คำพูดของลู่โจวฟังดูไม่จริงใจเท่าไหร่ แต่ถึงแบบนั้นถ้าหากลู่โจวต้องการ ฝานเชียวและคนอื่นๆ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะขัดขวางอะไร เขาทำได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยเท่านั้น
ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อก็ได้ปรบมือส่งเสียงเชียร์ ความสามารถในการต่อสู้ของบี่เอี๊ยนได้เกินความคาดหมายของทุกๆ คนไปซะสนิท
ทหารคนธรรมดาทั้งหลายได้เริ่มยิงธนูโจมตีมาจากด้านหลัง แต่ถึงแบบนั้นลูกธนูทั้งหมดก็ไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนอะไรให้กับผิวหนังของบี่เอี๊ยนได้เลย
หลังจากที่ลู่โจวออกคำสั่งไป บี่เอี๊ยนก็ไม่ได้ไล่จัดการกับเหล่าทหาร มันเริ่มบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ภาพที่ลู่โจวได้เห็นเป็นภาพต่อไปเหมือนกับภาพของเกม ‘งูกินหาง’ ไม่มีผิด บี่เอี๊ยนเป็นฝ่ายไล่ต้อนบดขยี้ศัตรูไปทีละคน
“ติ้ง! สังหารชาวยุทธขั้นมหาราชครูสำเร็จ ได้รับแต้มบุญ 20 แต้ม”
“ติ้ง! สังหารชาวยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้สำเร็จ ได้รับแต้มบุญ 5 แต้ม”
“ติ้ง! สังหารชาวยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้นสำเร็จ ได้รับแต้มบุญ 100 แต้ม”
ลู่โจวพยักหน้า ตัวเขารู้สึกพอใจมาก ความสามารถในการต่อสู้ของบี่เอี๊ยนแข็งแกร่งจนน่าประทับใจ ด้วยความช่วยเหลือของบี่เอี๊ยนในอนาคตลู่โจวจะต้องหาแต้มบุญได้มากกว่านี้แน่
ฝานเชียวจ้องไปที่ฉากไล่ล่าในขณะที่อ้าปากค้างไปด้วย ‘นี่มัน…นี่สัตว์ขี่ในตำนานอย่างงั้นสินะ? เมื่อเทียบกับราชันย์ช้าง เจ้าช้างนั่นก็เป็นได้แค่ขยะไร้ค่า’ ในตอนนั้นเองราชันย์ช้างได้แต่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแรงเท่านั้น ราชันย์ช้างไม่ได้แข็งแกร่งถึงครึ่งหนึ่งของบี่เอี๊ยนซะด้วยซ้ำ ฝานเชียวที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
บี่เอี๊ยนได้กวาดล้างเหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายไปในเวลาอันสั้น ทหารและผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่ที่รอดมาได้ต่างก็ล่าถอยกันไป
เมื่อลู่โจวเห็นว่าศึกครั้งนี้ใกล้จะจบ ตัวเขาก็ได้โบกแขนเพื่อออกคำสั่งให้บี่เอี๊ยนกลับไป ลู่โจวได้รับแต้มบุญมาทั้งหมด 800 แต้มจากการสังหารหมู่ แต้มบุญจำนวนกว่า 800 ไม่ได้มากมายอะไรเพราะศัตรูที่ตัวเขาได้จัดการไปเป็นผู้ฝึกยุทธผู้อ่อนแอเท่านั้น
บี่เอี๊ยนเชื่อฟังคำสั่งของลู่โจวแต่โดยดี บี่เอี๊ยนที่บินกลับมาได้บินผ่านราชันย์ช้างที่นอนอยู่ใกล้ๆ กับท่าเรือ มันจ้องมองไปยังราชันย์ช้างด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน
ราชันย์ช้างหดตัวให้ดูเล็กลงเพราะความกลัว ร่างกายของมันได้สั่นสะท้านไปทั่วตัว มันได้ยอมจำนนต่อหน้าบี่เอี๊ยนแล้วนั่นเอง นี่คงจะเป็นความแตกต่างระหว่างสัตว์ขี่ในทำนานและสัตว์ขี่หายาก ถึงแม้ว่าราชันย์ช้างจะดูเลวร้ายไปในตอนนี้ แต่ถ้าหากมันไม่ถูกนำมาเทียบกับสัตว์ขี่ในตำนานอย่างบี่เอี๊ยน ตัวมันก็คงจะไม่ได้ดูไร้ค่าเลย และนี่คงจะเป็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างโลกและสรวงสวรรค์
บี่เอี๊ยนได้บินลงสู่พื้นอย่างสง่าผ่าเผยข้างๆ ลู่โจวและหยวนเอ๋อ ถึงแม้ว่ามันจะได้ออกจากการต่อสู้มาแล้วแต่บี่เอี๊ยนก็ยังคงแยกเขี้ยวคู่คำรามใส่ศัตรูของมัน มันไม่อยากให้ศัตรูเข้ามาใกล้นั่นเอง
ในเวลาเดียวกันผลของสุดยอดเวทมนตร์คาถาทั้งหมดก็จางหายบไป
ลู่โจวขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเหล่าทหารพวกนี้และเหล่าผู้ฝึกยุทธยังไม่ถอยกลับไปสักที ‘เจ้าพวกนี้ไม่กลัวตายหรอยังไงกัน? ‘ ลู่โจวกำลังจะหันมาสอบปากคำฝานเชียวต่อไป แต่ในตอนนั้นเองก็มีใครสองคนบินพุ่งตรงมาหาตัวเขาซะก่อน พลังของทั้งสองคนนั้นดึงดูดความสนใจของทุกๆ คนที่อยู่ที่นั่น
‘พระราชวังส่งยอดฝีมือมากขนาดนี้เลยอย่างงั้นหรอ? ‘ ลู่โจวรู้สึกงุนงงกับสถานการณ์ในตอนนี้
ผู้มาเยือนทั้งสองคนได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหยุดตัวลงอยู่เหนือจุดกำเนิดพลังของสุดยอดเวทมนตร์คาถา
เมื่อหยวนเอ๋อหันไปมองผู้มาเยือนทั้งสองคน เธอก็กระโดดออกมาอย่างมีความสุขก่อนที่จะพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “ศิษย์พี่สาม! ศิษย์พี่สี่! “
ลู่โจวเองก็เงยหน้าขึ้นมามองเช่นกัน ผู้มาเยือนทั้งสองคือด้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยินนั่นเอง
ด้วนมู่เฉิงกำลังถือหอกราชันของเขาเอาไว้ ร่างกายที่เต็มไปด้วยมวลกล้ามเนื้อได้ทำให้ร่างกายของเขาดูสง่างามเป็นอย่างมาก การมาถึงของด้วนมู่เฉิงเป็นเหมือนกับการมาถึงของพระผู้เป็นเจ้าที่ลงมาบนพื้นโลก
ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็ตามมาติดๆ เขาสวมใส่ชุดคลุมสีเทาเอาไว้ ท่าทางสบายๆ ของเขาได้บ่งบอกเป็นอย่างดีว่าเขามีความมั่นใจมากแค่ไหน หมิงซี่หยินที่ตามมามาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ท่านอาจารย์! ” ศิษย์ทั้งสองคนพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ทันทีที่พวกเขาลงมาสู่พื้น ในตอนนั้นเองคลื่นกระแทกอันยิ่งใหญ่ก็ได้กระเพื่อมออกมา
เศษชิ้นส่วนเวทมนตร์คาถาที่หลงเหลือในตอนนี้ถูกศิษย์ทั้งสองคนของลู่โจวปัดเป่าจนหมดสิ้นไป ในตอนนั้นสภาพอากาศได้กลับมาโล่งโปร่งขึ้น ทัศนวิสัยเองก็กลับมามองเห็นชัดแล้วเช่นกัน
ด้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยินรีบลงสู่พื้นก่อนที่จะคุกเข่าเพื่อทักทายลู่โจวในทันที “ท่านอาจารย์! “
ฝานเชียวตกตะลึงกับท่าทางการมาถึงที่ดูน่าทึ่งของพวกเขามาก เมื่อฝานเชียวพอจะรวบรวมสติขึ้นมาได้ ตัวเขาก็จ้องมองไปยังสาวกทั้งสองคนที่เหลือ ‘นี่สินะความแตกต่างระหว่างของจริงกับของปลอม! ‘
ลู่โจวลูบเคราของเขาก่อนที่จะถามออกมา “พวกเจ้าสองคนมาที่นี่ทำไมกัน? “
หมิงซี่หยินได้โค้งคำนับก่อนที่จะเริ่มตอบกลับไป “ท่านอาจารย์ ศิษย์ได้ข้อมูลบางอย่างมากจากฝานซุยเหวิน เขาบอกเอาไว้ว่าที่นี่มีสุดยอดเวทมนตร์คาถาอยู่ มันเป็นของที่ยอดฝีมือจากทางพระราชวังเป็นผู้ดูแล ในตอนที่ศิษย์ได้ยินแบบนั้นศิษย์ก็รีบมาที่นี่กับศิษย์พี่สามเพื่อที่จะเป็นกำลังเสริมให้กับท่านอาจารย์โดยทันที”
ด้วนมู่เฉิงเองพูดเสริมออกมาเช่นกัน “ที่พระราชวังมีเหล่ายอดฝีมือมากมายหลายคนนัก ศิษย์รู้ดีว่าท่านอาจารย์แข็งแกร่งหาใครเทียบได้ แต่ถึงแบบนั้นยอดฝีมือพวกนี้ก็ไม่ควรค่าพอที่จะให้ท่านอาจารย์ต้องลงมือด้วยตัวเอง ศิษย์ที่คิดว่าจะแบ่งเบาภาระของท่านอาจารย์ได้เลยรีบมาที่นี่”
“โปรดยกโทษให้พวกเราสองคนด้วย ได้โปรดท่านอาจารย์ให้พวกเราได้จัดการกับคนพวกนี้เอง” หมิงซี่หยินพูดต่อไป
ลู่โจวเหลือบมองไปที่หมิงซี่หยิน ‘นับตั้งแต่ที่เขาได้เห็นเคียวพื้นพิภพไป ดูเหมือนว่าหมิงซี่หยินจะกระตือรือร้นขึ้นมาเป็นพิเศษ หมิงซี่หยินเป็นคนที่รอบคอบมากกว่าเมื่อก่อนมาก’ ถ้าหากลู่โจวรู้ว่าพวกเขาทั้งสองคนจะมาที่นี่ ตัวเขาก็คงจะไม่ใช่การ์ดพิเศษไปถึงห้าใบ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่สำคัญอะไรอีกต่อไป ไม่มีใครจะรู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ท้ายที่สุดลู่โจวก็ได้ลูบเคราก่อนที่จะพูดกับพวกเขาทั้งสองคนไป “ไม่เป็นไร”
ในที่สุดหมิงซี่หยินและด้วนมู่เฉิงก็ได้ลุกขึ้นยืน พวกเขาทั้งสองรีบตรวจสอบรอบๆ ตัวในทันที
ในตอนนี้สุดยอดเวทมนตร์คาถาได้หายไปแล้ว
ที่ท่าเรือเต็มไปด้วยร่องรอยของการต่อสู้ ศพของผู้เสียชีวิตนอนเต็มอยู่บนพื้นดิน
หมิงซี่หยินรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ‘นี่ข้ามาสายเกินไปอย่างงั้นหรอ’
หยวนเอ๋อเองได้วิ่งไปหาศิษย์พี่ทั้งสองก่อนที่จะหัวเราะคิกคักออกมา “ศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่สี่ ดูเจ้าตัวปลอมสองตัวนั้นสิ! “
“ตัวปลอมอย่างงั้นหรอ? ” หมิงซี่หยินรู้สึกสับสนอยู่ชั่วขณะ หลังจากที่เขารู้ความหมายของหยวนเอ๋อ หมิงซี่หยินก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาเดินไปหาชายหนุ่มทั้งสองที่มีลักษณะคล้ายตัวเขาที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
ซู่…
พลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถีของหมิงซี่หยินได้ปรากฏตัวขึ้น!
“…” ชายหนุ่มที่นอนแน่นิ่งได้แต่ตกตะลึง
หมิงซี่หยินได้พูดออกมา “เจ้ากล้าดียังไงแอบอ้างเป็นตัวข้าแบบนี้? “
ในตอนนั้นเองด้วนมู่เฉิงก็เดินมาหาเช่นกัน ตัวเขาเองก็กำลังปลดปล่อยพลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถีออกมาเช่นกัน แต่ถึงแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ได้ยกมือห้ามด้วนมู่เฉิงเอาไว้ซะก่อน
หมิงซี่หยินพูดออกมา “เอ่อ ศิษย์พี่ ข้าคิดว่าหอกราชันอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว ศิษย์พี่ไม่เห็นจำเป็นจะต้องทำแบบนั้น…” ถ้าหากด้วนมู่เฉิงได้ปลดปล่อยพลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถีที่มีดอกบัว 1 กลีบขึ้นมา พลังของหมิงซี่หยินในตอนนี้ก็จะดูด้อยไปในทันที
ศิษย์ของฝานเชียวต่างก็สั่นไปทั้งตัว เขาได้แต่ก้มกราบขอควาเมตตาเพียงเท่านั้น ส่วนศิษย์อีกคนที่ได้เลียนแบบด้วนมู่เฉิงอ่อนแรงจนเกินกว่าที่จะขอความเมตตาใดๆ ได้ ศิษย์คนนั้นได้แต่หมอบลงไปบนพื้น ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“พอได้แล้ว” ลู่โจวพูดออกมาอย่างใจเย็น
ทันทีที่ลู่โจวพูด หมิงซี่หยินก็หยุดการใช้พลังร่างอวตารของเขาไปในทันที
ฝานเชียวเองได้แต่ตกตะลึงอยู่ภายในใจ ตัวปลอมอยากพวกเราคงจะระดับต่างกันจนเกินไป สาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็มีพรสวรรค์กันถึงเพียงนี้ ช่วงเวลาที่ผ่านมาเจ้าพวกนี้พัฒนาตัวเองไปถึงไหนกัน?
“ท่านอาจารย์ ก่อนที่ศิษย์จะออกมาจากภูเขาทองศิษย์ได้สั่งสอนบทเรียนให้กับฝานซุยเหวินไปแล้ว ศิษย์คิดว่านับตั้งแต่จากนี้ไปเจ้านั่นจะต้องให้ความร่วมมือกับพวกเราแน่”
“…”
‘ภูเขาทองได้รับการปกป้องจากม่านพลังเป็นอย่างดี เป็นไปไม่ได้เลยที่คนนอกจะเข้าไปภายในนั้นได้ เจ้าพวกนี้ไม่ได้ทำเกินเลยไปหรอกหรอ’ แต่ถึงจะคิดแบบนั้นลู่โจวก็ไม่ได้ตำหนิอะไรหมิงซี่หยิน
เมื่อไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์คาถาอยู่ เหล่าทหารรวมไปถึงผู้ฝึกยุทธทั้งหลายก็ไม่กล้าที่จะเข้ามาหาลู่โจวอีก
ฝานเชียวได้มองไปที่ลู่โจวก่อนที่จะรวบรวมความกล้าเอ่ยปากถามอะไรบางอย่างออกมา “ในตอนนี้ฝานซุยเหวินอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ? “
“นี่ไม่ที่ที่เจ้าจะมาถามอะไรก็ได้หรอกนะ…” หมิงซี่หยินพูดออกมาขัดจังหวะอย่างไม่พอใจ
ฝานเชียวที่ได้ฟังแบบนั้นสีหน้าได้เปลี่ยนไปเป็นแดงระเรื่อ
ลู่โจวเอามือไขว้หลังก่อนที่จะถามคำถามกลับไป “เจ้าน่ะมาจากสำนักหยุนสินะ ใครกันที่เป็นคนส่งเจ้ามา? “
“เอ่อ…” ฝานเชียวพูดตะกุกตะกัก ดูเหมือนว่าชายคนนี้กำลังลังเลที่จะเปิดเผยความจริงออกมา
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนจะพูดต่อไป “หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ เจ้าน่ะจะต้องถูกฆ่าปิดปากแน่ เจ้าน่ะเป็นคนหาเรื่องเข้าตัวแท้ๆ “
ฝานเชียวได้คิดอะไรบางอย่างกับตัวเองอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ‘ถูกแล้ว ข้าในตอนนี้ไม่มีที่ให้กลับไปอีก ท่านผู้อาวุโสเองก็ได้จัดการกับศัตรูผู้สังหารศิษย์ของตัวเขาไป’ เมื่อคิดได้แบบนั้นท้ายที่สุดฝานเชียวก็ได้เอ่ยปากพูดออกมา “ฮั๊ววู่เต๋า ผู้อาวุโสจากสำนักหยุนเป็นคนสั่งให้ข้าทำ”
“ฮั๊ววู่เต๋า? ” ดวงตาของหมิงซี่หยินเบิกกว้างทันทีที่ได้ยิน “ตาแก่ตดเหม็นนั่นยังอยู่อีกอย่างงั้นหรอ? “
ฝานเชียวพูดต่อไป “ผู้อาวุโสฮั๊วไม่พอใจท่านผู้อาวุโสจีมาตั้งแต่เนิ่นนานแล้ว ตั้งแต่ท่านผู้อาวุโสจีได้เอาชนะตัวเขาไป ตั้งแต่นั้นท่านผู้อาวุโสฮั๊วก็ผูกใจเจ็บมาโดยตลอด บาดแผลแห่งความพ่ายแพ้ทำให้ตัวเขาไม่สามารถพัฒนาพลังยุทธของตัวเองได้อีก ดังนั้น…”
“ช่างเป็นคนที่ไร้ยางอายอะไรแบบนี้! เจ้านั่นแทนที่จะโทษความอ่อนแอของตัวเอง เจ้านั่นกลับเลือกที่จะมาโทษผู้ที่แข็งแกร่งกว่าซะแทน! ” หมิงซี่หยินรู้สึกไม่พอใจมาก
“…”
มีเพียงคนจากศาลาปีศาจลอยฟ้าเท่านั้นที่จะพูดอะไรแบบนี้ออกมา
ย้อนกลับไปในตอนนั้น ฮั๊ววู่เต๋าเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 6 กลีบ เขาคนนี้มั่นใจในวิชาป้องกันตัวมาก แม้แต่สิบยอดฝีมือทั้งหมดก็ยังไม่กล้าที่จะดูถูกเขา เมื่อ 20 ปีก่อน ฮั๊ววู่เต๋าได้ประกาศตนว่าตัวเองเป็นผู้ที่มีเคล็ดวิชาป้องกันที่ดีที่สุดในใต้หล้า ในตอนนั้นศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ได้เคลื่อนไหวมาเป็นเวลานาน ดูเหมือนว่าพลังอำนาจและความแข็งแกร่งของศาลาปีศาจลอยฟ้าที่มีกำลังจะถดถอยลง ตัวเขาต้องการที่จะคว้าโอกาสนี้เพื่อจะกำชัยชนะเหนือจีเทียนเด๋า ถ้าหากชนะจีเทียนเด๋าได้ฮั๊ววู่เต๋าจะต้องพัฒนาพลังยุทธของตัวเองจนมีพลังร่างอวตารดอกบัว 7 กลีบได้
แต่ถึงแบบนั้นที่ที่ราบแห่งหนึ่งในมณฑลจิง ฮั๊ววู่เต๋าและจีเทียนเด๋าได้มีโอกาสที่จะประมือกันที่นั่น ท้ายที่สุดแล้วฮั๊ววู่เต๋าก็ได้พ่ายแพ้ไปอย่างหมดรูป ท้ายที่สุดแล้วในตอนนั้นจีเทียนเด๋าก็สามารถผลิกลีบจนมีร่างอวตาร 8 กลีบด้วยกัน ส่วนฮั๊ววู่เต๋าเองก็เกิดปมในใจ นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้วรยุทธของเขาก็ไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นเลยเป็นเวลากว่า 20 ปีด้วยกัน!
ลู่โจวที่จำความหลังได้ถามออกไป “แล้วตอนนี้ฮั๊ววู่เต๋าอยู่ไหนกัน? “
“ท่านผู้อาวุโสฮั๊วไปที่แท่นบูชาหยกเขียวเมื่อสามวันก่อน” ฝานเชียวลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะพูดต่อไป “ที่ท่านผู้อาวุโสฮั๊วไปที่นั่นก็เพื่อที่จะพูดคุยกับเหล่าพันธมิตรถึงเรื่องที่จะกำจัดศาลาปีศาจลอยฟ้า นอกจากนี้เขา…เขายังรู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องที่พระราชวังตามหากระดูกอีกด้วย”
ลู่โจวจำจดหมายที่เจียงอาเฉียนส่งมาได้ดี ดูเหมือนว่าเจ้าสำนักวิหารปีศาจเองก็ไปที่แท่นบูชาหยกเขียวเช่นกัน ‘คนพวกนี้รวมตัวกันเพื่อที่จะวางแผนปราบศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ? ‘