บทที่ 363 เคล็ดลับบำรุงผิว
หลังโจวข่ายกลับไปแล้ว จูเจินเจินก็เข้าไปในบ้านพร้อมกับใบหน้าแดงซ่าน
แม่เฒ่าจูกำลังเย็บพื้นรองเท้าอยู่ เมื่อนางเห็นหล่อนเข้ามาในบ้านก็เอ่ยทัก “หนูเข้ามาทำไมน่ะ? ออกไปรอสิ วันนี้โจวข่ายมาหาแน่ ๆ แล้ว”
“บางที…บางทีหนูอาจเห็นคนที่คุณย่ากำลังพูดถึงก็ได้ค่ะ” จูเจินเจินเม้มปากเอ่ยด้วยใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ
เมื่อแม่เฒ่าจูได้ยินดังนี้ นางก็ถามรัวเร็ว “เป็นเด็กหนุ่มที่ตัวสูงมาก หน้าตาหล่อเหลา และคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงใช่หรือเปล่า?”
จูเจินเจินพยักหน้าด้วยความเขินอาย “ค่ะ เขาตัวสูงและหล่อเหลา แต่ดูยังไม่โตเป็นหนุ่มนัก เขาอายุแค่ 18 ปีหลังปีใหม่นี้จริง ๆ เหรอคะ?”
“ย่าจะล้อเล่นได้ยังไงล่ะ เขาตัวสูงขนาดนี้ก็เลยไม่ได้ดูบอบบางอีกต่อไป ถึงอย่างนั้นพ่อหนุ่มตัวโตนี่ก็สมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติเลยทีเดียวเชียว หนูชอบเขาไหมล่ะ? ถ้าชอบเขา ย่าจะได้หาเวลาสานสัมพันธ์ให้หนู” แม่เฒ่าจูบอก
พ่อเฒ่าจูไม่อาจฟังได้อีกต่อไปจึงเอ่ยขึ้นมา “ชั่วพริบตาเดียวปีใหม่ก็กำลังมาถึงแล้ว ดังนั้นอย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย ถ้าอยากพูดก็ค่อยรอหลังปีใหม่เถอะ”
“ฉันไม่ได้พูดตอนนี้สักหน่อย งั้นก็พูดหลังปีใหม่เถอะ” แม่เฒ่าจูไม่เป็นกังวลนัก เด็กหนุ่มคนนี้ยังเด็กและไม่มีคนรัก นางจึงไม่กลัวว่าจะมีใครแย่งเขาไป
ยิ่งกว่านั้นนางยังมีความสัมพันธ์อันดีกับท่านแม่โจว การได้หลานสาวแสนดีของนางไปเป็นหลานสะใภ้คงทำให้ท่านแม่โจวยิ้มอย่างมีความสุขได้
จูเจินเจินหน้าแดงและไม่เอ่ยอะไรต่อ
ส่วนโจวข่ายผู้ยังไม่รู้ว่ามีคนคิดถึงเขาก็กำลังกินซาลาเปาและซี่โครงแกะอยู่ในร้านของอาเขยเล็ก
“สา….สาลี่ผลนี้…สาลี่นี่มัน…สดมากเลยนะ” ซูต้าหลินเอ่ยขณะกัดผลสาลี่
ช่วงนี้เขารู้สึกตัวรุม ๆ เล็กน้อย ตอนนี้เขาจึงรู้สึกว่าสาลี่ผลนี้ช่างอร่อยเป็นพิเศษ
“ถ้าอาเขยเล็กชอบ อาก็ไปซื้อที่ห้างสรรพสินค้าได้นะครับ เราเพิ่งไปมาเมื่อวานแล้วก็เห็นว่ามันไม่สดเท่ากับที่พ่อผมซื้อมาเลย” โจวข่ายบอก
“อืม” ซูต้าหลินพยักหน้า เมื่อเห็นว่าหลานชายกินเสร็จแล้วก็ถามขึ้น “หลาน…หลาน…อยากกินเพิ่มอีกไหม?”
“ไม่ล่ะครับ ผมอิ่มแล้ว” โจวข่ายตอบ “ทางเราได้ยินเรื่องนี้มาแล้วล่ะครับ ว่าในอนาคตสถานการณ์จะคงตัวมากขึ้น คุณอาเล็กย้ายมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้แล้วเคยคิดจะซื้อร้านบ้างไหมครับ?”
“พ่อ…พ่อหลาน…ก็…พูดแบบเดียว…กันน่ะ” ซูต้าหลินตอบ
“ครับ แล้วมันจะไม่เลวร้ายเลยหลังได้ซื้อร้านมาแล้ว” โจวข่ายพยักหน้า
ส่วนร้านเกี๊ยวนั้นแม่ของเขาซื้อมาทั้งแต่สิ้นปี 1979 แล้ว เขาจึงไม่เอ่ยอะไร
ในตอนนั้นเธอสามารถซื้อร้านค้าได้ด้วยเงิน 3,000 หยวน เงินจำนวนนี้มากขนาดไหนกัน? ตอนนั้นพ่อแม่ของเขาไม่มีธุรกิจใด ๆ เลย พวกเขาจึงต้องอาศัยเงินเก็บที่หามาได้จากการทำไร่ทำนา ทุกคนที่มีสายตาเฉียบแหลมต่างมองออกว่าเป็นเรื่องยากลำบากทีเดียวที่จะหาเลี้ยงทั้งครอบครัวด้วยงานน้อยนิดแบบนั้น
แล้วพวกเขามีเงินมาจากไหนกัน?
ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่จำเป็นต้องเอ่ยเลย
“มัน…แพง…เกินไป…ร้านกะ…ร้านเกี๊ยว…ของพ่อ…พ่อหลาน…ราคา…ตั้งสี่…สี่พันแน่ะ” ซูต้าหลินเอ่ย
โจวข่ายเข้าใจทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้วก็ยิ้มในใจ แม่ของเขาต้องพูดมันออกไปแล้วแน่ ๆ
เขาจึงบอกกลับไปว่า “ผมเคยได้ยินแม่ผมพูดอยู่เหมือนกันครับ ราคา 4,000 หยวนดูเหมือนมากทีเดียว แต่ร้านเกี๊ยวของพ่อก็อยู่มา 1 ปีหรือราว ๆ นั้นแล้วครับ”
กิจการร้านเกี๊ยวนับว่าดีมากแม้ส่วนต่างกำไรจะน้อย ซูต้าหลินเองก็อยู่ในวงการธุรกิจนี้เหมือนกัน เขาจึงมีการประมาณไว้ในใจด้วย ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างไม่รู้สึกประหลาดใจมากนัก
ผลกำไรที่ร้านของเขาก็เป็นเหมือนกัน
“เงินสามสี่พันเหมือนจะแพง แต่อาคงจะได้คืนทุนในอีก 1 ปีหรือราว ๆ นั้นนะครับ อนาคตยังอีกยาวไกล ดังนั้นอาต้องรักษาร้านของอาไว้ให้มั่นคงนะ” โจวข่ายเอ่ยย้ำ
“นั่นฟัง…ดูเหมือน…มีเหตุผลนะ…” ซูต้าหลินพยักหน้า
กิจการตอนนี้กำลังเป็นไปด้วยดี แต่ซูต้าหลินก็มีความกังวลอยู่บ้าง เพราะร้านค้าไม่ใช่ร้านของเขาเอง
เสี่ยวเหมยเองก็พูดอย่างเดียวกัน ถ้าร้านค้าเป็นของพวกเขาเอง มันน่าจะมั่นคงมากกว่านี้และไม่มีใครมาขัดขวางธุรกิจของพวกเขาได้
ไม่นานนักก็มีลูกค้าเข้ามาซื้อซาลาเปา ซูต้าหลินจึงผละไปบริการ พวกเขาซื้อซาลาเปาเป็นจำนวนมากถึง 3 ถุงกระดาษไข
ซูต้าหลินจึงแถมให้อีกหนึ่งลูกจากคำสั่งซื้อเดิมโดยไม่ลังเล
“ขอบคุณค่ะ” ลูกค้าได้เห็นก็ดีใจและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ซูต้าหลินยิ้ม
ต้องบอกว่าซูต้าหลินเก่งในด้านการทำธุรกิจจริง ๆ เขาเรียนรู้เรื่องนี้มาจากโจวชิงไป๋
ซาลาเปาของเขาเป็นซาลาเปาคุณภาพดีโดยแท้ มีรสชาติยอดเยี่ยมและยังราคาไม่แพง แต่ถือว่าเป็นงานหนักไม่น้อย ในเดือนแรกพวกเขาทำรายได้เพียง 100 หยวนหรือราว ๆ นั้น ส่วนเดือนต่อ ๆ มาก็มีรายได้ขยับเป็น 200 หรือ 300 หยวนต่อเดือน
และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือร้านซาลาเปาของเขามีชื่อเสียงอย่างมาก ปกติแล้วคนที่อยากกินซาลาเปาจะมาซื้อกินที่ร้านนี้โดยเฉพาะต่อให้จะอยู่ห่างจากบ้านของพวกเขาก็ตาม
โจวข่ายนั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นลูกค้าก็ทยอยเข้ามาซื้อซาลาเปา ส่วนใหญ่กลับไปพร้อมกับซาลาเปาเต็มถุงกระดาษไขราว 2-3 ถุง ส่วนน้อยกลับไปพร้อมกับซาลาเปาไม่กี่ลูกไว้รับประทานเอง กิจการของร้านนับว่าดีมากทีเดียว
“อาเขยเล็กครับ ผมกลับก่อนนะ” โจวข่ายบอก
“เอา…ซาลาเปา…กลับไปด้วยสิ” ซูต้าหลินเอ่ยรัวเร็ว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมจะไปบ้านเพื่อน ไม่ได้กลับบ้านน่ะครับ” โจวข่ายตอบ แล้วก็เดินตรงไปที่ถนนใหญ่เพื่อรอรถประจำทาง ก่อนจะขึ้นรถไปที่บ้านตระกูลเวิง
ตอนนี้สายแล้ว แต่คุณพ่อเวิงกับคุณแม่เวิงได้หยุดงานอยู่กับบ้านทั้งคู่ พวกเขาดีใจมากที่เห็นเขามาหา
โดยเฉพาะคุณแม่เวิงที่เอ่ยอย่างคาดโทษ “เมื่อวานซืนเธอมาที่นี่แล้วก็ไม่ได้อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันเลย ถ้าวันนี้เธอไม่อยู่กินข้าวเที่ยง ป้าจะโกรธแล้วนะ”
“วันนี้ผมมาแต่หัววันเพื่อกินข้าวด้วย ป้าทำกับข้าวเพิ่มให้ผมสองจานนะครับ” โจวข่ายยื่นแอปเปิลที่เขาซื้อมาจากข้างนอกให้หล่อนและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ได้จ้ะ ไม่มีปัญหา” คุณแม่เวิงยิ้ม
“นายมาบ้านทีไรก็กลายเป็นลูกชายบ้านฉันไปแล้วสิน่า” เวิงกั๋วเหลียงเอ่ยความเห็นอย่างจนใจ
โจวข่ายยิ้มก่อนจะเอ่ยถาม “เหม่ยเจี่ยไปไหนแล้วล่ะ?”
“เหม่ยเจี่ยไปข้างนอกกับเพื่อนน่ะ ถึงตอนนี้อีกไม่นานน่าจะกลับมาแล้วจ้ะ” คุณแม่เวิงตอบ “ชาน้ำผึ้งเกรปฟรุตที่แม่เธอให้ป้ามาคราวที่แล้วดีมากเลยนะ อร่อยมาก ๆ เลยจ้ะ”
“แม่ผมชอบทำให้กินตอนว่างน่ะครับ ที่บ้านยังมีน้ำผึ้งอีกหลายโหลเลย ผมเห็นหล่อนดื่มทุกวันแล้วยังให้พ่อผมดื่มด้วย” โจวข่ายบอก
“งั้นแม่ของเธอคงบำรุงผิวพรรณดีสินะจ๊ะ ป้าได้ยินว่าดื่มน้ำผึ้งแล้วจะดีต่อผิวน่ะจ้ะ” คุณแม่เวิงกล่าว
“ใช่ครับ” โจวข่ายพยักหน้า
แม่ของเขาช่างพิถีพิถันจริง ๆ โดยเฉพาะเรื่องพวกนี้ นี่เขายังไม่ได้พูดถึงก็คือบรรดามาส์กไข่ มาส์กน้ำผึ้ง และมาส์กแตงกว่าที่เธอทำเลยนะ
เธอสามารถป้ายทุกอย่างลงบนผิวหน้าได้ แต่ของพวกนี้ก็ทำให้แม่ของเขาดูอ่อนเยาว์กว่าเพื่อน ๆ ของเธอราว 5 หรือ 6 ปี
หลินชิงเหอจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณแม่เวิงเริ่มค้นพบเรื่องนี้แล้ว? เธอหลับจนถึงเก้าโมงเช้าก่อนจะมากินเกี๊ยวที่ร้านเกี๊ยว
“เจ้าใหญ่ไปไหนเหรอคะ?” หลินชิงเหอถามโจวชิงไป๋
“ไปเยี่ยมบ้านคุณพ่อน่ะ” โจวชิงไป๋ตอบ
“งั้นคุณไม่ต้องเตรียมอาหารกลางวันส่วนของเขาแล้วล่ะค่ะ เรากินแกงเนื้อแกะกับซี่โครงแกะย่างดีไหมคะ?” หลินชิงเหอถาม
“ก็ได้ครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า
……………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ระหว่างเวิงเหม่ยเจี่ยกับจูเจินเจินใครจะได้คู่กับเจ้าใหญ่กันนะ
เดี๋ยวต้องเอาเคล็ดลับความงามของแม่ไปใช้บ้างแล้วค่ะ รู้สึกผิวหน้าผู้แปลหมดสภาพมาก
ไหหม่า(海馬)