บทที่ 173 ดีขึ้นเรื่อย ๆ

บทที่ 173 ดีขึ้นเรื่อย ๆ
โดย

บทที่ 173 ดีขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ว่าตามจริงแล้วการสอนหนังสือของหลินชิงเหอมันไม่มีปัญหาอะไรเลย

สมาคมครูในโรงเรียนไม่ได้เชื่อมือเธอในทันทีที่เธอเริ่มงาน พวกเขาให้เธอลองสอนดูโดยที่ครูใหญ่เป็นคนคอยฟังด้านนอกห้องเรียน

ไม่ใช่แค่ครูใหญ่เท่านั้น เฉินซานที่เป็นครูสำรองก็ทำแบบเดียวกัน

ต้องบอกว่า ไม่ว่าจะมีครูใหญ่หรือเฉินซานเป็นผู้ฟัง ทั้งคู่ก็ไม่พบข้อตำหนิใด ๆ แม้แต่น้อย

ยิ่งกว่านั้นคุณภาพการสอนยังดูเหมือนไร้ที่ติอีกด้วย หลินชิงเหอสอนได้อยู่หมัดจริง ๆ

ชั้นเรียนนี้เป็นชั้นเรียนของนักเรียนใหม่หัวก้าวหน้า

ในตอนนี้โรงเรียนมัธยมต้นมีการสอบเข้าเหมือนกัน คนทั้งหมดที่สอบเข้าได้ล้วนมีผลการเรียนอยู่ในระดับที่ยอมรับได้

ดังนั้นทั้งโรงเรียนมัธยมต้นแห่งนี้จึงมีนักเรียนไม่มากนัก

โรงเรียนมัธยมต้นมีชั้นเรียนแค่ชั้นปีแรกกับชั้นปีที่สอง ส่วนชั้นปีที่สามยังไม่มี

ทั้งชั้นปีแรกและชั้นปีที่สองมี 4 ห้องเรียน

เด็กนักเรียนทั้งหมดนี้ก็คือเด็กในตำบลที่สอบเข้าโรงเรียนได้

ทั้งตำบลมีฝ่ายผลิตอยู่ 19 หน่วย และหนึ่งฝ่ายผลิตก็มีครอบครัวเกือบ 20 ครัวเรือน

แล้วครอบครัวนี้จะนับเป็นครัวเรือนอย่างไรน่ะเหรอ? เมื่อครอบครัวตระกูลโจวยังไม่แยกตัวกัน ทั้งครอบครัวก็จะนับรวบเป็นหนึ่งครอบครัวโดยมีหัวหน้าครอบครัวคือท่านพ่อโจวน่ะสิ

วิธีนับล้วนแตกต่างกันออกไป แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีคนจำนวนมากอยู่ดี

คนในยุคนี้ไม่ต่างจากเครื่องมือผลิตลูก ทั้งตำบลมีเด็กจำนวนมาก แต่กลับมีจำนวนมากเกินกว่าที่โรงเรียนมัธยมต้นจะรับไหว

ในที่สุดผู้คนก็ไม่ได้สนใจกับการศึกษามากนัก

ในฐานะคุณครู หลินชิงเหอต้องแบกรับหน้าที่นี้อย่างสุดความสามารถ

เนื้อหาวิชาเรียนแต่ละวิชาจะถูกแยกย่อยและอธิบายให้พวกเขาอย่างละเอียด หากพวกเขาไม่เข้าใจก็สามารถมาถามหลังหมดคาบเรียนได้ ส่วนเรื่องอื่น ๆ อย่างการบอกว่าพวกเขาต้องเรียนอะไรนั้นไม่มี

สภาพแวดล้อมในยุคนี้ยังคงเข้มงวดเล็กน้อย

ในอดีต บรรดาครูทั้งหลายจะถูกวิจารณ์ในเรื่องการใช้ความรุนแรง

แม้หลินชิงเหอจะเป็นคนรากหญ้าที่ได้รับงานนี้ เธอก็ไม่ถูกวิจารณ์เนื่องจากเป็นสมาชิกในครอบครัวทหารเกษียณ

แต่ถึงอย่างนั้นหลินชิงเหอก็ไม่ปฏิบัติต่อนักเรียนเหล่านี้ด้วยความรุนแรง

หลังเลิกชั้นเรียนและตอบคำถามทั้งหมดที่นักเรียนมาถามหลังคาบเรียนแล้ว หน้าที่ของเธอก็เสร็จสมบูรณ์ จากความเป็นนักพูดของเธอ

ทั้งโรงเรียนมัธยมต้นแห่งนี้มีครูอยู่ 5 คนรวมถึงตัวเธอและเฉินซานที่มาใหม่ แน่นอนว่านี่ไม่รวมถึงคุณครูใหญ่

ครูใหญ่เองก็ยุ่งมากเหมือนกัน บางครั้งเขาจะต้องประชุมและเข้าไปในเมืองเพื่อฟังรายงานความก้าวหน้า โดยปกติแล้วเขาจะไม่ได้เป็นคนสอน แต่เมื่อคุณครูทั้งหลายไม่ว่างสอน เขาถึงจะมาสอนแทน

หลินชิงเหอเข้ากับเพื่อนร่วมงานของเธอได้ดี ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอเว้นระยะจากชายชั่วเฉินซานคนนั้นอยู่

ตอนนี้หญิงสาวขี่จักรยานจากบ้านมาโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง เธอขี่จักรยานมาโรงเรียนตอนเช้าแล้วก็ขี่กลับบ้านในตอนกลางวัน จากนั้นก็ออกจากบ้านในตอนบ่ายและกลับบ้านอีกครั้งในตอนเย็น

นี่เป็นตารางการทำงานของเธอโดยคร่าว ๆ ในหนึ่งวัน เธอจึงไม่ได้อยู่นิ่ง ๆ แต่อย่างใด

เธอยังคงมีหน้าที่กลับไปทำกับข้าวทุกวัน

ท่านแม่โจวเป็นคนช่วยเหลืองานบ้านที่เหลือ ส่วนใหญ่นางมักอยู่ที่บ้านตลอดทั้งวัน ยกเว้นว่ามันจะถึงเวลาให้นมซูสวิ่นนางถึงจะอุ้มเขาไปให้สะใภ้สามให้นม

หลินชิงเหอกลับมาจากที่ทำงานในวันนั้นและเริ่มหุงหาอาหาร แล้วเธอก็เอ่ยขึ้นมา “พรุ่งนี้ฉันไม่ไปทำงานนะคะ ฉันจะเข้าอำเภอไปซื้อน้ำมันถั่วลิสงมาสักหน่อย”

ในมิติของเธอยังมีน้ำมันถั่วลิสงเหลืออยู่ 1 ขวด เธอจำใส่ใจอยู่ว่าจะต้องเก็บสะสมของจากตลาดมืดให้ได้

ไม่ว่ามันจะเป็นไข่ เนื้อ หรือน้ำมัน เธอจะซื้อพวกมันเข้าไปเก็บไว้ในมิติหากเจอว่าพวกมันมีขาย

แม้เธอจะแอบขายเนื้อหมูอยู่ แต่ทุกส่วนที่ขายล้วนเป็นของเหลือ จึงมีเนื้อดี ๆ เหลืออยู่น้อยมาก เพราะโดยทั่วไปแล้วเธอจะเก็บเนื้อส่วนที่ดีไว้ให้ครอบครัวของเธอเอง

“เธอทำงานมาเหนื่อยแล้ว เวลาที่จะพักยังแทบไม่มีเลย” ท่านแม่โจวตอบ

“ยังไหวอยู่ค่ะ” หลินชิงเหอบอก

ความจริงแล้วการมีอาชีพให้ได้ทำนับว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อย หลินชิงเหอรีบทำไข่คนมะเขือเทศหม้อหนึ่ง จากนั้นก็เป็นน้ำแกงกระดูกหมู

วันนี้พวกเขากินข้าวกัน ซึ่งท่านแม่โจวแช่น้ำเอาไว้แล้ว เหลือเพียงให้เธอนำไปหุง

ไม่นานนักเจ้าสามก็กลับมาที่บ้าน สภาพเขาดูมอมแมมราวกับแมวตกโคลนจากการไปเล่น โดยที่ซูเฉิงน้อยเดินตามเขามาติด ๆ

ตอนนี้ซูเฉิงน้อยเดินไปรอบ ๆ ได้แล้ว ปกติเขามักจะตามเจ้าสามไปตลอดทั้งวัน และเมื่อถึงเวลานอนตอนกลางคืนเขาก็จะมานอนกับเจ้าสามเหมือนกัน

“ทั้งคู่รีบไปล้างมือแล้วมากินข้าวซะ” หลินชิงเหอรู้สึกปวดหัวเมื่อเห็นสภาพเด็กทั้งสองพร้อมกับส่งสายตาเขม็งขณะออกคำสั่ง

“ล้าง ล้าง” ซูเฉิงน้อยตามเจ้าสามเข้าไปล้างมือ

แต่ตัวเขาเองจะล้างมือให้สะอาดได้ยังไง หลินชิงเหอจึงเข้าไปล้างมือให้กับเด็กทั้งคู่ จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “วันนี้พวกลูกไปเล่นอะไรมา?”

“เราออกไปขุดไส้เดือนครับ” เจ้าสามตอบ

“ไส้เดือน” ซูเฉิงน้อยพูดตาม

“แล้วไส้เดือนไปไหนล่ะ? ลูกได้เอากลับมาเลี้ยงไก่หรือเปล่า?” หลินชิงเหอถาม

“อ๋อ ผมให้ไส้เดือนกับไช่ไช่ไปหมดแล้วครับ” เจ้าสามตอบ

ไช่ไช่คือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่บ้าน ครอบครัวของเธอถือว่าค่อนข้างดีไม่น้อย เด็กในวัยนี้จะเล่นด้วยกันเสมอและไม่เล่นแยกชายหญิงกันจนกว่าจะมีอายุ 7 ขวบ

หลินชิงเหอไม่คิดเลยว่าเจ้าสามเด็กตัวเหม็นตัวเท่านี้จะรู้จักให้เกียรติผู้หญิงด้วย

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนางเอกของนิยายต้นฉบับถึงสะดุดใจกับเขา

แต่สุดท้ายแล้วเขาก็หนีไม่พ้นชะตาชีวิตอันน่าอนาถของตัวละครฝ่ายชายไปได้

แต่เขายังตัวเล็กเท่านี้อยู่ หลินชิงเหอจึงไม่บอกเขาในเรื่องนี้ ทำเพียงแต่บอกว่า “ครั้งหน้าลูกเอามันกลับมาขุนบำรุงไก่ที่บ้านด้วยสิ แต่ละวันบ้านเราได้ไข่แค่ฟองเดียวเองนะ”

“ครับ” เจ้าสามพยักหน้าเมื่อได้ยินดังนี้

ซูเฉิงกับซูสวิ่นไม่ได้มีทะเบียนสำมะโนครัวอยู่ที่นี่ พวกเขาจึงไม่ถูกนับรวม ครอบครัวของเธอจึงมีคน 7 คน รวมถึงท่านพ่อโจวและท่านแม่โจว

แม้ทุกวันนี้จะมีกฎระเบียบเคร่งครัด แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่คน 7 คนจะเลี้ยงไก่ 4 ตัวโดยมีโจวชิงไป๋ผู้น่าเชื่อถืออยู่ที่นี่

พูดถึงแม่ไก่ทั้ง 4 ตัวแล้ว พวกมันก็ยังคงขยันออกไข่อย่างต่อเนื่อง วันหนึ่ง ๆ จะได้ไข่ราวสองหรือสามฟองเลยทีเดียว

บางทีไก่ทั้ง 4 ตัวก็ออกไข่พร้อมกัน จึงเป็นไข่ทั้งหมด 4 ฟองต่อวัน

แน่นอนว่าเป็นเพราะพวกมันได้กินอาหารเพียงพอ เนื่องจากตอนหุงอาหารหมูเธอก็ไม่ลืมให้อาหารไก่พวกนี้ พวกมันจึงแตกต่างจากไก่บ้านอื่นที่ถูกเลี้ยงแบบปล่อยให้หากินเอง ไก่ของเธอล้วนเป็นไก่ที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ โดยตัวหนึ่งมีน้ำหนักได้ถึง 4 หรือ 5 ชั่งเลยทีเดียว

แต่ถึงไก่พวกนี้จะออกไข่ทุกวัน ปริมาณการกินของคนในบ้านก็ยังเยอะอยู่ดี หลินชิงเหอยังต้องซื้อไข่กลับมาจำนวนหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า

ไม่นานนักเจ้าใหญ่กับเจ้ารองก็เลิกเรียน

โรงเรียนประถมที่สองพี่น้องเรียนนั้นอยู่ห่างจากโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบล ในเมื่อมันต่างเส้นทางกัน พวกเขาก็ต้องกลับบ้านเอง

เมื่อสองพี่น้องกลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็รีบไปเก็บผักขมทันที ตอนนี้มันเป็นหน้าที่ของสองพี่น้องไปแล้วที่ต้องเก็บผักขมทุกเย็นหลังเลิกเรียน เมื่อไหร่ที่ไม่มีเรียน พวกเขาก็จะต้องไปเก็บอึวัวหรืออะไรทำนองนั้น

พูดถึงสถานการณ์ในบ้านของเธอตอนนี้ นับว่ามันดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว

โจวชิงไป๋ทำงานได้แต้มค่าแรงมา 10 แต้ม หมูสองตัวที่บ้านสามารถนำไปแลกกับแต้มค่าแรงได้หลายแต้ม การเลี้ยงหมูก็หมายความว่ามันจะได้ปุ๋ยคอกที่สามารถเอาไปใส่ในแปลงที่บ้านของพวกเขาได้โดยไม่ต้องนำของอย่างอื่นไปแลกมา หากพวกเขาใช้ปุ๋ยคอกนี้ไม่หมด ก็เลือกที่จะเอาไปแลกเป็นแต้มค่าแรงได้

เจ้าใหญ่กับเจ้ารองเองก็เติบโตขึ้นแล้ว พวกเขาได้ค่าแรงไม่มากนัก แต่อย่างน้อยในบางครั้งสองพี่น้องก็ได้แต้มค่าแรง 2 แต้มพร้อมกัน

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ชีวิตครอบครัวแม่ดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วค่ะ ใครหาว่าแม่ขี้เกียจคนนั้นไปพักนะคะ

ส่วนซูเฉิงน้อยนั้น ตั้งแต่เดินได้ก็ออกแววความซนไม่แพ้สามหน่อเลยนะคะ โตขึ้นเป็นเจ้าสามคนที่สองแน่นอน

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset