ่งเหม่ยรอให้เขานั่งลง จากนั้นก็ได้กลิ่นของผู้หญิงจากร่างกายของเขา ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเมื่อคืนเขาต้องไปทำเรื่องอะไรกับผู้หญิงคนอื่นอย่างแน่นอน ทำให้ในใจหล่อนบังเกิดโทสะขึ้นมา

แต่ต่อให้โกรธไปแล้วหล่อนจะทำอะไรได้ หล่อนยังต้องดำเนินชีวิตแบบนี้ต่อไปอยู่ดี

“ผมเดินผ่านร้านของเชิ่งเฉียงแล้วเห็นว่าร้านปิดอยู่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?” จ้าวจวินถาม

“คุณจะเดินไปที่นั่นทำไมคะ” สวี่เชิ่งเหม่ยถาม

“นั่นมันร้านน้องชายภรรยาผมนะ แค่เดินผ่านไปดูผมก็ทำไม่ได้เหรอ” จ้าวจวินพูด

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เป็นไงล่ะคะพี่สาวใหญ่ สอนลูกมายังไงให้เละเทะแบบนี้คะ

เชิ่งเหม่ยระวังไว้เถอะ ดูท่าเธอจะโดนสวมหมวกเขียวหลายใบเลย

ไปดูร้านของน้องชายภรรยา หรือไปดูภรรยาของน้องชายภรรยากันแน่คะจ้าวจวิน

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset