บทที่ 410 ฐานะพี่สะใภ้ใหญ่

บทที่ 410 ฐานะพี่สะใภ้ใหญ่

บทที่ 410 ฐานะพี่สะใภ้ใหญ่

แม้เขาจะมาจากชนบทและยังมีรูปลักษณ์ธรรมดาทั่วไป แต่โครงสร้างร่างกายอันบึกบึนของเขาช่างน่าดึงดูดนัก

นับจากนั้นเป็นต้นไป หู่จือก็เจอกับจางเหมยเหลียนอยู่เรื่อยมา และเนื่องจากจางเหมยเหลียนแสดงด้านอ่อนโยนใจดีต่อหน้าเขา หู่จือจึงคิดว่าหญิงสาวคนนี้เป็นคนดีไม่น้อย

ซึ่งหลินชิงเหอไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย

ในวันแรกของเทศกาลปีใหม่ พวกเขาอยู่ที่บ้านและเตรียมขนมกับของว่างมากมายไว้ต้อนรับลูกจ้างที่มาเยี่ยมเยือน

ส่วนวันที่สองของเทศกาลปีใหม่ คุณพ่อเวิงกับคุณแม่เวิงก็ได้พาเวิงเหม่ยเจี่ยมาเยี่ยมที่บ้านในฐานะแขก

โดยไม่ต้องบอก หลินชิงเหอรู้สึกดีใจมาก

โดยเฉพาะคุณแม่เวิงที่เข้ากับเธอได้ดี

“ฉันไม่เคยเห็นใครที่ยังคงความอ่อนเยาว์ได้อย่างอาจารย์หลินเลยค่ะ เสี่ยวข่ายกับน้อง ๆ โตกันขนาดนี้แล้วแต่คุณก็ยังไม่ดูแก่ลงแม้แต่น้อย เทียบกันแล้วฉันกลายเป็นหญิงหน้าเหลือง* ไปเลย” คุณแม่เวิงพูด

*หญิงหน้าเหลือง หมายความว่า ขี้เหร่

เดิมทีหล่อนรู้สึกว่าหลินชิงเหอยังอายุน้อยอยู่เมื่อมองจากรูปถ่าย ไม่ต้องพูดถึงการเจอตัวจริงเลย เธอดูอ่อนเยาว์จริง ๆ ไม่เหมือนคนที่อายุมากขนาดนี้เลยสักนิด

หลินชิงเหอยิ้ม “ก่อนที่ฉันจะได้ลิ้มรสหวานก็ผ่านความลำบากมาเหมือนกันค่ะ ช่วงนั้นมีเรื่องให้กังวลหลายอย่าง แต่ตอนนี้พวกลิงทะโมนโตกันหมดแล้ว ฉันถึงมีเวลามาบำรุงตัวเอง ชั่วชีวิตที่เหลือนี้ฉันไม่ต้องกังวลเรื่องของพวกเขาแล้ว เลยได้เวลาทำตัวเอื่อยเฉื่อยบ้างเสียทีน่ะค่ะ

“แม่ผมเคยบอกว่าจะใช้เวลาลอยชายไปครึ่งวันเลยล่ะครับ” โจวกุยหลายบอก

เรื่องนี้ทำให้คุณพ่อเวิงกับคุณแม่เวิงอมยิ้ม

จากนั้นหลินชิงเหอก็หันไปถามเวิงเหม่ยเจี่ย “ปีนี้หนูเริ่มฝึกงานแล้วหรือยังจ๊ะ?”

“ค่ะ หนูเรียนทฤษฎีเกือบหมดแล้ว ปีนี้หนูเลยจะไปฝึกงานน่ะค่ะ” เวิงเหม่ยเจี่ยพยักหน้า

การฝึกงานใช้เวลานานมาก มันใช้เวลาราว 2 ปีกว่าที่คน ๆ หนึ่งจะได้เป็นเจ้าหน้าที่ทั่วไป

“ไม่ต้องรีบหรอกจ้ะ ค่อย ๆ เรียนไป หนูยังอายุแค่นี้เอง แต่ถึงอย่างนั้นหนูก็เก่งนะที่ได้เรียนวิชาเอกนี้ ต่อให้มันจะเป็นอาชีพที่มีแต่คนต้องการทำงานก็ตาม” หลินชิงเหอบอก

“ติดแค่ว่ามันลำบากเหลือเกินนี่สิคะ” คุณแม่เวิงรู้สึกท้อแท้แทนลูกสาว

การเป็นพยาบาลไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไม่ใช่ว่าคนไข้และญาติคนไข้ทุกคนจะเป็นมิตรด้วย บางคนก็ไร้เหตุผลไม่น้อยเหมือนกัน

“หนูชอบวิชาชีพนี้ค่ะ” เวิงเหม่ยเจี่ยส่ายหน้า

“พยาบาลงานหนักจริง ๆ นะ โดยเฉพาะช่วงฝึกงาน แต่มันก็ฝึกคนเหมือนกัน หนูโตแล้วควรที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองได้แล้วนะจ๊ะ” หลินชิงเหอบอก

“เป็นพยาบาลในโรงพยาบาลทหารน่าจะดีกว่านะ” โจวชิงไป๋พูด

“ค่ะ ถึงเวลานั้นหนูก็วางแผนไว้ว่าจะสมัครเข้าทำงานสายนั้นน่ะค่ะ” เวิงเหม่ยเจี่ยเม้มปากและคลี่ยิ้ม

“ลูกชายคนโตของเราก็จะออกจากโรงเรียนเตรียมทหารในปีหน้าแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็คงจะได้อยู่ที่เดียวกับหนู หนูต้องช่วยน้าหลินดูแลเขาด้วยนะจ๊ะ” หลินชิงเหอบอก

“พี่ชายหนูก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน เราจะช่วยดูแลซึ่งกันและกันเมื่อถึงตอนนั้นค่ะ” เวิงเหม่ยเจี่ยพยักหน้า

หลินชิงเหอรู้สึกพอใจมาก ฟังคำพูดหล่อนดูสิ หล่อนเป็นเด็กดีขนาดไหน?

“เสี่ยวข่ายอายุเท่านี้ก็ไม่เด็กแล้วนะคะ กั๋วเหลียงของเราบอกว่าเขาจะแนะนำใครบางคนให้ด้วยน่ะค่ะ” คุณแม่เวิงเอ่ยถึงด้วยรอยยิ้ม

“แนะนำอะไรกันคะ? เขาตัวโตขนาดนั้นก็จริง แต่ยังไม่โตเต็มที่เลยค่ะ แต่ถึงอย่างไรในอนาคตฉันก็จะปฏิบัติกับลูกสะใภ้เหมือนลูกสาวคนหนึ่ง จะไม่มีความขัดแย้งระหว่างแม่สามีลูกสะใภ้ที่บ้านของฉัน แล้วอนาคตพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องอยู่กับฉันด้วย เมื่อถึงเวลาก็จะให้พวกเขาย้ายไปใช้ชีวิตอยู่กันเองน่ะค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ย

“อ้า ผมแค่ไม่อยู่ด้วยแป๊บเดียวพวกม้าก็พูดกันไปไกลแล้วเหรอครับ? หรือว่าพี่เหม่ยเจี่ยจะกลายเป็นพี่สะใภ้ของเราแล้ว?” โจวกุยหลายที่กำลังดูทีวีอยู่ก็หันมาถาม

ไม่ว่าเวิงเหม่ยเจี่ยจะเป็นคนหนักแน่นมั่นคงแค่ไหน หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง

“เป็นแค่เด็กปากไม่มีหูรูดคนหนึ่งน่ะครับ คุณลุงกับทุกคนอย่าใส่ใจเขาเลย” โจวเฉวี่ยนเอ่ย

หลินชิงเหอไม่ได้เอ่ยอะไร เธอแค่หันไปหาคุณแม่เวิง “ปกติแล้วคุณมีเวลาว่างตอนไหนเหรอคะ?”

“วันอาทิตย์น่ะค่ะ” คุณแม่เวิงตอบและจงใจเมินประโยคนั้น

“ฉันก็เหมือนกันค่ะ ปกติแล้วฉันก็อยู่บ้านว่าง ๆ ในวันอาทิตย์เหมือนกัน ถ้าคุณว่างก็มาหาฉันได้นะคะ ฉันจะได้ทำของอร่อย ๆ ให้กิน” หลินชิงเหอบอก

“งั้นก็อย่าเพิ่งรำคาญฉันแล้วกันนะคะ” คุณแม่เวิงยิ้มกว้าง

เดิมทีพวกเขาไม่ได้วางแผนว่าจะอยู่รอรับประทานอาหารกลางวัน แต่ก็ไม่อาจเอาชนะความชอบใจในตัวลูกสาวของหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ได้

พวกเขาจึงอยู่รับประทานอาหารกลางวันก่อนจะขอตัวกลับ

ระหว่างทางเดินกลับ คุณพ่อเวิงก็เอาแต่พูดว่า “พวกเขาช่างเยี่ยมยอดจริง ๆ”

ส่วนคุณแม่เวิงนั้นไม่ต้องพูดอะไรเลย หล่อนรู้สึกว่าหากได้เกี่ยวดองกับหลินชิงเหอ พวกหล่อนก็น่าจะเป็นเหมือนพี่สาวน้องสาวกันได้ ซึ่งนับว่าดีเยี่ยมโดยแท้

“เหม่ยเจี่ย ลูกคิดว่าอย่างไรจ๊ะ?” คุณแม่เวิงถามลูกสาวคนเล็ก

เวิงเหม่ยเจี่ยหน้าแดงระเรื่อ “แม่พูดอะไรน่ะคะ? ไร้สาระน่า น้อง ๆ ของโจวข่ายไม่รู้เรื่องอะไรหรอก”

“ลูกโตขนาดนี้แล้ว แม่ก็มองหาคนที่เหมาะสมให้ลูกอยู่น่ะสิ ก่อนหน้านั้นคุณยายก็พูดเรื่องนี้อยู่ แต่แม่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องในครอบครัวเราหรอก ตระกูลจี้ที่อยู่ข้างบ้านมาคุยเรื่องนี้เหมือนกัน ซึ่งแม่ก็ไม่เห็นด้วย” คุณแม่เวิงพูด

ตอนที่โจวข่ายเข้ามหาวิทยาลัยในปีแรก คุณแม่เวิงก็คิดเรื่องนี้อยู่แล้ว พอผ่านมาได้หลายปีจึงพบว่ายิ่งมองโจวข่ายมากเท่าใดหล่อนก็ยิ่งพึงพอใจเด็กหนุ่มมากขึ้น

แต่ความพึงพอใจนี้ได้เพิ่มขึ้นถึงขีดสุดหลังจากพบกับหลินชิงเหอและโจวชิงไป๋

“ถ้าแม่หาใครสักคนให้ลูก แม่ก็ต้องมองหาคนที่เป็นแบบครอบครัวโจว ลูกเองก็ได้เห็นแล้วนี่ คุณน้าหลินกับคุณน้าโจวใช้ชีวิตร่วมกันด้วยดี ส่วนโจวข่ายแทบจะโตมากับพี่รองของลูกเลย ลูกเองก็รู้นิสัยของเขาดีนี่จ๊ะ” คุณแม่เวิงพูด

“แม่คะ วันนี้เป็นวันปีใหม่ อย่าพูดเรื่องนี้เลยค่ะ” เวิงเหม่ยเจี่ยเอ่ยอย่างจนใจ

“งั้นแม่ไม่พูดก็ได้ อย่างไรซะแม่รู้สึกชอบเสี่ยวข่ายนะ ถ้าลูกหาใครคนอื่นแล้วมีชีวิตที่ย่ำแย่ในอนาคตก็อย่ากลับมาร้องห่มร้องไห้กับแม่แล้วกัน” คุณแม่เวิงบอก

ด้วยสายตาของผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน หล่อนพบว่าครอบครัวโจวช่างไร้ที่ติ ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเข้ากันได้ดีกับครอบครัวของหล่อนด้วย

“อีกไม่นานหิมะจะตกแล้ว เรารีบกลับกันเถอะ” คุณพ่อเวิงเอ่ยคลี่คลายสถานการณ์

ครอบครัวนี้จึงรีบเดินทางกลับบ้าน

หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋กำลังอารมณ์ดีทั้งคู่ โดยที่หลินชิงเหอนั้นหยิบเงิน 10 หยวนออกมาเป็นรางวัลให้เจ้าสาม “เอาไปซื้อขนมกินนะจ๊ะ”

คำพูดไร้เดียงสาของเจ้าสามนี่เองทำให้เธอได้ทราบว่าคุณแม่เวิงมีเจตนาเช่นนั้น ซึ่งหลินชิงเหอรู้สึกดีใจมากเพราะเธอเองก็กำลังคิดอยากให้ลูกสาวของอีกฝ่ายมาเป็นลูกสะใภ้ของเธอเหมือนกัน

“ม้า ม้าอยากให้พี่เหม่ยเจี่ยมาเป็นพี่สะใภ้ของเราจริง ๆ เหรอครับ?” โจวกุยหลายยิ้มกริ่มหลังรับเงินไปแล้ว

“ทำไมล่ะ? ไม่ได้เหรอ?” หลินชิงเหอถาม

“แน่นอนว่าได้สิครับ พี่ใหญ่น่าจะแต่งงานกับคนแบบนี้ หล่อนทั้งอ่อนโยนมีความรู้ เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยและพยาบาล แถมฐานะทางบ้านก็ดี เข้ากันกับครอบครัวของเราเลยล่ะครับ” โจวกุยหลายเอ่ยเยินยอเป็นชุด

“เรื่องนี้พูดกับม้าไม่เป็นไรหรอก แต่อย่าไปพูดแบบนี้ข้างนอก เข้าใจไหม?” หลินชิงเหอเตือนน

“ผมรู้น่า ผมไม่ได้ไร้สมองหรอก แต่ยังไม่ได้ตรวจสอบฤกษ์วันเดือนปีเกิดเลยนะครับ” โจวกุยหลายตอบ

หลินชิงเหอรู้สึกพอใจและนั่งลงจิบชากับโจวชิงไป๋ เธอเอ่ยด้วยท่าทางสบายใจ “ถ้าเรื่องนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ครอบครัวของเราก็น่าจะมีสมาชิกเพิ่มใน 2 หรือ 3 ปีนะคะ”

โจวชิงไป๋เปลี่ยนความปรารถนาที่จะได้ลูกสาวมาเป็นหลานสาวแล้ว เขาที่อยากจะอุ้มหลานสาวก็ได้ตอบกลับไป “ให้เขาพยายามมากกว่านี้เถอะ”

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แม่สื่อชิงเหอทำงานแล้วล่ะค่ะ มีคุยกับทางคุณแม่เวิงเสร็จสรรพเลย เหลือแต่เจ้าใหญ่แล้วนะคะที่จะชอบน้องเขาไหม

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset