บทที่ 174 ยามกลางดึก

บทที่ 174 ยามกลางดึก
โดย

บทที่ 174 ยามกลางดึก

นอกจากนั้นแล้วมันยังมีแต้มค่าแรง 5 แต้ม และเงินเดือน 13 หยวนของเธอด้วย

ทั้งหมู่บ้านนี้ ชีวิตครอบครัวของเธอคงไม่ย่ำแย่แล้วล่ะ

ยิ่งกว่านั้นการที่หลินชิงเหอได้มาเป็นคุณครูและมีรายได้อย่างสม่ำเสมอ มันก็ทำให้เธอสั่งซื้อนมเพิ่มเป็น 4 ขวดจากเดิมที่สั่ง 3 ขวดได้

ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวไม่ได้รับส่วนแบ่งนี้ เพราะนมขวดที่เพิ่มมานั้นเป็นของโจวชิงไป๋

โจวชิงไป๋ไม่คิดจะดื่มมัน เขาคะยั้นคะยอให้เธอดื่มเอง แต่หลินชิงเหอก็ไม่เห็นด้วย

แม้ร่างกายของเขาตอนนี้จะไม่มีปัญหาใหญ่ แต่หลินชิงเหอก็ไม่เคยลืมว่าเขาเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสมา

อีกอย่างหนึ่งผู้ชายคนนี้ก็เป็นคนปากแข็งด้วย ต่อให้เขารู้สึกไม่สบาย เขาก็ไม่เอ่ยอะไรออกมา

หลินชิงเหอรู้จักเขาเป็นอย่างดี

เธอโน้มน้าวให้เขาทำงานรับค่าแรงแค่ 7 หรือ 8 แต้มบ่อย ๆ แต่เขาก็ไม่เคยฟัง

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมหลินชิงเหอถึงพยายามอย่างเป็นที่สุดให้เขาได้กินอาหารดี ๆ สามมื้อต่อวัน เธอกลัวว่าอาการเจ็บป่วยที่มองไม่เห็นของเขาจะกำเริบขึ้นมาอีก

เมื่อพวกเขาแก่ตัวลง วันเวลาดี ๆ ก็จะมาถึงเช่นกัน เธอจึงไม่อยากให้เขาพลาดโอกาสที่จะได้มีชีวิตดี ๆ

ส่วนท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวนั้นเธอไม่สนใจ

ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากซื้อหรอก แต่ทั้งคู่คงจะไม่สบายใจมากกว่าหากเธอซื้อมา การที่เธอต้องได้รับความยินยอมจากพวกเขาก่อนนี่เองจึงทำให้เธอไม่ได้ซื้อนมให้พวกเขาดื่ม ด้วยเหตุนี้เองเธอเลยซื้อเพิ่มเฉพาะส่วนของโจวชิงไป๋ ยิ่งกว่านั้นเธอยังต้องจับตาดูเขาดื่มก่อนออกไปทำงานด้วย

โจวชิงไป๋เองก็จนใจกับเรื่องนี้ ในขณะที่ท่านแม่โจวรู้สึกยินดีอยู่ในใจ เพราะนางได้เห็นว่าสะใภ้สี่ดูแลลูกชายคนเล็กของนางดีแค่ไหน

เธอเอาใจใส่กว่านางที่เป็นแม่แท้ ๆ ของเขาเสียอีก

และนมขวดนี้ก็ซื้อจากเงินของสะใภ้สี่เอง ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวเลยไม่ได้ว่าอะไร

โจวชิงไป๋ได้รับการดูแลเหมือนกับลูกชายทั้งสามของเขาตรงที่ได้ดื่มนม 1 ขวดทุกวัน แม้แต่ชาวบ้านยังรับรู้เรื่องนี้

แต่เมื่อเห็นผิวพรรณสดใสและดวงตาเป็นประกายของโจวชิงไป๋แล้ว พวกเขาก็อิจฉาขึ้นมา

ภรรยาบางบ้านถึงกับร้องคร่ำครวญ พวกหล่อนเอาแต่พูดกันถึงความสามารถในด้านนั้นของโจวชิงไป๋ว่าอยากประสบกับอะไรแบบนั้นบ้าง และมักจะอิจฉาหลินชิงเหออยู่บ่อยครั้ง

หลินชิงเหอที่เป็นเป้าความอิจฉาไม่รู้เลยว่าเธอถูกอิจฉา

กลับกันเธอขอร้องให้โจวชิงไป๋เพลา ๆ เรื่องนั้นลงหน่อย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงประจำปีได้มาถึงในชั่วพริบตาเดียว

สิ้นเดือนนี้ แตรสัญญาณการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงก็ดังขึ้น

ช่วงเวลานี้จะยุ่งวุ่นวายอย่างมาก ทุกโรงเรียนต่างหยุดเรียน ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีการเรียนการสอนในตอนเช้าและจะหยุดในช่วงบ่ายเพื่อให้ทุกคนได้ร่วมการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงและรับแต้มค่าแรง

ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนประถมหรือโรงเรียนมัธยมต้น มันก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหมด

ในฤดูใบไม้ร่วงไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงอีกแล้ว

นับจากตอนนี้ไป หลินชิงเหอก็มีกะจิตจะใจจะมาบำรุงร่างกายให้โจวชิงไป๋แล้ว

พรุ่งนี้เช้าเธอต้องไปหาเม่ยเจี่ยเพื่อรับเนื้อ นอกจากส่วนที่เหลือทิ้งแล้ว เธอก็ยังสั่งเนื้อสามชั้นด้วยจำนวน 2 ชั่ง

ในมิติมีเนื้อเหลือให้กินอยู่ไม่มากแล้วจริง ๆ

โจวชิงไป๋กับท่านพ่อโจวกลับมาบ้านพร้อมกับเจ้าใหญ่กับเจ้ารอง หลังจากล้างมือทำความสะอาดกันแล้ว ทั้งครอบครัวก็มารวมตัวกันกินข้าว

อาหารจานหลักของมื้อนี้เป็นแกงจืดไข่คนกับมะเขือเทศโดยมีข้าวสวยแช่อยู่ในน้ำแกง ให้รสชาติทั้งเปรี้ยวและหวาน อา…ช่างเป็นรสชาติที่สุดยอดเหลือเกิน

นอกจากนี้ยังมีแกงบวบใส่กระดูกหมูที่มีรสชาติเยี่ยมเหมือนกัน

ทั้งครอบครัวต่างพอใจอย่างยิ่ง

“คุณพ่อคุณแม่คะ ถ้ากลับไปถึงบ้านแล้วก็อย่าลืมกินโจ๊กแปดขุมทรัพย์ที่ฉันใส่กล่องกลับไปให้ด้วยนะคะ” หลินชิงเหอบอก

วันนี้เธอทำโจ๊กแปดขุมทรัพย์ไว้ โดยที่แต่ละคนได้กินกันคนละชามเท่านั้น

“ได้สิ” ท่านพ่อโจวตอบ

หลังกินเสร็จ ครอบครัวของพวกเขาก็กลับไป ท่านแม่โจวไม่ได้อยู่ต่อ นางพาซูสวิ่นน้อยกับท่านพ่อโจวกลับบ้านพร้อมโจ๊กแปดขุมทรัพย์บรรจุอยู่ในกล่องอาหาร

ซูเฉิงน้อยยังอยู่ที่บ้านของพวกเขา ตอนนี้เขาจะได้กินและอยู่กับลูกพี่ทั้งสามคน

เด็กชายตัวน้อยกินจนตัวอ้วนกลม ต้องบอกว่าเขาได้รับการเลี้ยงดูไม่เลวเลย

“พรุ่งนี้ฉันจะไปซื้อน้ำมันถั่วลิงสงในอำเภอนะคะ คุณอยากกินอะไรเพิ่มเติมไหม?” หลินชิงเหอถามโจวชิงไป๋

“คุณซื้อครีมบำรุงผิวให้ตัวคุณเองเถอะ” โจวชิงไป๋ตอบขณะมองเธอ

ตัวเขาเองไม่มีอะไรต้องซื้อเพิ่มหรอก

หลินชิงเหอหัวเราะ “ทุกวันฉันทาครีมบำรุงที่ฉันซื้อให้ตัวเองอยู่แล้วล่ะค่ะ”

เธอซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางอย่างมาด้วย ซึ่งมันยังเหลืออีกมาก ส่วนครีมบำรุงผิวนั้นเธอไม่ได้ใช้มันเลย

โจวชิงไป๋มองเธอ “คืนนี้ว่ายน้ำกันไหม?”

เขาชอบว่ายน้ำ แต่ภรรยาของเขาคงไม่ปล่อยให้เขาไปว่ายตอนกลางวันแสก ๆ แน่

เขาถอดเสื้อผ้าจนเหลือกางเกงแค่ตัวเดียว จากนั้นก็ลงไปว่ายน้ำในแม่น้ำ เมื่อเขาขึ้นมาจากน้ำ กางเกงของเขาก็เปียกแนบเนื้อจนมองเห็นทุกอย่างชัดเจน หลินชิงเหอเห็นแล้วก็ไม่อยากให้ผู้หญิงบางคนในหมู่บ้านที่คิดไม่ดีได้มาเห็นอะไรแบบนี้เลย

ดังนั้นเมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว โจวชิงไป๋จึงไปว่ายน้ำเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น

“คุณไปคนเดียวเถอะค่ะ” หลินชิงเหอบอก

แต่ถึงจะพูดแบบนี้ เธอก็ยังคงไปที่ริมแม่น้ำกับโจวชิงไป๋หลังสามทุ่มอยู่ดี อันเป็นเวลาดึกสงัดแทบไม่มีเสียงใด ๆ และเด็ก ๆ ที่บ้านนอนหลับกันหมดแล้ว

เวลานี้ไม่มีคนอยู่เลย

แต่ถึงอย่างนั้น หลินชิงเหอก็ยังลงไปในน้ำทั้งที่เสื้อผ้าครบชุด สำหรับเธอแค่ได้แช่ตัวอยู่ริมตลิ่งก็พอแล้ว

โจวชิงไป๋ผละออกไปว่ายน้ำ

จากนั้นเขาก็กลับมาลากเธอออกไป คนทั้งคู่พัลวันพันตูกันอยู่ในแม่น้ำ

หากมีใครมาเห็นเข้า พวกเขาคงต้องพูดกันว่า ‘ช่างหน้าไม่อายกันเสียจริง ๆ!’

จริง ๆ แล้วพวกเขาไม่ได้ทำอะไรกันเลย แค่กอดกันลอยตัวในน้ำเท่านั้น

หลังจากคนทั้งคู่ลอยอยู่ในน้ำมานานกว่าครึ่งชั่วโมง หลินชิงเหอก็หลบซ่อนตัวอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็กลับบ้านพร้อมกับโจวชิงไป๋

แต่เมื่อเดินได้ถึงครึ่งทาง พวกเขากลับได้ยินเสียงที่ไม่ควรจะได้ยินในป่าละเมาะเล็ก ๆ แถวนั้น

“มีคนโดนลักพาตัวงั้นเหรอ?” หลินชิงเหอเบิกตากว้างและเอ่ยกระซิบ

โจวชิงไป๋ไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงแบบนี้ในตอนกลางดึก เขาเอ่ยขึ้น “เรากลับกันเถอะ”

เห็นชัดว่าเขาไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

“อย่าเพิ่งค่ะ ฉันอยากรู้ว่าเป็นใคร” หลินชิงเหอตอบทันควัน

เธอไม่ได้คิดที่จะเปิดโปงคน ๆ นั้น เธอแค่อยากรู้ว่าคน ๆ นั้นเป็นใคร เพื่อจะได้ระวังตัวไว้!

เห็นเธอกล่าวดังนี้ โจวชิงไป๋จึงทำได้เพียงพาเธอย่องเข้าไปดูเงียบ ๆ โจวชิงไป๋มองสำรวจก่อนคนแรกแล้วก็รีบปิดตาภรรยาของเขาทันที

ตอนที่โจวชิงไป๋ดึงตัวเธอออกมา หลินชิงเหอยังไม่ทันได้เห็นอะไรเลย

หลังออกมาห่างจากจุดเกิดเหตุพอสมควรแล้ว หญิงสาวก็เอ่ยปากถาม “ชิงไป๋ พวกเขาเป็นใครเหรอ?”

ไม่ยุติธรรมเลย เขาไม่ปล่อยให้เธอเห็นในขณะที่เขาได้เห็นคนเดียว

“สะใภ้สามตระกูลหม่ากับลูกชายสี่ของตระกูลหม่า” โจวชิงไป๋บอก

“หา?” หลินชิงเหอตะลึงไป

เธอรู้ว่าสะใภ้สามตระกูลหม่าคือใคร หล่อนก็คือหวังหลิงที่มีความสัมพันธ์อันดีกับสะใภ้รอง และคอยพูดจาว่าร้ายเธออยู่เสมอ

หล่อนมีสัมพันธ์ลับ ๆ กับน้องชายสามีตัวเองงั้นเหรอ?

จะว่าไปแล้วลูกชายคนที่สี่ของตระกูลหม่าก็มีอายุครบ 20 ปีพอดี เห็นชัดว่าอยู่ในวัยที่พร้อมจะแต่งงาน ในขณะที่หวังหลิงมีอายุ 27 หรือ 28 ปี!

ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังใจกล้าบ้าบิ่นมาก ในยุคนี้หากพวกเขากล้าทำอะไรแบบนี้จะต้องถูกวิจารณ์อย่างหนัก เรื่องนี้เป็นเรื่องผิดประเวณีและอาจถูกโกนหัวติดป้ายแห่ประจานทั้งคู่ได้!

ราคาที่ต้องจ่ายนับว่าสาหัสนัก

แม้หลินชิงเหอจะไม่ชอบหวังหลิง แต่การศึกษาสมัยใหม่ก็ไม่ทำให้เธอลดจิตสำนึกของตัวเองลง

ดังนั้นต่อให้เธอรู้เรื่องนี้ เธอก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พ่อนึกอย่างไรชวนแม่มาว่ายน้ำกลางดึกคะ จริง ๆ แล้วพ่อก็โรแมนติกไม่เบาเลยนะเนี่ย

หวังหลิงเธอกล้ามาก กฎหมายครอบครัวจีนสมัยนั้นแรงมากเลยนะคะ จับได้ว่าใครเล่นชู้กันคือโกนหัวแปะป้ายประจานรอบหมู่บ้าน อายกันยันโคตรเหง้าบรรพบุรุษเลยทีเดียว

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset